ตอนที่ 28 เซ่อเจิ้งหวางตามมาแล้ว / ตอนที่ 29 เซ่อเจิ้งหวางอยากป้อนข้าวให้ข้า
ตอนที่ 28 เซ่อเจิ้งหวางตามมาแล้ว
สายลมเย็นพัดผ่าน ฟ้าสาทรเลือนลาง แม้ตะวันยังมิลาลับ แสงดาวพลันส่องสลัว
กว่าเฟิงอู๋โยวจะจัดการธุระบนร่างกายตัวเองเสร็จก็ตกดึกเสียแล้ว
นางยืนอยู่ที่ขอบคูเมือง แสงจากโคมไฟส่องสะท้อนเข้าตาวิบวับ
“ไม่รู้ว่าอาหวงเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
เฟิงอู๋โยวถอนหายใจเสียงแผ่ว แม้เจ้าหมาทึ่มของนางจะไว้ใจไม่ได้ แต่มันก็อยู่เป็นเพื่อนนางมาหลายปี คอยเป็นไออุ่นให้นางในทุกๆ ค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยวจนยากจะข่มตานอน
ในช่วงที่เพ้ออยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงโวยวายโหวกเหวกดังมาจากข้างหลัง
เห็นเพียงจุยเฟิง เถี่ยโส่วและทหารองครักษ์เงากลุ่มหนึ่งพากันควบม้าวิ่งอยู่บนถนนเมืองหลวง
“จุยเฟิง รีบเล่าให้ข้าฟังหน่อย ท่านราชครูไป๋หลี่เหอเจ๋อถูกผู้ใดทำมิดีมิชอบเยี่ยงไร” เถี่ยโส่วคว้าแขนจุยเฟิงพร้อมกับถามอย่างใจร้อน
“ชู่ว อย่าเสียงดัง!”
จุยเฟิงยกนิ้วชี้ป้องปากสั่งให้เงียบ ก่อนเริ่มซุบซิบกับเถี่ยโส่ว “เป็นเรื่องจริง ตอนที่ข้าบุกเข้าไปในเรือนกลางสวนต้นหลิว พวกเขากำลังคลอเคลียกันอยู่เลย”
“ทำท่าไหน เจ้าลองทำให้ข้าดูหน่อย!” เถี่ยโส่วถามเค้นถามจุยเฟิง
จุยเฟิงส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าดูต่อ เจ้ารู้แค่ว่าท่านราชครูไป๋หลี่เหอเจ๋อตกเป็นรอง”
“ถ้ามีโอกาสข้าอยากรู้จักกับผู้ที่กล้าสยบผาน้ำแข็งอย่างท่านราชครูไป๋หลี่เหอเจ๋อจริงๆ” เถี่ยโส่วอุทานอย่างใจหาย เขากอดไหล่จุยเฟิง เมื่อเห็นจุยเฟิงไม่ผลักเขาออกก็ขยับหน้าเข้าไปใกล้ๆ จุยเฟิงพร้อมสูดจมูกฟุดฟิด
“ไฉนถึงเหม็นหึ่งไปทั่งตัวแบบนี้!”
เถี่ยโส่วถูกจุยเฟิงผลักออก ก่อนยักไหล่อย่างจนปัญญา “ช่วยไม่ได้ เจ้าไม่รู้หรอกว่าวันนี้ข้าลำบากเพียงใด ใช้เวลาไปครึ่งวันเพื่อค้นหาตามห้องน้ำน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมืองแต่ก็ยังหาตัวสหายอู๋โยวไม่เจอ ที่ข้าตัวเหม็นไปทั้งตัวแบบนี้ถือว่ายังโชคดี แต่ถ้าท่านใต้เท้าเกิดโมโหหนักขึ้นมา เกรงว่าข้าคงถูกจับถลกหนังเป็นแน่”
จากนั้นจุยเฟิงถลึงตาใส่เถี่ยโส่วและพูดต่อ “เจ้าสมองทึ่ม! เจ้ามองไม่ออกหรือว่าท่านใต้เท้าปฏิบัติต่อแม่ทัพเฟิงแปลกๆ ซ้ำยังพูดจาขานเรียกกับเขาประหนึ่งเป็นมิตรสหาย!”
“หมายความว่าเยี่ยงไร”
แน่นอนว่าเถี่ยโส่วสังเกตเห็นอาการผิดปกติของจวินมั่วหรัน แต่เขามองไม่ออกว่าจวินมั่วหรันต้องการอะไรจากเฟิงอู๋โยวกันแน่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวก็ตั้งสติและเอียงตัวแอบฟังทั้งสองคนคุยกัน
“เมื่อวานท่านใต้เท้าเพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่ม แล้ววันนี้ก็คิดจะระเบิดท่อนล่างของพลทหารเฟิง แบบนี้มันหมายความว่าเยี่ยงไร”
เถี่ยโส่วส่ายหน้าก่อนถามกลับ “แล้วแบบนี้มันหมายความว่าเยี่ยงไร”
“เจ้าโง่! แบบนี้ก็หมายความว่าท่านใต้เท้าของพวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เริ่มเข้าใจถึงความใคร่ ใต้เท้าจะต้องคิดอะไรกับแม่ทัพเฟิงเป็นแน่ ในเวลาเดียวกันก็เริ่มหงุดหงิดกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของตัวเอง จากความหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นความโมโห ดังนั้นจึงได้ออกคำสั่งระเบิดท่อนล่างของพลทหารเฟิงทิ้งเพื่อกำจัดสิ่งเกะกะสายตา” จุยเฟิงวิเคราะห์อย่างมีหลักการ
“เจ้า เจ้ากำลังจะบอกว่าท่านใต้เท้าชอบแม่ทัพเฟิงอย่างนั้นหรือ!” เถี่ยโส่วตกใจตาเหลือกพร้อมอุทานขึ้นเสียงหลง
“อาจจะไม่ถึงกับชอบ อาจจะเป็นแค่รู้สึกมีอารมณ์กับเรือนร่างของเขา”
จุยเฟิงคลี่ยิ้ม พอคิดว่าจวินมั่วหรันเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็รู้สึกปลาบปลื้มใจขึ้นมาไม่น้อย
แบบนี้หมายความว่า ตระกูลจวินจะต้องมีทายาทสืบทอดต่ออย่างแน่นอน
เฟิงอู๋โยวที่ได้ยินเช่นนั้นรีบปิดปกเสื้ออย่างมิดชิดทันที “การที่เขารีบร้อนตามจับข้าแบบนี้ มันเป็นแบบที่จุยเฟิงพูดจริงๆ เหรอ ที่บอกว่าเขามีอารมณ์กับเรือนร่างของข้า”
“เฟิงอู๋โยว ยังหนีอยู่อีกหรือ”
“ผู้ใดกัน”
เฟิงอู๋โยวหันกลับไปอย่างตกใจ แต่ไม่ทันระวังจึงสะดุดล้มเข้าสู่อ้อมกอดของจวินมั่วหรันทันที
กลิ่นเครื่องร่ำจากอำพันหอมแผ่ซ่านเตะจมูก ทำเอานางจามติดต่อกันหลายครั้ง
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาสูงส่ง ก่อนผลักเฟิงอู๋โยวออกไป “ยังหนีอยู่อีกหรือ”
น้ำเสียงยังคงเจือแววชั่วร้าย แม้ใบหน้าจะไร้ซึ่งแววโกรธ แต่เฟิงอู๋โยวก็ยังกลัวเขาอยู่
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมตามหาท่านอยู่เลยขอรับ กว่าจะหาเจอทำเอากระหม่อมแทบแย่! เดินหลงไปครึ่งค่อนวัน โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้คน แต่กระทั่งตอนนี้ยังไม่ได้ทานข้าว กระหม่อมไม่หนีหรอกขอรับ ไม่หนีอีกแล้วขอรับ” เฟิงอู๋โยวก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว แต่กระนั้นพูดออกไปจากใจจริง
ตอนที่ 29 เซ่อเจิ้งหวางอยากป้อนข้าวให้ข้า
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเจือแววเสียดสีรำไร “เล่นละครต่อไป เล่นจนกว่าข้าจะพอใจแล้วค่อยหยุด”
คำพูดและการกระทำของเขาล้วนแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งในแบบของคนที่มองดูโลกจากที่สูง
“ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมหิวแล้ว ไม่มีแรงเล่นละครต่อหรอกขอรับ”
เฟิงอู๋โยวปัดมือปฏิเสธ ก่อนกุมท้องตัวเองพร้อมกับแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
จวินมั่วหรันมองนางด้วยสายตาแปลกๆ เพราะมองนางไม่ออกว่าเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ประเดี๋ยวดูเป็นคนขี้ขลาด ประเดี๋ยวดูเป็นคนหน้าด้าน แล้วอีกประเดี๋ยวก็บ้าบิ่น
ช่างเถิด คนที่มีลับลมคมใน ค่อยฆ่าทิ้งที่หลังก็ได้
เขาเป็นคนขี้เกียจวุ่นวายกับพวกคนที่มองนิสัยใจคอไม่ออกมาแต่ไหนแต่ไร และมักจะใช่วิธีที่ง่ายรวบรัดจัดการคนพวกนี้ ซึ่งก็คือฆ่าทิ้ง
ประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมของเฟิงอู๋โยวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ค่อยๆ เข้มข้นขึ้น ดังนั้นนางจึงรีบจับมือของจวินมั่วหรันที่กำลังคิดจะบีบคอนางอย่างรวดเร็ว “มือของท่านใต้เท้าช่างนุ่มนวลน่าสัมผัสเหลือเกินขอรับ”
“…”
จิตสังหารที่เอ่อล้นขึ้นมาเมื่อครู่ของจวินมั่วหรันพลันสลายหายไปอีกครั้ง
“นิ้วมือเรียวยาวให้ความรู้สึกถึงผู้มีอำนาจควบคุมทั่วใต้หล้า น่าเกรงขามเหลือเกินขอรับ!”
“ฝ่ามืออุ่นผ่าวราวกับหัวใจที่อบอุ่นของท่านใต้เท้าที่มีให้ต่อกระหม่อม น่าซาบซึ้งใจเหลือเกินขอรับ!”
“ปลายนิ้วก็นุ่มนิ่มไม่แข็งกร้าน ตอนเกาคงสบายน่าดู”
เฟิงอู๋โยวเอื้อมไปจับมือของจวินมั่วหรัน ก่อนไล่ดูอย่างพินิจ ขณะเดียวกันก็พยายามสรรหาความพูดสวยหรูมาเปรียบเปรย
ทว่าสายตาของจวินมั่วหรันกลับจ้องมองไปที่เรียวแขนของเฟิงอู๋โยวที่โผล่ออกมาจากชายแขนเสื้อเช่นกัน ชายแขนเสื้อที่ปักด้วยดิ้นเงินขับให้เรียวแขนเล็กบางของนางดูนวลผ่อง ประหนึ่งรากบัวขาวสะอาด
ดูๆ แล้วนางก็ดูน่าอร่อยอยู่เหมือน…
สายตาของจวินมั่วหรันเริ่มลุ่มลึกขึ้น มือที่ปล่อยให้เฟิงอู๋โยวจับเล่นก่อนหน้านี้เปลี่ยนมาคว้าแขนของนางเอาไว้ทันที
และก็เป็นอย่างที่เขาคิด ผิวของนางละเอียดอ่อนกว่าบุรุษทั่วไปยิ่งนัก
ข้อมือเล็กบางที่ถูกจับอยู่ในมือ ให้ความรู้สึกอยากปกป้องอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองมือตัวเองที่ถูกจวินมั่วหรันจับอยู่ นางพยายามขัดขืนเล็กน้อยเพราะไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องตกเป็นรองหรือถูกควบคุม
จวินมั่วหรันสัมผัสถึงความแข็งข้อของเฟิงอู๋โยว จึงออกแรงที่มือมากกว่าเก่า
เขาชินกับการบงการผู้อื่น ส่วนเฟิงอู๋โยวก็เป็นคนที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับเขา นางปลุกเร้าความรู้สึกอยากเอาชนะของเขาและความต้องการอยากเป็นเจ้าของที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่ตระหนัก
“ท่านใต้เท้าจะบดขยี้แขนของกระหม่อมหรือขอรับ”
เมื่อจวินมั่วหรันตั้งสติกลับมาได้ก็ค่อยๆ ปล่อยมือออก สายตาของเขาเหลือบไปเห็นรอยแดงที่ข้อมือของเฟิงอู๋โยวที่เกิดจากแรงบีบเมื่อครู่ ความรู้สึกหงุดหงิดผุดขึ้นทันที
“อ่อนแอ!” เขาพูดขึ้นด้วยสายตาเจือแววหงุดหงิดแปลกๆ
เป็นถึงแม่ทัพผ่านศึกมานักต่อนัก แต่กลับมาร่างกายอ่อนขนาดนี้เชียวหรือ
เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองอ่อนแอเกินไปจริงๆ แต่ปากของนางก็จะไม่ยอมแพ้ “ถ้าท่านใต้เท้าคิดจะบดขยี้แขนของกระหม่อมก็ย่อมทำได้ เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร”
“ถ้ากระหม่อมไม่มีมือ นับตั้งแต่นี้ต่อไป คงต้องรบกวนท่านใต้เท้าที่เป็นเหมือนผู้อาวุโสของกระหม่อมช่วยป้อนข้าวให้ด้วยขอรับ”
จวินมั่วหรันรู้สึกไม่สบอารมณ์ นี่เขาดูแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ
ทำไมนางถึงเปรียบเขาเป็น ‘ผู้อาวุโส’
เขาถูกเฟิงอู๋โยวยั่วยุโมโหได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก
“เฟิงอู๋โยว!”
“ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมหิวมากเลยขอรับ”
เฟิงอู๋โยวไตร่ตรองมาดีแล้ว การที่ต้องรับมือกับจวินมั่วหรันผู้เหี้ยมโหดบ้าอำนาจและคุ้นชินกับการดูถูกดูแคลนผู้ที่ต่ำต้อยกว่าอย่างจวินมั่วหรัน ห้ามใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันเป็นอันขาด
ด้วยเหตุนี้ หลังจากยั่วโมโหจวินมั่วหรันจนใกล้จะหมดความอดทน นางก็จะเปลี่ยนบุคลิกเป็นคนว่านอนสอนง่ายทันที ทั้งนี้นางต้องการให้เขาค่อยๆ ซึมซับพฤติกรรมแบบนี้ของนางไปอย่างไม่รู้ตัว
“เฟิงอู๋โยว เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ หรือ”
จวินมั่วหรันหลุบตามองนาง จากมุมสายตานั้นทำให้เขาได้เห็นขนตางอนยาวที่ไหวกระเพื่อมตามแรงลมของเฟิงอู๋โยว ประหนึ่งปลายกิ่งหลิวโบกพลิ้วริ้วละล่องตามสายลมอุ่น แลดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าอย่างหนักแน่นก่อนตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “แน่นอนอยู่แล้วขอรับ เมื่อครู่ถือว่าท่านใต้เท้ารับปากว่าจะป้อนข้าวให้กระหม่อม ห้ามผิดคำพูดนะขอรับ ในเมื่อยังไม่ได้ป้อนข้าว แล้วท่านใต้เท้าจะฆ่ากระหม่อมได้เยี่ยงไร”
“หุบปาก!”
“ท่านใต้เท้าอย่าได้โมโห ท่านไม่ต้องใส่ใจกับความรู้สึกของกระหม่อมก็ได้ หากท่านใต้เท้าอยากใช้ริมฝีปากอันสูงส่งของท่านประกบปิดปากของกระหม่อมก็ย่อมได้นะขอรับ!” เฟิงอู๋โยวเผยอปากออกมาพลางเขย่งปลายเท้าเพื่อแสร้งทำเป็นประกบจูบกับริมฝีปากอัน ‘สูงส่ง’ ของจวินมั่วหรัน