บทที่ 1286 : เลือดต้องล้างด้วยเลือด (6)
เว้นแต่จิ้งจอกฟ้าแล้ว สายตาของคนอื่น ๆ ที่มองตี้คังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“จิ้งจอกฟ้า ฝากเจ้าดูแลเทียนเทียน และหลิงเอ๋อด้วยนะ”
ไป๋หยานส่งเด็กน้อยทั้งสองในอ้อมแขนของนางให้จิ้งจอกฟ้าอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก นางเม้มริมฝีปากพลางกล่าวว่า “ข้าเพิ่งเห็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ดูดีเลยทีเดียว ข้าวางแผนที่จะเข้าสันโดษที่นั่นเพื่อฝึกฝน หากพวกเขาหิวเจ้าช่วยพาพวกเขามาให้ข้าก็พอ”
จิ้งจอกฟ้าร้องอู้อี้สองครั้ง หมายถึงตกลงตามคำขอของไป๋หยาน
ทว่าสายตาที่มันมองตี้คังก็ยังคงความรู้สึกรังเกียจไม่เสื่อมคลาย …
“จิ้งจอกฟ้า” ไป๋หยานเหลือบมองตี้คัง ก่อนจะหันไปมองจิ้งจอกฟ้า “ที่นี่ก็มีสัตว์อสูรตัวผู้อยู่ด้วยนี่ เหตุใดเจ้าถึงยังเกลียดมนุษย์ผู้ชายมากขนาดนี้ล่ะ ?”
จิ้งจอกฟ้าครุ่นคิด
พวกนี้คือสหายของมันอยู่กับมันมานานมากแล้ว พวกมันจะเป็นเหมือนผู้ชายที่น่าเกลียดชังเหล่านั้นได้อย่างไร ?
อย่างไรเสียมันก็เกลียดผู้ชาย ! หากมิใช่เพราะไป๋หยาน มันไม่มีวันปล่อยให้ผู้ชายเข้ามาในอาณาเขตของมันเป็นแน่ !
ไป๋หยานตบไหล่ตี้คัง พลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเห็นใจ และแล้วก็มีวันนี้ วันที่ตี้คังถูกสัตว์อสูรเพศเมียรังเกียจจนได้ …
ตรงกันข้าม ตี้คังกลับไม่ได้กล่าวคำใดเลย เขารู้สึกว่าน่าจะเป็นการดีกว่า หากพวกสัตว์อสูรสาว ๆ จะไม่ปรารถนาในตัวเขา เพราะอย่างน้อยหยานเอ๋อก็จะได้ไม่เข้าใจเขาผิด
เช่นนั้นเขาจึงหวังว่าสัตว์อสูรสาวจะรังเกียจเขาทุกคน !
“ตี้คัง หากท่านมีสิ่งใดที่ต้องทำ ท่านก็สามารถออกจากเทียนซานไปก่อนได้ ข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัยดี”
ไป๋หยานยิ้มพลางกล่าว
“เจ้าสามารถฝึกฝนได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลใด ๆ หากแดนอสูรมีปัญหา ข้าจะกลับไปจัดการเอง”
“อืม…”
ไป๋หยานพยักหน้า นางไม่ต้องการให้ตี้คังทิ้งแดนอสูรเพื่อมาอยู่เคียงข้างนาง
ทว่าหลังจากได้ยินถ้อยคำของตี้คังแล้ว หัวใจของนางก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ท้ายสุดนางก็หันไปมองไป๋เสี่ยวเฉินราวกับจะตัดใจ ก่อนจะเดินไปยังหุบเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
หุบเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในค่ายกลด้วยเช่นกัน คนธรรมดาย่อมไม่อาจหาสถานที่แห่งนี้พบ เช่นนั้นนางจึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีผู้ใดมารบกวนนาง …
ณ แดนอสูร
นับแต่วันนั้น วันที่ตี้คังและไป๋หยานจากไป ที่นี่ก็ไม่มีความสงบสุขเลย
ตอนแรกก็มีข่าวว่าตี้คังกำลังจะรับพระสนม ต่อมาบรรดายอดฝีมือแดนสวรรค์ก็บุกเข้าโจมตี โชคดีที่ผู้อาวุโสใหญ่ออกจากสันโดษมาช่วยเมืองอสูรได้ทันเวลา
ทว่าน่าเสียดายที่ก่อนที่ทุกคนจะทันมีเวลาถามไถ่เกี่ยวกับการคัดเลือกพระสนม ผู้อาวุโสใหญ่ก็เข้าสันโดษอีกครั้ง
อีกทั้งนี่ก็เกือบปีแล้ว ที่เขายังไม่ออกจากสันโดษ …
ภายในเวลาหนึ่งปี อาณาจักรอสูรไม่ลงมือทำสิ่งใด นอกจากประจำการในเมืองอสูร ทว่านั่นก็ทำให้พวกอาณาจักรสวรรค์ลืมพวกเขาไปแล้ว
เว้นแต่คนในพระราชวังสวรรค์เท่านั้นที่ไม่สามารถลืมพวกอาณาจักรอสูรได้ หากแต่ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการที่จะลงมือ พวกเขาก็จะได้รับคำเตือนจากเฟิงลี่เฉิน พวกเขาจึงทำได้เพียงสงบจิตสงบใจตัวเองเท่านั้น
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในเทวาคารแล้ว หยุนรั่วซีเป็นคนที่รู้สึกอึดอัดมากที่สุด นางรู้ดีว่าตราบใดที่ไป๋หยานยังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งนางก็จะต้องเจอเรื่องทุกข์ใจเป็นแน่ อีกทั้งเครื่องรางบนคอของนางก็จะถูกเปลี่ยนมือ !
หากต้องการทำให้เครื่องรางเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียวอย่างสมบูรณ์ วิธีเดียวก็คือสังหารเจ้านายคนก่อนของมันซะ !
“คุณหนู”
ครั้นเห็นหยุนรั่วซีก้าวออกมาจากห้อง สาวใช้ก็เข้ามา เอ่ยกล่าวด้วยความเคารพว่า “ปรมาจารย์หลายท่านมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
หยุนรั่วซีตกใจมาก มีปรมาจารย์มาขอพบนางหลายคนเลยกระนั้นรึ ? ในเวลาเช่นนี้พวกเขาไม่ได้กำลังคิดหาวิธีจัดการกับแดนอสูรหรอกหรือ ? แล้วพวกเขามาหานางเพื่อการใด ?
นางเม้มริมฝีปากเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินไปที่ห้องโถงรับแขก …
บทที่ 1287 : หนึ่งปีผ่านไป (1)
ภายในห้อง บรรดาปรมาจารย์ต่างก็นั่งกอดอก บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายภาคภูมิ เย็นชา และกระวนกระวาย
หยุนรั่วซีผลักบานประตู ก้าวเข้าไป หลังจากรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายหนักหน่วง หัวใจของนางพลันเคร่งเครียด นางเอ่ยถามออกมาว่า “ปรมาจารย์ทั้งหลาย พวกท่านต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใด ? “
“รั่วซี เจ้ามาแล้วกระนั้นรึ ?”
ต่อหน้าหยุนรั่วซี แม้แต่ปรมาจารย์หลิงที่เคยเฉยชามืดมนมาโดยตลอดก็ยังต้องเปลี่ยนท่าที รอยยิ้มอ่อน ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชราของเขา
“พวกเราเพิ่งปรึกษาหารือกับบรรดาผู้อาวุโส ตอนนี้เหล่าเทพสวรรค์ต่างไม่พอใจเทวาคาร เนื่องเพราะเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด เช่นนั้นหากราชาเทพสวรรค์ไม่เต็มใจที่จะดูแลสิ่งต่าง ๆ ข้าเกรงว่าไม่ช้าก็เร็วเทวาคารจะถูกแดนอสูรทำลายเป็นแน่”
ใบหน้าของหยุนรั่วซีเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ใบหน้าที่เปี่ยมเสน่ห์อย่างน่าทึ่งของไป๋หยานพลันผุดขึ้นในความคิดของนาง หมัดของนางกำแน่นโดยไม่ตั้งใจ ประกายแสงเย็นวาบปรากฏในดวงตาที่นางกำลังหลบตาทุกผู้คนอยู่
ไม่ !
นางไม่ยอมให้อาณาจักรอสูรเหยียบหัวนาง นางไม่ต้องการให้เฟิงลี่เฉินถูกหญิงผู้นั้นครอบงำอีกต่อไป !
“ท่านปรมาจารย์ พวกท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ?” หยุนรั่วซีเม้มริมฝีปากบาง ๆ ของตนพลางเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่สวยงามของนางฉายประกายมุ่งมั่น “ไม่ว่าท่านมีคำสั่งใด ข้า… หยุนรั่วซีย่อมไม่ปฏิเสธ !”
ปรมาจารย์หลิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะหันไปมองปรมาจารย์คนอื่น ๆ ที่นิ่งเงียบอยู่ ริมฝีปากของเขายกโค้ง พลางหัวเราะเยาะ “เจ้าช่างเป็นเด็กดี และฉลาดเฉลียวมากจริง ๆ ต่างจากเด็กสาวที่ถูกไอ้เฒ่าวิปลาสนั่นนำกลับมา พวกเจ้าเคยชื่นชอบนางมาก ทั้งที่นางไม่เคยทำสิ่งใดนอกจากทำให้ราชาเทพสวรรค์หลงใหลจนเลอะเลือนไปหมด !”
เหล่าปรมาจารย์ยังคงเงียบกริบ
พวกเขารักหยุนรั่วซีจากก้นบึ้งของหัวใจ ทว่าพวกเขาก็เกรงกลัวไป๋หยานเช่นกัน หากแต่ในตอนนั้นเมื่อชายชราผู้วิปลาสพาเด็กหญิงผู้นั้นกลับมา พวกเขาก็ชอบนางมาก
นางอาจไม่ได้แลดูนุ่มนวลอ่อนหวาน และเปี่ยมเมตตาเท่าหยุนรั่วซี ทว่านางก็มีความแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้
พรสวรรค์ของนางทำให้เทวาคารสั่นสะเทือน และพวกเขาต่างก็ต้องการให้นางอยู่ที่นี่อย่างจงรักภักดีต่อพวกเขา
ทว่า…
หยุนรั่วซีเท่านั้นที่คู่ควรกับราชาเทพสวรรค์ !
ท่านเทพาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ในกาลข้างหน้าบุคคลผู้ซึ่งมีเครื่องรางแห่งดวงจันทร์จะกลายเป็นผู้ปกครองของเหล่าเทพ และมีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่สามารถดูแลเทวาคารได้
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพวกเขาจะรักหญิงผู้นั้น ทว่าพวกเขาก็ต้องบีบบังคับให้นาง และราชาเทพสวรรค์แยกจากกันให้ได้ …
“รั่วซี เนื่องจากเจ้าได้รับบาดเจ็บจากการช่วยราชาเทพสวรรค์ ความแข็งแกร่งของเจ้าจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ ตอนนี้เรามีวิธีที่ไม่เพียงแต่จะฟื้นฟูความสามารถของเจ้าได้เท่านั้น ทว่ายังทำให้เจ้าก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดอีกด้วย”
มุมปากของปรมาจารย์ซวนยกยิ้ม เขากล่าวเนิบ ๆ เบา ๆ
หยุนรั่วซีรู้สึกสุขใจ นางรีบเงยหน้าขึ้นมองปรมาจารย์ซวน เสียงของนางสั่นเล็กน้อย “ที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริงกระนั้นหรือ ? ข้าสามารถฝึกฝนต่อได้จริง ๆ ใช่หรือไม่ ? ข้า … ข้าคิดว่า ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่สามารถพัฒนาได้แล้วเสียอีก”
“แน่นอน ที่ข้ากล่าวมาล้วนเป็นเรื่องจริง” ปรมาจารย์ซวนขมวดคิ้ว “ทว่าวิธีนี้อาจจะยุ่งยากสักเล็กน้อย จำต้องใช้สายเลือดที่ดีที่สุดของเผ่าจิ้งจอก ทั้งยังต้องเป็นจิ้งจอกสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีกด้วย วันนี้สายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าจิ้งจอกมีเพียงราชาอสูรตี้คังเท่านั้น หากเจ้าได้ดื่มเลือดจากสายเลือดจิ้งจอกของเขาได้ ความสามารถของเจ้าก็จะกลับคืนมา”
เลือดจากสายเลือดของราชาอสูรตี้คัง และต้องเป็นจิ้งจอกตัวเมียที่อายุน้อย ๆ กระนั้นหรือ ?
หยุนรั่วซีเม้มริมฝีปาก
“อย่างไรก็ตามในอาณาจักรอสูรมีจิ้งจอกตัวเมียเพียงตัวเดียวที่มีสายสัมพันธ์กับตี้คัง นั่นก็คือตี้เสี่ยวอวิ๋น แม้ว่าตี้เสี่ยวอวิ๋นจะไม่ใช่สายเลือดของตี้คัง ทว่านางก็เป็นน้องสาวของเขา น่าเสียดายที่ตี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือดของนางไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
บทที่ 1288 : หนึ่งปีผ่านไป (2)
“เว้นแต่…”
ก่อนที่ปรมาจารย์ซวนจะทันกล่าวจบเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชาของปรมาจารย์หลิง
“เว้นแต่…ตี้คังจะมีบุตรสาว เจ้าก็ต้องสูบเลือดของบุตรสาวเขามา และใช้มันอาบต่างน้ำเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน และสุดท้ายก็กินมันลงไป เพื่อฟื้นฟูร่างกายของเจ้า”
หยุนรั่วซีตกใจ ไป๋หยานมีบุตรชายคนเดียว มีบุตรสาวที่ไหนกัน ?
แม้ในใจของหยุนรั่วซีจะคิดเช่นนั้น ทว่านางก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า นางลดสายตาลง เอ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงว่านางไม่อาจทนทำเรื่องเช่นนั้นได้ “ท่านปรมาจารย์ทั้งหลาย เรื่องนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ แม้ว่าตี้คังจะมีบุตรสาวจริง หากแต่การกระทำเช่นนี้ ก็โหดร้ายเกินไป…”
ปรมาจารย์ซวนถอนหายใจเบา ๆ “เราไม่มีทางเลือกอื่น แม้ว่าพวกเราจะเกลียดแดนอสูร ทว่าเราก็ไม่อยากทำเรื่องเช่นนี้กับจิ้งจอกตัวน้อยเลย หากแต่ตอนนี้เราถูกบังคับ ไม่ทำก็ไม่ได้”
ปรมาจารย์หลิงทำเสียงฮึดฮัดเหยียดหยามท่าทีเมตตากรุณาของปรมาจารย์ซวนและคนอื่น ๆ
ก็แค่สัตว์อสูร ในโลกนี้สัตว์อสูรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าสิ่งใดทั้งหมด ! หากรั่วซีเป็นนายของเหล่าเทพสวรรค์ ในวันหน้านางจะสูงส่งสักเพียงไหนกัน ? สัตว์อสูรพวกนั้นจะเทียบได้อย่างไร ?
“ปรมาจารย์ซวน เกิดอะไรขึ้นกันนี่ ?” หยุนรั่วซีเงยหน้าขึ้นนัยน์ตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ในความคิดของนางนั้น ปรมาจารย์หลิงเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าปรมาจารย์ซวนมีจิตกุศลอยู่เสมอ เช่นนั้นการที่เขาต้องตัดสินใจเยี่ยงนี้ เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในอาณาจักรสวรรค์ ?
“ในตอนนั้นมหาเทพาจารย์ได้ทิ้งประโยคสำคัญไว้ว่า หายนะกำลังใกล้เข้ามา มีเพียงผู้ที่ถือเครื่องรางนี้เท่านั้นที่จะอยู่รอดจากหายนะ และเมื่อเจ้าคือนายของเครื่องรางนั้น ก็จำต้องให้ร่างกายของเจ้าฟื้นตัวเท่านั้น เมื่อนั้นเราจึงจะมั่นใจถึงความปลอดภัยของอาณาจักรสวรรค์ได้”
ปรมาจารย์ซวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มบิดเบี้ยว
ร่างของหยุนรั่วซีแข็งค้าง นางเอ่ยถามเสียงสั่น ๆ ว่า “ปรมาจารย์ซวนท่าน … นี่ท่านกำลังพูดถึงอะไร เหตุใดข้าถึงไม่เข้าใจเลย ?”
ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องเครื่องรางนี้มากเท่าตัวนางอีกแล้ว หากแต่นางไม่เคยรู้เลยว่าภัยพิบัติที่เขาว่าคืออะไร ?
ปรมาจารย์ซวนคิดว่านางอาจจะกังวลจนเกินไป เลยกล่าวเบา ๆ เพื่อปลอบใจ “รั่วซี ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ท่านเทพาจารย์แข็งแกร่งมาก ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ แม้ว่าเขาจะจากไปหลังจากทิ้งถ้อยคำเหล่านั้นไว้ ทว่า … สิ่งที่เขาเอ่ยกล่าวย่อมไม่มีวันผิดพลาด เจ้า…คือผู้ที่จะปกป้องอาณาจักรสวรรค์ !”
หากมิใช่เพราะเครื่องรางนี้ พวกเขาคงจะไม่ปฏิบัติต่อนางเช่นที่เคยกระทำมานานหลายปีหรอก นับประสาอะไรกับการบังคับให้ราชาเทพสวรรค์อภิเษกสมรสกับนาง
น่าเสียดายที่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของราชาเทพสวรรค์สูงส่งกว่าพวกเขามาก พวกเขาจึงไม่อาจควบคุมราชาเทพสวรรค์ได้
หากไม่มีอะไร ปรมาจารย์ซวนคงจะไม่กล่าวเช่นนี้ ครั้นเขากล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าที่นุ่มนวลของหยุนรั่วซีพลันซีดลงกระทั่งแทบไม่มีสีเลือด
ริมฝีปากของนางสั่นระริก นางอยากจะกล่าวสักสองสามประโยค หากแต่ท้ายสุดนางก็ไม่สามารถกล่าวในสิ่งที่นางอยากจะกล่าวได้
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน นางก็ตัวสั่น ขณะเอ่ยถามว่า “หายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อใด ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เวลาที่แน่ชัดนัก ข้าเพียงรู้สึกว่าภัยพิบัติกำลังใกล้เข้ามาแล้ว” ปรมาจารย์ซวนส่ายศีรษะ เขาหันไปมองปรมาจารย์คนอื่น ๆ อีกครั้ง พลางเอ่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ทุกคนฟังข้า”
เหล่าปรมาจารย์ที่เหลือต่างหันมาสบตาปรมาจารย์ซวน ทั้งหมดพร้อมใจกันรับฟังอย่างเงียบ ๆ
“การต่อสู้ระหว่างอาณาจักรสวรรค์ และอาณาจักรอสูรยืดเยื้อยาวนานมาหลายปีแล้ว ทั้งเมื่อหลายพันปีก่อน เราก็เป็นผู้ปิดผนึกอาณาจักรอสูรไว้ ! แต่หากหายนะครั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ทั้งอาณาจักรอสูร และอาณาจักรสวรรค์ต่างก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ภายใต้หายนะครั้งใหญ่นี้ หากเขาเต็มใจที่จะให้กำเนิดสุนัขจิ้งจอกตัวเมีย และยกลูกสุนัขจิ้งจอกให้กับเรา เราและอาณาจักรอสูรก็จะคลายความคับข้องใจที่มีต่อกันได้ ทั้งจะร่วมจัดการกับภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยกัน พวกท่านคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ ?”
ปรมาจารย์หลิงหัวเราะเยาะ “คนอย่างตี้คัง มีหรือจะเต็มใจส่งมอบลูกจิ้งจอกของเขาให้ ? อย่าลืมสิว่าเพียงเพื่อสาวงามคนเดียวชายผู้นั้นโกรธมากเพียงใด ครั้งนั้นเพื่อผู้หญิงของเขา เขาไม่ลังเลเลยที่จะต่อสู้กับอาณาจักรสวรรค์เป็นเวลาตั้งหลายปี ! ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพุ่งเข้าสนามรบเพียงลำพังเพื่อช่วยนาง แล้วเขาจะมอบลูกให้เราง่าย ๆ กระนั้นรึ ?”
บทที่ 1289 : หนึ่งปีผ่านไป (3)
ครั้นหวนคิดถึงภาพในครานั้น ทุกคนต่างก็สะดุ้งตกใจ
ตอนนี้ แค่พวกเขาหลับตาลง พวกเขาก็สามารถเห็นได้ในมโนว่า ตี้คังเสียสละชีวิตตนเอง เพื่อช่วยวิญญาณนางให้รอดพ้นจากเพลิงสังหารเทพเจ้า …
ฉากนั้นกลายเป็นความฝันในใจของสาว ๆ หลายพันคนในอาณาจักรสวรรค์
ใคร ๆ ก็อยากมีบุรุษที่หล่อเหลาโดดเด่นหาผู้ใดเทียบได้ ฝ่าฟันอันตรายอย่างมุทะลุ เพื่อมาช่วยตนเองทั้งนั้นแหละ
แม้แต่หยุนรั่วซีผู้ซึ่งหลงรักเฟิงลี่เฉินอย่างสุดหัวใจ ก็ยังยอมรับว่าเมื่อพันปีก่อน บุรุษเรือนผมสีเงินที่ร่อนลงมาจากฟากฟ้าดั่งเทพบุตรสวรรค์ผู้นั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของนางมิรู้วาย ทั้งยังทำให้นางแทบคลั่งด้วยความริษยา
นางไม่รู้ว่าหญิงแพศยานั่นมีอะไรดี ? เหตุใดทั้งราชาเทพสวรรค์ ทั้งราชาอสูรถึงดีกับนางเช่นนี้ !
ปรมาจารย์ทั้งหมดเงียบ
หากเป็นเฟิงลี่เฉิน พวกเขาคงพอมีความหวังที่จะเกลี้ยกล่อมให้เฟิงลี่เฉินยอมส่งมอบบุตรสาวของตนได้ แต่หากเป็นราชาอสูร พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
ปรมาจารย์ซวนครุ่นคิด “ตี้คังอาจไม่ห่วงตนเอง ทว่าเขาจะไม่เพิกเฉยต่อหญิงผู้นั้น และแดนอสูรเป็นแน่”
ปรมาจารย์หลิงเม้มริมฝีปากเยาะ “ตี้คัง สามารถตายเพื่อนางได้ ทว่าคนอย่างเขาจะสละชีวิตบุตรสาวของตนได้ง่าย ๆ งั้นรึ ? นอกจากนี้คนอย่างตี้คังดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแดนอสูร หาไม่เขาคงจะไม่ปล่อยให้ทุกชีวิตในแดนอสูรต้องตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะสตรีผู้เดียวหรอก”
อาณาจักรสวรรค์ถูกโจมตีอย่างง่ายดายได้เยี่ยงไร ?
ในครานั้น เพียงเพราะไป๋หยาน เขาก็ไม่ลังเลที่จะสั่งให้ชาวอสูรโจมตีแดนสวรรค์ ! และตอนนี้เหตุการณ์นั้นก็กำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง
ชายเช่นนี้หรือที่ชาวอาณาจักรอสูรไว้วางใจ ?
ประมาณว่าเพียงเพื่อให้นางมีความสุขแล้ว เขาก็สามารถสละแดนอสูร ทั้งยอมเกณฑ์คนแดนอสูรมาโจมตีแดนสวรรค์ ช่างเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
“แต่หากไม่ได้ผลล่ะ เราก็ต้องเตรียมหาวิธีอื่นอีก หญิงผู้นั้นเป็นหมอปรุงยา นางต้องมีวิธีที่จะฟื้นฟูรั่วซี เมื่อถึงตอนนั้นเราก็บังคับให้นางค้นหาวิธีให้เรา”
พวกปรมาจารย์คนอื่น ๆ นิ่งคิดกันครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวออกมา
หยุนรั่วซีรับฟังความคิดเห็นของเหล่าปรมาจารย์ ริมฝีปากของนางเม้มเข้าหากันเบา ๆ พร้อมกันนั้นหยาดน้ำตาก็เอ่อคลอในดวงตา “ท่านปรมาจารย์ เพื่อข้าแล้วพวกท่านคงต้องเหน็ดเหนื่อยกันมาก ข้ารู้สึกละอายแก่ใจจริง ๆ แท้ที่จริง ข้าเองก็ไม่ต้องการลากผู้อื่นให้เข้ามาวุ่นวายเพื่อตน พวกท่านควรปล่อยให้ข้าเป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิตจะดีกว่า”
ที่ผ่านมา หยุนรั่วซีมักเสแสร้งกล่าวถ้อยคำเหล่านี้เพื่อสร้างภาพ ทว่ายามนี้นางกล่าวออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แน่นอนว่านางไม่เต็มใจที่จะใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อฟื้นฟูร่างกาย ทว่ามิใช่เพราะนางไม่เต็มใจที่จะลากผู้อื่นมาลำบากลำบนด้วย หากแต่เป็นเพราะ นางเกรงว่า หากนางฝึกฝนได้อีกครั้ง ตาแก่พวกนี้ก็จะผลักนางออกไปเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่จะมาถึงมากกว่า ?
หากนางยังไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ พวกตาเฒ่าเหล่านี้ก็ยังคงต้องเกรงอกเกรงใจนาง และพวกเขาก็จะต้องปกป้องนางอย่างแน่นอน ในเวลานั้นนางก็จะไม่ถูกมองข้าม …
ถ้อยคำของหยุนรั่วซี เป็นไปเพื่อหาทางออกที่สวยงามให้ตนเอง ทว่าน่าเสียดายที่ชายชราเหล่านี้กลับมิได้เดินตามแผนของนาง หลังจากได้ยินถ้อยคำของนาง พวกเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“แม่นางหยุน เจ้าไม่ต้องคิดมาก พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด เราก็จะต้องฟื้นฟูความสามารถของเจ้า เพื่อให้เจ้าปกป้องอาณาจักรสวรรค์ของเรา ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึง”
ใบหน้าของหยุนรั่วซีซีดลงอีกครั้ง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก ยามนี้นางกล่าวไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ
“รั่วซี หากเจ้าเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” ปรมาจารย์หลิงยิ้มให้ “หากวันใดที่ภัยพิบัติมาถึง เจ้าก็จะต้องเป็นผู้ปกป้องอาณาจักรสวรรค์ เมื่อนั้นราชาเทพสวรรค์ก็จะต้องสำนึกในบุญคุณของเจ้า และยินยอมอภิเษกสมรสกับเจ้าแต่โดยดี”
บทที่ 1290 : หนึ่งปีผ่านไป (4)
หยุนรั่วซีตกตะลึง
ย้อนกลับไปในคราครั้งนั้น ที่เฟิงลี่เฉินยอมเลิกรากับไป๋หยานก็เพื่อคนของอาณาจักรสวรรค์ ในเวลานี้ เขาอาจจะยอมอภิเษกสมรสกับนาง เพื่ออาณาจักรสวรรค์ก็เป็นได้ ?
“ท่านปรมาจารย์ทุกท่าน ข้าเข้าใจดีแล้ว เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของคนแดนสวรรค์ ข้าจะไม่มีวันหันหลังกลับ”
หยุนรั่วซีเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางบอบบางมาก แลดูเปล่งประกายสว่างไสวแปลก ๆ
ขอเพียงนางได้แต่งงานกับเฟิงลี่เฉิน ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ แม้ว่านางจะได้ใช้เวลากับเขาเพียงแค่คืนเดียว นางก็จะไม่เสียใจ ทั้งจะพอใจที่สุดแล้วในชีวิตนี้ …
หลังจากกล่าวจบ หยุนรั่วซีก็ขอลาปรมาจารย์ทั้งหลาย นางเดินกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องโถงให้
ภายในห้องโถงกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ปรมาจารย์ทั้งหมดต่างเงียบ
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ปรมาจารย์หลิงก็กล่าวออกมาด้วยท่าทางอึดอัด “พวกเราและแดนอสูรต่างก็เป็นศัตรูกัน จะขอบุตรสาวของตี้คังด้วยตนเองย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นจึงมีเพียงสองคนที่สามารถเป็นเป็นทูตให้พวกเราได้”
“ผู้ใดกัน ?”
“ราชาเทพสวรรค์ ! เด็กหญิงผู้นั้นมาที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งนางก็ยังเป็นคู่รักวัยเยาว์ของราชาเทพสวรรค์ นางเชื่อฟังเขาเป็นอย่างมาก หากราชาเทพสวรรค์เป็นผู้เกลี้ยกล่อมนาง อาจจะได้ผลมากกว่า และก็คงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ส่วนคนที่สองก็คือตาแก่วิปลาสผู้นั้น !”
ปรมาจารย์ซวนเม้มปาก “อย่าคิดเองเออเองว่าชายชราคนนั้นบ้าบอไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว แท้ที่จริงเขารู้เรื่องราวหลาย ๆ เรื่องเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคอยช่วยประสานงานเรื่องนี้ให้กับเรา ก่อนที่เราจะปรึกษาหารือกันเรื่องการจัดการกับหญิงผู้นั้น เราต้องล่อหลอกชายชราบ้าไว้ก่อน ลวงให้เขาไปให้พ้นจากที่นี่ หาไม่ หากมีเขาอยู่ด้วย ยากที่เราจะรับมือหญิงผู้นั้นได้แน่”
ปรมาจารย์หลิงกล่าวอย่างเฉยชา “มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่เราจะสามารถขอร้องราชาเทพสวรรค์ได้ ราชาเทพสวรรค์จะต้องยอมทำสิ่งนี้ เพื่อประโยชน์ของเหล่าเทพ ยิ่งไปกว่านั้น หากพระองค์ยอมโน้มน้าวไป๋หยานแล้ว เราจะให้สัญญากับพระองค์ว่า หากนางเต็มใจที่จะเชื่อฟังเรา เราจะยอมให้พระองค์อภิเษกสมรสกับนาง”
“เอ่อ… ” ปรมาจารย์ซวนผงะไปชั่วครู่
ปรมาจารย์หลิงเกลียดหญิงผู้นี้มาก ทว่านี่ถึงขนาดยอมเอ่ยปากให้สัญญาอย่างนั้นได้จริง ๆ หรือ ?
เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์หลิงเห็นถึงอาการค้างคาใจของปรมาจารย์ซวน เขาจึงยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว “ข้าเพียงหลอกราชาเทพสวรรค์ หลังจากหายนะผ่านพ้นไป ข้าก็จะไม่ปล่อยคนของแดนอสูรให้เหลือรอดชีวิตแม้สักคน !”
หลังจากพ้นภัยพิบัติ ก็ถึงเวลาแล้วที่แดนสวรรค์จะจัดการแดนอสูร !
“แล้วตอนนี้ ข้าก็หาทางติดต่อกับราชาเทพสวรรค์ได้แล้วด้วย”
ปรมาจารย์ซวนลุกขึ้นจากเก้าอี้ พลางถอนหายใจเล็กน้อย เขาแสยะยิ้ม
ทว่าเพื่อส่วนรวมเขาก็ต้องยอมรับ
หวังว่า … ราชาเทพสวรรค์จะไม่เกลียดพวกเขา
*****
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลาไม่ต่างจากสายน้ำ
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ไป๋หยานกักตัวฝึกตนในเขาเทียนซาน เพียงผ่านไปได้หกเดือน ภายใต้อัสนีบาตรุนแรงบนท้องฟ้า นางก็บรรลุถึงระดับสูงของเทพขั้นกลางแล้ว ทว่าในช่วงหกเดือนให้หลัง นางมาถึงคอขวด ทั้งไม่อาจก้าวหน้าได้อีกเลยแม้แต่น้อย
บางทีอาจเป็นเพราะการฝึกฝนไม่ก้าวหน้าอีกต่อไป ไป๋หยานจึงหยุดฝึกฝน ทันทีที่นางลืมตา เจ้าซาลาเปาไส้หวานนุ่ม ๆ หนึบ ๆ ก็ก้าวมาด้านหน้า
ปังนมน้อยเดินจิกปากจู๋ แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบใบหน้าที่เป็นสีชมพู และอ่อนโยนของเด็กน้อย ยิ่งแลดูน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นกว่าเดิม นัยน์ตาอันชาญฉลาดคู่นั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจ ขณะพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยาน
“หม่ามี้ พี่รองรังแกข้า”
ไป๋หยานเอื้อมมือไปกอดเด็กน้อยน่ารัก พลางหยิกแก้มสีชมพูยุ้ยของนาง “พี่รองของเจ้ารังแกเจ้ายังไง ?”
“ก็จิ้งจอกฟ้าเก็บผลไม้ลูกเล็ก ๆ มาให้หลิงเอ๋อ แต่พี่รองแย่งไปหมดเลย หลิงเอ๋อก็อยากกินผลไม้เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ บ้าง”
แม้ว่าหลิงเอ๋อน้อยจะอายุไม่ถึงสองขวบ แต่ละก้าวย่างยังไม่ค่อยมั่นคงนัก ทว่า … เพราะสายเลือดจิ้งจอกอสูรในร่างของนาง แม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะไม่ต่างจากเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบ หากแต่นางกลับเจรจาได้คล่อง
จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – บทที่ 1286-1290
จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์
นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้
ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย
มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก
ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก
แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…
จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”