ตอนที่ 30 ห้ามเจ้าไปไหนจากข้า / ตอนที่ 31 มีพิรุธ
ตอนที่ 30 ห้ามเจ้าไปไหนจากข้า
ท้องฟ้าราตรีคล้ายซุกซ่อนม่านฉากสีคราม พร่างพราวไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ
สายลมเย็นพัดผ่านกกหู ไรผมร่วงหล่นปะหน้าผาก แสงจันทร์ส่องกระทบลงบนใบหน้านวลลออของเฟิงอู๋โยว ขับผิวพรรณให้แลดูนวลผ่องดุจน้ำนม ช่างน่าอภิรมย์ยามมองยิ่งนัก
จวินมั่วหรันมองนางอย่างนิ่งแน่ ดวงตาอันคลุมเครือเจือแววลุ่มลึก
ดูๆ แล้วนางช่างเหมือนขนมอบเย้ายวนน่ารับประทาน รสชาติจะต้องหอมหวานโอชะเป็นแน่
หากไม่เลิศรสยามได้ลิ้มลอง ค่อยฆ่าทิ้งก็ยังไม่สาย!
จวินมั่วหรันจ้องมองริมฝีปากเผยอของนางที่กำลังเคลื่อนเข้ามา เดิมทีคิดอยากสนองความต้องการของโดยการประกบปากจูบเพื่อให้นางหุบปาก
เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย มือหนึ่งข้างเชิดคางนางขึ้น แต่พบว่าตัวนางเตี้ยไปหน่อย ต่อให้ย่อเข่าลงแล้ว ระยะริมฝีปากของเขาและนางก็ยังอยู่ห่างกันราวหนึ่งคืบอยู่ดี
อันที่จริงนางไม่ได้เตี้ยขนาดนั้น หากอยู่ท่ามกลางฝูงชน รูปร่างสูงเพรียวของนางดูโดดเด่นดึงดูดสายตา
แต่ปัญหาก็คือรูปร่างสูงโปร่งทรงสง่าของจวินมั่วหรันทำให้เฟิงอู๋โยวดูตัวเตี้ยกว่าเขาไปประมาณยี่สิบเซ็นติเมตรอย่างถนัดตา
จากจุดที่ไม่ไกลนัก เถี่ยโส่วกำลังมองดูจวินมั่วหรันที่ยืนอยู่ตรงขอบคูเมืองอย่างตะลึงอึ้ง “จุย จุยเฟิง รีบมาดูนี่เร็วเข้า! ท่านใต้เท้ากำลังประพฤติมิดีมิชอบกับแม่ทัพเฟิงในที่สาธารณะอยู่”
“ชู่ว! พูดอะไรน่าไม่อาย ไม่ใช่ประพฤติมิดีมิชอบเสียหน่อย แบบนี้เรียกว่าความเอ็นดูต่างหาก” จุยเฟิงเอามือปิดปากเถี่ยโส่ว พร้อมกับแก้คำพูดของเขา
“ท่านใต้เท้ากำลังเอ็นดูแม่ทัพเฟิงในที่สาธารณะอยู่! พระเจ้า พวกเขาคงไม่กระทำเลยเถิดกันที่ขอบคูเมืองใช่หรือไม่ ถ่านไฟลุกไหม้ปลุกเพลงรักอันเร่าร้อนพร้อมบรรเลง” เถี่ยโส่วเบิกตากว้าง เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น เพราะอยากจะเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ
ทว่าจวินมั่วหรันดันหูดีได้ยินทุกคำสนทนาของจุยเฟิงและเถี่ยโส่ว ทำให้รู้สึกเขินอายยิ่งนัก
เขาเป็นคนปราศจากความต้องการอื่นใดมาโดยตลอด แต่บัดนี้กลับมีความรู้สึกบางอย่างกับบุรุษตัวเล็กคนนี้ น่าอายเสียจริง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเฟิงอู๋โยวเห็นว่าจวินมั่วหรันไม่ผลักนางออก แต่ก็ไม่ยอมเดินหน้าต่อ ครั้นแล้วนางจึงหมดความอดทน
“ท่านใต้เท้าขอรับ เรียวปากทรงกลีบดอกท้อของกระหม่อมไม่น่าสัมผัสหรือขอรับ”
เฟิงอู๋โยวถามเขาออกไปตรงๆ เข็มเงินพร้อมจู่โจมอยู่ใต้แขนเสื้ออีกครั้ง
เดิมทีนางต้องการอาศัยช่วงจังหวะนี้ใช้เข็มเงินเล่นงานเขา จากนั้นก็ผลักลงไปในแม่น้ำคูเมืองให้ปลากิน
แต่น่าเสียดาย ดูเหมือนจวินมั่วหรันไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ
หมับ
ฝ่ามือขนาดใหญ่ของจวินมั่วหรันบีบเข้าที่ใบหน้าของเฟิงอู๋โยว จากนั้นก็ลากนางเข้ามาด้านหน้าก่อนกัดเข้าไปที่ลำคออันเรียวยาวของนาง
“จวินมั่วหรัน นี่เจ้าเกิดปีจอหรือ”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกเจ็บขึ้นมา แต่ก็ตั้งสติตอบโต้ด้วยการตั้งท่าเตรียมสวนหมัดเข้าไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของจวินมั่วหรัน
จวินมั่วหรันสัมผัสได้ถึงแรงขัดขืนของเฟิงอู๋โยว ก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
ทั่วใต้หล้านี้ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดขืนเขา แต่เฟิงอู๋โยวกลับไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ริอาจจะสวนหมัดใส่เขาอีก
“ขืนกล้าลงมือกับข้า ข้าจะจับเจ้าโยนลงแม่น้ำคูเมืองเสีย” จวินมั่วหรันปริปากเอ่ย มือข้างหนึ่งกอดรัดเอวของนางเอาไว้ พร้อมกับก้าวไปยังขอบคูเมือง
“ไม่กล้าแล้วขอรับ”
เฟิงอู๋โยวส่ายหัวไปมา เมื่อเห็นผิวน้ำกระเพื่อมก็นึกถึงฉากจมน้ำตายของตัวเอง แววตาพลันหยุดนิ่งก่อนผุดแววหวาดกลัวขึ้นมา
“เฟิงอู๋โยว หากข้ายังไม่หมดความสนใจในตัวเจ้า ห้ามเจ้าไปไหนจากข้าแม้แต่ครึ่งก้าว เข้าใจหรือไม่” จวินมั่วหรันขึ้นอย่างบ้าอำนาจ
บุคลิกแบบนี้ของเขาช่างดูสูงส่งราวกับเทพเจ้าเสียจริง!
ระหว่างนั้นมีผู้คนแอบมองอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่เพียงแค่เขาหรี่ตาลง ทุกคนก็ต่างพาหัวหดกลับไปทันที
“เข้าใจแล้วขอรับ”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกตัวหดเล็กลงทันที นางทำได้เพียงยอมกล้ำกลืน “ท่านใต้เท้าขอรับ หากท่านชื่นชอบคอของกระหม่อมจริงๆ ได้โปรดกัดเบาๆ หน่อยได้ไหมขอรับ เพราะฟันของท่านอาวุโสมันแหลมคมยิ่งนัก กระหม่อมเจ็บ”
ตอนที่ 31 มีพิรุธ
“อาวุโส” เพียงสามพยางค์ก็ทำเอาไฟโทสะสุมขึ้นกลางอกจวินมั่วหรันทันที
เขากระชากปกเสื้อของเฟิงอู๋โยวและลากมาชนกับรั้วไม้กั้นคูเมือง “ถ้าวันนี้ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าห้ามพูด”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าระรัวราวกับลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว
แต่ภายไนเวลาไม่นาน นางก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “ท่านใต้เท้าขอรับ ตอนนี้พูดได้หรือยังขอรับ”
“…”
“ท่านใต้เท้าโปรดวางใจ หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน กระหม่อมจะไม่พูดแน่นอน”
“…”
จวินมั่วหรันรู้สึกเอือมระอากับเฟิงอู๋โยวเสียเต็มประดา ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘เป็ดกับไก่คุยกัน[1]’ อย่างกระจ่าง
“ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมตัวหนัก หากกระแทกรั้วกั้นจนหักเข้าคงไม่ดีแน่! ตอนนี้กระหม่อมพูดได้หรือไม่ขอรับ”
มือสองข้างของเฟิงอู๋โยวจับแขนจวินมั่วหรันแน่น เพราะนางกลัวน้ำและกลัวจวินมั่วหรันเกิดนึกสนุกจับนางโยนลงแม่น้ำคูเมืองขึ้นมาจริงๆ
“เฟิงอู๋โยว เจ้าไม่ต้องการเก็บลิ้นตัวเองไว้อย่างนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาลุ่มลึกที่เปลี่ยมไปด้วยความสงสัย
หรือว่าแม่ทัพเฟิงที่ผ่านศึกมาโชกโชนมีปัญหาทางด้านสติปัญญา
“อื้อๆ ” เฟิงอู๋โยวหุบปากทันที แต่ก็พยายามส่งเสียงพูดอู้อี้ในลำคอ
“เฟิง อู๋ โยว!”
จวินมั่วหรันกัดฟันเรียกชื่อนาง ตอนนี้เขาชักเริ่มอยากจะจับนางโยนลงแม่น้ำขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว และปล่อยให้นางจมน้ำตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
“อือ”
เฟิงอู๋โยวตอบรับในลำคอ น้ำเสียงอู้อี้ในลำคอฟังดูคลุมเครือราวกับไอหมอกเบาบาง แต่ก็สวยงามนุ่มนวลราวกับดอกท้อ ยามเสียงแล่นกระทบโสตก็ชวนให้นึกถึงบทเพลงเสนาะหู
เป็นความคลุมเครือที่มีเสน่ห์เหลือเกิน!
ตอนที่จวินมั่วหรันได้ยินเสียงนั้น ทำเอาเขาเกร็งไปทั่วทั้งร่าง แต่แล้วเขาก็นึกถึงเรื่องที่เฟิงอู๋โยวเคยหยามหมิ่นองค์หญิงหลีอินแห่งแคว้นเป่ยหลี
หรือว่าตอนนั้นนางทำตัวป่าเถื่อนแบบนี้จริงๆ
เฟิงอู๋โยวเริ่มตระหนักได้ว่าเสียงของตัวเองผิดปกติ จึงรีบก้มหน้าลงอย่างเชื่อฟัง
นางหลุบตาต่ำจ้องมองรองเท้าสานสีเข้มบนเท้าของจวินมั่วหรัน จดจ่ออยู่กับลวดลายที่เกิดจากการเดินเส้นปักดิ้นทองและไม่พูดอะไรขึ้นอีก
กรอบแกรบ
แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ ขณะที่เฟิงอู๋โยวพยายามทำตัวไร้ตัวตนอยู่นั้น มัดกิ่งไม้ที่อยู่ตรงระหว่างขาของนางก็ส่งเสียงเสียดสีออกมาราวกับไม่อยากให้นางยอมจำนน
หลังจากเสียงเสียดสีดังขึ้น มัดกิ่งไม้ที่ควรจะอยู่ที่เดิมนิ่งๆ กลับเลื่อนขึ้นมาด้านบนเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนมันนูนขึ้นมา
“เสียงอะไร”
จวินมั่วหรันคิ้วขมวด สายตาคมเฉี่ยวดุจเหยี่ยวมองไปบนร่างกายนางทันที
เฟิงอู๋โยวตึงเครียดจนไม่กล้าขยับ แต่กระนั้นก็พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “คะ คือว่าท้อง ท้องกระหม่อมร้องขอรับ…”
“จริงหรือ”
“จริงแท้แน่นอนขอรับ!”
นางพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางเลื่อนมือทั้งสองข้างมาไว้ข้างหน้า เพื่อพยายามปกปิดมัดกิ่งไม้ที่ ‘เบี้ยวผิดรูป’
“เจ้าทำอะไรอยู่” สายตาของจวินมั่วหรันยังคงจ้องมองอยู่ แล้วเขาก็สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของเฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงกระชับมือทั้งสองข้างแน่นกว่าเดิมพลางพูดขึ้น “หิวเหลือเกินขอรับ บางส่วนของร่างกายผิดแปลกไป คิดว่าคงอยากออกไปข้างนอกเพื่อหาอาหารขอรับ”
“???”
เมื่อจวินมั่วหรัน ได้ยินคำพูดคำจาที่กำกวมฟังไม่รู้เรื่อง ก็ได้แต่คิดว่าคงเป็นเพราะเฟิงอู๋โยวหิวจนสติเลอะเลือน ทำให้สื่อสารไม่ชัดเจน
เฟิงอู๋โยวกลืนน้ำลายหนึ่งอึก มือทั้งสองข้างก็พยายามปกปิดมัดกิ่งไม้ที่โค้งเบี้ยวผิดรูปต่อไป
เมื่อจวินมั่วหรันเห็นเช่นนั้น มือที่เพิ่งจะคว้าคอเสื้อนางไปก็ย้อนกลับไปกระชากแขนเรียวบางของนางอีกครั้ง
เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อของเฟิงอู๋โยวคงมีอาวุธอะไรซุกซ่อนอยู่ แต่หลังจากตรวจสอบดูกลับว่างเปล่า มีเพียงเหงื่อกาฬเปียชุ่มเต็มฝ่ามือ
ขณะที่เขากำลังจะเลิกยุ่งกับเฟิงอู๋โยว สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงที่ดูผิดรูปของนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เห็นแค่แวบเดียวก็ทำเอาใบหน้าของเขาร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
“ไปตายเสีย!”
ครั้นแล้วจวินมั่วหรันจึงออกกระบวนท่าฝ่ามือวายุไปที่ระหว่างขาของเฟิงอู๋โยวทันที
เฟิงอู๋โยวเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอี้ยวตัวหลบฝ่ามือของเขา และหมุนตัวไปจรดแผ่นหลังจากเขา จากนั้นก็รีบพูดอธิบายอย่างระมัดระวัง “มันไม่ใช่อย่างที่ท่านใต้เท้าคิดนะขอรับ!”
จวินมั่วหรันหาได้มีสติฟังคำอธิบายของนางเสียที่ไหน
ตอนนี้ เขาคิดได้เพียงเฟิงอู๋โยวเกิดอารมณ์กับเขาจนร่างกายของนางเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง
สำหรับจวินมั่วหรัน แบบนี้เท่ากับเป็นการหยามหมิ่นขนานหนัก!
[1] เป็ดกับไก่คุยกัน หมายความว่าทั้งสองฝ่ายพูดจากันคนละภาษา ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจกัน