ตอนที่ 32 จงคุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าข้า / ตอนที่ 33 เตะเซ่อเจิ้งหวาง
ตอนที่ 32 จงคุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าข้า
ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง
ฝ่ามือวายุของจวินมั่วหรันระดมโจมตีเข้าไปที่รั้วกั้นขอบคูเมือง ทำเอาผู้คนในละแวกนั้นสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายที่แผ่ซ่านออกมา
จวินมั่วหรันยืนอยู่ท่ามกลางกระแสสายลมคลั่ง เสื้อผ้าของเขาโบกสะบัดตามแรงลมส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างก็รู้สึกครั่นคร้ามกับรังสีอำมหิตที่แผงฤทธิ์ออกมาของเขา คนที่ขี้ขลาดหน่อยก็ถึงกับเข่าอ่อนแรงลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อน
เฟิงอู๋โยวหลบไปทางซ้ายที ทางขวาที มือทั้งสองข้างพลันจับชายเสื้อด้านหลังของจวินมั่วหรันพร้อมรีบอธิบาย “ท่านใต้เท้าขอรับ โปรดเชื่อกระหม่อมเถิดขอรับ กระหม่อมชอบสตรีเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่กระหม่อมจะคิดเรื่องอย่างว่ากับท่านใต้เท้า”
จวินมั่วหรันประเมินความว่องไวของเฟิงอู๋โยวไว้ต่ำไป ยิ่งโกรธ เขาก็ยิ่งไม่สามารถจับเฟิงอู๋โยวที่หลบอยู่ข้างหลังเขาได้
อันที่จริง เขาสามารถโอบกอดเฟิงอู๋โยวและคว้าตัวมาอยู่ในระยะที่เขาควบคุมได้
แต่เมื่อนึกถึงสัญลักษณ์ความเป็นชายบนร่างกายของนางที่เพิ่งมีปฏิกิริยากับเขาไปเมื่อครู่ ความคิดดังกล่าวก็หายไปทันที
“ท่านใต้เท้าขอรับ โปรดระงับโทสะลงก่อนขอรับ อย่าโกรธกระหม่อมเลย ความโกรธไม่ดีต่อร่างกาย มันไม่คุ้มกันนะขอรับ” เฟิงอู๋โยวเกาะหลังจวินมั่วหรันอย่างไม่ยอมปล่อยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“หุบปาก”
“รับทราบ”
เฟิงอู๋โยวหุบปากขอย่างเชื่อฟัง นางนึกในใจว่าหากวันหนึ่งที่นางสามารถอยู่เหนือกว่าจวินมั่วหรันได้ นางจะขอให้เขาคุกเข่าและจูบเท้านางอย่างแน่นอน
เมื่อเถี่ยโส่วเห็นจวินมั่วหรันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น ก็รู้สึกเหงื่อตกแทนเฟิงอู๋โยว
เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่เขาถูกใจนิสัยเฟิงอู๋โยวยิ่งนัก
นางบ้าระห่ำและใจกล้าบ้าบิ่นเกินกว่าใคร แตกต่างจากข้ารับใช้รุ่นก่อนๆ ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มหัวรับคำสั่ง
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเถี่ยโส่วก็ตัดสินใจวิ่งเหยาะๆ ไปหาจวินมั่วหรัน “ท่านใต้เท้า ข้าน้อยไม่อาจเสียแม่ทัพเฟิงไปได้ ดังนั้นขอร่วมรับผิดด้วยขอรับ!”
จวินมั่วหรันเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผากทันที เพราะเถี่ยโส่วติดตามเขามาหลายปีแล้ว แต่การกระทำแบบนี้ ทำเอาเขาไม่เข้าใจความคิดของเถี่ยโส่วขึ้นมาทันที
“ไสหัวไปและกลับไปลงโทษตัวเองเสีย” จวินมั่วหรันไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเถี่ยโส่วต่อไป
จังหวะนั้น เฟิงอู๋โยวสูดจมูกฟุดฟิดไปทางด้านข้าง นางได้กลิ่นแปลกๆ มาจากตัวเถี่ยโส่ว นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะถ้านางไม่หนีไปก่อนหน้านี้ เถี่ยโส่วคงไม่ต้องค้นหานางทั่วห้องน้ำในเมืองหลวง
หากพูดจากใจจริง เถี่ยโส่วปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี
ดังนั้น นางจึงตัดสินใจว่าถ้านางประสบความสำเร็จ ได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต นางจะจ่ายหนักให้เถี่ยโส่วมาคอยรับใช้ข้างกาย
เมื่อเห็นเถี่ยโส่วถอยกลับด้วยสีหน้าสลด จุยเฟิงก็ไม่กล้าวิ่งเข้าไปข้างหน้า เขาซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด จ้องมองคนสองคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่ที่ขอบรั้วคูเมือง แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าจวินมั่วหรันกับเฟิงอู๋โยวดูเหมาะกันกันอย่างบอกไม่ถูก
เฟิงอู๋โยวหันไปอ้อนวอนจวินมั่วหรันเสียงแผ่ว “ท่านใต้เท้าขอรับ ถ้าท่านยังโกรธอยู่ พรุ่งนี้ให้กระหม่อมตอนไอ้นั่นของตัวเองทิ้งก็ได้ขอรับ”
นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบายิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่มี ‘ไอ้นั่น’ ที่ว่าอยู่ดี และถ้า ‘ตอนทิ้ง’ อะไรหลายๆ อย่างสำหรับนางก็จะง่ายขึ้นด้วย
“วันนี้ดีกว่าวันพรุ่ง”
ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกเฟิงอู๋โยวปั่นหัวยั่วโมโหอยู่ แต่จวินมั่วหรันก็ยังถูกนางยั่วโมโหจนอารมณ์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันทีที่เขาพูดจบก็หันกลับหลังมาอย่างรวดเร็วดุจพายุหมุน กำลังภายในทั้งหมดถูกเค้นมาที่ฝ่ามือ จากนั้นก็ฟันฝ่ามือออกไปอย่างเต็มแรง
เฟิงอู๋โยวไม่รู้วิธีระดมกำลังภายใน หลังจากที่วิญญาณของนางเข้ามาสิงสถิตในร่างนี้ ดูเหมือนเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายจะถูกผนึก จากความรู้ด้านศิลปะการต่อสู้สมัยโบราณที่นางมีอย่างผิวเผิน นางรู้ดีว่าสภาพนางในตอนนี้ไม่สามารถโคจรกำลังภายในของตัวเองได้
แต่อย่างไรก็ตาม การที่นางไม่รู้วิธีระดมกำลังภายในก็ไม่ได้หมายความว่านางสัมผัสถึงอันตรายไม่ได้
“มีดีเพียงแค่นี้ยังริอาจมายั่วยุเซ่อเจิ้งหวางอย่างข้า ข้าจะจัดการเอง” เฟิงอู๋โยวก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวจนชนกับขอบคูเมืองที่อยู่สูงจากแม่น้ำด้านล่างอยู่หลายจั้ง
เมื่อจวินมั่วหรันเห็นเฟิงอู๋โยวไม่มีทางหนี เขาก็โน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อทำท่าข่มขู่นาง
“เฟิงอู๋โยว จงคุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าข้าเสียเถิด”
เสียงทุ้มต่ำของเขาแฝงด้วยมนต์เสน่ห์และทรงอำนาจอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้
เฟิงอู๋โยวยอมรับว่ารังสีอำนาจของจวินมั่วหรันนั้นแข็งแกร่งมาก นางอยากคุกเข่าลงและยอมสยบต่อเขา
แต่นางเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่ยอมก้มหัวให้ผู้อื่น แม้แต่เซ่อเจิ้งหวางผู้เรืองอำนาจอย่างจวินมั่วหรันก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ตอนที่ 33 เตะเซ่อเจิ้งหวาง
“ท่านใต้เท้า อย่ากลั่นแกล้งกระหม่อมเกินไปเลยขอรับ ขืนได้เป็นศัตรูย่อมไม่แคล้วจากกัน”
มือของเฟิงอู๋โยวเลื้อยพันเหมือนเถาวัลย์ นางจับชายแขนเสื้อกว้างๆ ของจวินมั่วหรันอย่างไม่ยอมปล่อย
จากนั้นมือเย็บเฉียบของนางเปลี่ยนไปจับแขนของจวินมั่วหรันแน่น
รูม่านตาของจวินมั่วหรันพลันหดเกร็ง เส้นเลือดฝอยผุดขึ้นราวกับดวงจันทร์สีเลือดยามรัตติกาล ให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและครั่นคร้าม
เฟิงอู๋โยวรู้สึกใจหวิวขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองพูดจาโอหังออกไป
นางไม่ควรเปรียบจวินมั่วหรันเป็นศัตรู
สมมุติถ้าจวินมั่วหรันเป็นคนช่างสงสัยและละเอียดอ่อนกว่านี้หน่อย ป่านนี้คงจับได้ว่านางเป็นสตรีไปตั้งนานแล้ว และตัวนางคงถูกต้องโทษด้วยโทษฐานข่มขืนฝืนใจเซ่อเจิ้งหวาง
แต่โชคดีที่จวินมั่วหรันไม่ใช่คนละเอียดอ่อนช่างสังเกต จึงไม่พบพิรุธในคำพูดและการกระทำของเฟิงอู๋โยว
ตอนนี้จิตใจของจวินมั่วหรันถูกรบกวนด้วยมือเรียวๆ ที่เกาะพันแขนของเขาเป็นพัลวัน
เรื่องนี้ทำให้จวินมั่วหรันประหลาดใจเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามือของเฟิงอู๋โยวนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง แต่ที่ปลายนิ้วเย็นๆ ของนางกลับมีสัมผัสเหมือนเพิ่งถูกแผดเผาด้วยเปลวไป มันแห้งและร้อนมาก
แต่เฟิงอู๋โยวเป็นคนแยกแยะอะไรไม่ค่อยออก ขณะที่จวินมั่วหรันเตรียมถอย ตัวนางกลับเตรียมจู่โจม
ในเวลาเพียงชั่วครู่ จวินมั่วหรันตัดสินใจยอมถอย รังสีอำมหิตจของเขาค่อยๆ สลายหายแล้วถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยนเหมือนดั่งสายน้ำอุ่น
เฟิงอู๋โยวจ้องมองใบหน้าที่เจือแววอ่อนโยนขึ้นมาของจวินมั่วหรัน ในใจนึกสงสัย “ท่านใต้เท้าง่วงนอนหรือขอรับ หนังตาตกแบบนี้ แล้วยังอยากจะเคี่ยวเข็ญให้กระหม่อมเก่งขึ้นอีก ช่างน่าตื้นตันใจจริงๆ ขอรับ”
เมื่อจวินมั่วหรันตั้งสติกลับมาได้ ก็รู้สึกหงุดหงิดที่ตัวเองเสียการควบคุมบ่อยครั้ง แต่กระนั้นก็พูดขึ้น “คุกเข่าลงแล้วยอมรับผิดต่อหน้าข้าเสีย”
“ไม่คุกเข่าได้หรือไม่ หัวเข่ากระหม่อมได้รับบาดเจ็บจนงอไม่ได้ หรือให้กระหม่อมนอนแผ่ที่พื้นยอมรับผิดกับท่านใต้เท้าแทนได้หรือไม่ขอรับ” เฟิงอู๋โยวเสนอความคิดขึ้นอย่างจริงใจ
เมื่อได้ยินแบบนี้ จุยเฟิงซ่อนที่ตัวอยู่ในมุมมืดก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ เขาคิดเล่นๆ ว่าการที่เฟิงอู๋โยวมีอาการบาดเจ็บที่เข่าแสดงว่านางมักจะทำอะไรที่ต้องคุกเข่าอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงก็คือ คนที่หยิ่งยโสและทระนงตนอย่างเฟิงอู๋โยวไม่มีทางคุกเข่าลงให้คนอื่นง่ายๆ แน่นอน
แต่นางจะต้องมีกรณียกเว้นต้องสามารถคุกเข่าได้อยู่อย่างแน่นอน…
ในเวลานั้น จุยเฟิงมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าตามที่เฟิงอู๋โยวอ้าง ถึงจะต้องเกิดจากการที่เขาชอบเที่ยวเตร่ไปตามหอนางโลมเป็นแน่ เขานึกในใจ ในเมื่อเฟิงอู๋โยวไม่รู้สึกตะขิดตะขวงยามใกล้ชิดผู้ชายด้วยกัน เซ่อเจิ้งหวางของเขาก็ย่อมเป็นฝ่ายดื่มด่ำในประสบการณ์ที่เฟิงอู๋โยวมอบให้
“ทุกคนล้วนอภิรมย์! ยามต้นไม้ไร้ชีพต้องแสงวสันต์ สรรพสิ่งล้วนหอมหวานเย้ายวน” จุยเฟิงพูดขึ้นมาเป็นบทกลอน เขาตื้นตันจนน้ำตาคลอ
จวินมั่วหรันได้ยินทั้งหมดที่จุยเฟิงพูด แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่จุยเฟิงต้องการจะสื่ออยู่ดี รู้แค่ว่าบทกลอนที่จุยเฟิงพยายามแต่งมันแย่มากจนแทบอยากจะหาอาจารย์มาสอนเขาเรื่องใช้สำบัดสำนวนสื่อความนัย
“ท่านใต้เท้า ไม่คุกเข่าได้หรือไม่ขอรับ ถึงต่อให้ไม่ต้องคุกเข่าต่อหน้าท่าน ตัวกระหม่อมก็เตี้ยกว่าท่านเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ขืนคุกเข่าลงไปอีก ท่านคงมองไม่เห็นคนตัวเล็กอย่างกระหม่อมเป็นแน่”
เฟิงอู๋โยวพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ฝ่ามือของนางมีเหงื่อออกเล็กน้อย ความชื้นที่เย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านผ่านปลายนิ้วของนางทำให้แขนของจวินมั่วหรันเปียกชุ่ม ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ยอมรับผิดเสีย”
จวินมั่วหรันยอมถอดใจ เดิมทีเขาคิดจะดึงเฟิงอู๋โยวเข้ามาในอ้อมแขน เพราะร่างกายที่เล็กกว่าเขาเกือบตัวยืนอยู่ตรงรั้วกั้นแม่น้ำคูเมืองแบบนี้มันอันตราย เพราะอาจหล่นลงไปในแม่น้ำได้ทุกเมื่อ
ไม่นึกว่าเฟิงอู๋โยวจะเข้าใจผิด
นางคิดว่าจวินมั่วหรันจะผลักนางตกลงไปในแม่น้ำคูเมือง ครั้นแล้วจึงตัดสินใจวัดดวงโดยการปล่อยมือออกจากแขนจวินมั่วหรัน และอาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัวยกเท้าเหยียบต้นขาของเขาเป็นฐานรองรับ ก่อนกระโดดผ่านไหล่ของเขาไปอย่างว่องไว สุดท้ายก็หันกลับมาเตะก้านคอเขาอย่างเต็มแรง
“…”
แม้จวินมั่วหรันจะผ่านประสบการณ์ออกรบมาอย่างโชกโชน แต่ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าเฟิงอู๋โยวจะกล้าลงมือกับตัวเขาแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เฟิงอู๋โยวแลดูช่ำชองการต่อสู้ระยะประชิดยิ่งนัก เคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างผิดปกติ การจะหลบการโจมตีอันรวดเร็วของนางให้ได้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย
“เฟิง อู๋ โยว!”
จวินมั่วหรันตวาดเสียงลั่นพร้อมกับร่วงหน้าทิ่มลงไปในแม่น้ำคูเมือง