ตอนที่ 42 เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น / ตอนที่ 43 เสี่ยวอิ้นอิ้นมาเยี่ยมถึงหน้าประตู
ตอนที่ 42 เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น
จวินมั่วหรันดึงมือกลับไป สายตาเหลือบไปเห็นผ้าพันแผลที่กองอยู่บนพื้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ครั้นแล้วจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอึมครึม “เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เดิมทีเขาเป็นคนไม่สนใจเรื่องในอดีต
แต่จากหลักฐานที่เห็น ทำให้เขาคิดว่าเขากับเฟิงอู๋โยวอยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืน
และที่น่าปวดหัวไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ตัวเขาไม่คิดว่าเฟิงอู๋โยวจะเสียเปรียบ แต่กังวลว่าตัวเองจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า…
เมื่อเฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดขึ้นอย่างลนลาน “ดูจากสภาพร่างกายของท่านแล้ว ไม่ว่าเมื่อวานจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอนขอรับ…”
อันที่จริง เฟิงอู๋โยวควรเป็นฝ่ายงุงงงกว่าจวินมั่วหรัน
เพราะนางอยากรู้ว่าในขณะที่นางหมดสติไป จวินมั่วหรันทำอะไรกับนางไปบ้าง
พอนึกถึงเมื่อเช้าตอนตื่นขึ้นมา ร่างกายตัวเองก็ถูกพันด้วยผ้าพันแผลไปทั้งตัว ต่อให้ส่วนสำคัญบนร่างกายจะยังไม่ถูกทาด้วยโอสถหยกอะไรนั่น นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
แค่กลัวว่าจวินมั่วหรันจะสำรวจเรือนร่างของนางไปร้อยแปดพันรอบ!
“ไม่อยากกินข้าวแล้วหรือ บอกความจริงมาเสียดีกว่า!” จวินมั่วหรันเกาจมูกตัวเอง แม้ทีท่าจะดูแข็งกร้าวเหมือนที่ผ่านมา แต่ภายในใจกลับรู้สึกโหรงโหรงเล็กน้อย
พอมาไตร่ตรองดูอย่างละเอียด เขาคิดว่าสิ่งที่เฟิงอู๋โยวพูดก็มีเหตุผล
ดูจากสภาพร่างกายของเขาและนางก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าเขาไม่เสียเปรียบแน่นอน
แต่ดูแขนขาบอบบางของนาง แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกเฟิงอู๋โยวยังคงไม่จางหาย นางจึงหันหลังกลับไปเพื่อปิดบังอารมณ์ ของตัวเอง
จวินมั่วหรันมองแผ่นหลังเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาแปลกประหลาด ในใจพลันนึกว่าเฟิงอู๋โยว นิสัยของนางแบบนี้คงกลายเป็นสันดานไปแล้วและไม่มีใครบอกสอนเขาได้
ปั่ก
เขาสะบัดชายแขนเสื้อสีเข้มเข้าไปฟาดท้ายทอยของเฟิงอู๋โยวอย่างไม่ปราณี “นี่เจ้างอนข้าอย่างนั้นหรือ”
“มิกล้าขอรับ”
สองมือของเฟิงอู๋โยวกุมท้ายทอยที่เจ็บแปลบๆ แต่สติก็ค่อยๆ กลับคืนมา
นางครุ่นคิดภายในใจ เรื่องเมื่อคืนนี้ นอกจากนางแล้ว จุยเฟิงกับเถี่ยโส่วก็คงพอจะรู้บ้าง
ด้วยเหตุนี้ หากนางยังแต่งเรื่องอย่างไม่ระวังอยู่แบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกจวินมั่วหรันจับได้แน่นอน
หลังจากเงียบขรึมลงไปสักพักใหญ่ เฟิงอู๋โยวก็พูดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ “เมื่อคืนนี้ท่านใต้เท้ามีบุคลิกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และต้องการจะทาโอสถหยกให้กระหม่อม อีกทั้งยังจะร้องเพลงกล่อมให้กระหม่อมฟัง”
“ข้าเนี่ยนะ ร้องเพลง”
จวินมั่วหรันกระชากคอเสื้อด้านหลังของเฟิงอู๋โยวเข้ามาด้านหน้า ราวกับลูกไก่ในกำมือ
เมื่อหน้าเผชิญหน้า เฟิงอู๋โยวก็ส่ายหัวเป็นระรัว “ท่านใต้เท้ายังไม่ได้อ้าปากร้องขอรับ เพราะคืนกลับเป็นท่านใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจคนเดิมเสียก่อน”
เมื่อจวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยเฟิงอู๋โยวลงก่อนครุ่นคิดขึ้นภายในใจ
แบบนี้นี่เอง การที่เขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้ก็เพราะอาการป่วยทางจิตที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาแล้วหลายปีกำเริบขึ้นนี่เอง
เฟิงอู๋โยวถอนหายใจออกเฮือกยาว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าขุนนางชั้นสูงมักอารมณ์แปรปรวน
สำหรับนางแล้ว จวินมั่วหรันมีอารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าทุกคนที่นางเคยเห็น
ไม่ใช่แค่อารมณ์ของเขาไม่ปกติ ซ้ำยังชอบทำร้ายจิตใจผู้อื่นจนติดเป็นนิสัย ปลูกฝังความกลัวที่ยากจะหลุดพ้นในใจผู้คนอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านใต้เท้า ฝ่าบาทกำลังรอท่านอยู่ ณ ห้องโถง ท่านใต้เท้าจะเข้าพบหรือไม่เจ้าคะ”
ด้านนอกห้อง เสียงบางแผ่วของสาวรับใช้ประจำตำหนักดังขึ้น
“ให้เขารอไปก่อน”
จวินมั่วหรันดมกลิ่นโอสถหยกที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้วของตัวเอง จากนั้นสายตาเฉี่ยวคมดุจเหยี่ยวก็มองไปตามร่างกายเฟิงอู๋โยวทันที
เฟิงอู๋โยวรู้สึกหนาววูบวาบขึ้นมา จากนั้นก็พยายามกลืนน้ำลายสยบความกลัว “ท่านใต้เท้าขอรับ สายตาของท่านช่างดีเหลือเกิน”
“เข้ามานี่ แล้วช่วยข้าถอดเสื้อ”
“แบบนี้มันน่าอายนะขอรับ” แม้เฟิงอู๋โยวจะพูดแบบนี้ออกไป แต่ก็แอบยิ้มกระหยิ่มไม่ยอมหุบ
ถึงแม้นางจะไม่ชอบนิสัยอันคลุ้มคลั่งของจวินมั่วหรันก็ตาม แต่นางโปรดปรานที่จะดื่มด่ำกับเรือนร่างของเขายิ่งนัก
โดยเฉพาะเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาบริเวณกล้ามหน้าท้อง มันช่างเย้ายวนเกินพรรณนา!
เฟิงอู๋โยวรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที เพียงพริบตาก็เข้ามายืนอยู่ด้านหน้าจวินมั่วหรันแล้ว จากนั้นก็ถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้น กระหม่อมจะถอดแล้วนะขอรับ!”
ตอนที่ 43 เสี่ยวอิ้นอิ้นมาเยี่ยมถึงหน้าประตู
“หะ”
จวินมั่วหรันอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ ราวกับมีความหมายแฝงบางอย่างอยู่ในคำพูดของเฟิงอู๋โยว
เมื่อเทียบกับบรรดาข้ารับใช้ในตำหนักที่ก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อเขา นางในแบบที่เป็นนางแบบนี้ แลดูมีชีวิตชีวาสีสันกว่ามาก
ดวงตายามนางยิ้มโค้งได้รูป ภายในดวงตาทรงกลีบดอกท้อเจือแววเจ้าเล่ห์รำไร ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูป
ทำเอาเขารู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นชั่วขณะก่อนพูดขึ้นเสียงสูง “ข้าอนุญาตให้เจ้ายิ้มเช่นนั้นหรือ”
น้ำเสียงหนาสาก ฟังระรื่นหู แต่ก็ระคายโสตเป็นบางครั้ง
รอมยิ้มบนใบหน้าของเฟิงอู๋โยวแข็งทื่อลงฉับพลัน นางหุบยิ้มปั้นสีหน้าเคร่งขรึมพลางบ่นพึมพำ “ไม่ยิ้มก็ได้”
“อืม”
จวินมั่วหรันตอบกลับอย่างขี้เกียจ เขามองรอยฟกช้ำบนใบหน้าเฟิงอู๋โยว ก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “อ่อนแอ”
เห็นๆ อยู่ว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ให้บีบแก้มนาง แต่ไม่นึกว่านางกลับดูเหมือนไม่พอใจ ใบหน้าที่ฟกช้ำแบบนั้นผนวกกับใบหน้าบึ้งบูดแบบนี้ มันยิ่งทำให้ดูไม่งามยิ่งกว่าเก่า
นี่นางอ่อนแออย่างนั้นเหรอ
ไม่คิดว่าจวินมั่วหรันจะบอกว่านางอ่อนแอปวกเปียก
ถ้าเป็นคนอื่นถูกจวินมั่วหรันรังแกในแบบที่นางโดน คงทนไม่ได้ รับไม่ไหวไปตั้งนานแล้วกระมัง
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวเจือแววโมโหขึ้นมาเล็กน้อย นางเริ่มปลดเข็มขัดรัดเอวดิ้นทองออกจากเอวจวินมั่วหรัน
เมื่อชาติที่แล้วนางเป็นถึงทหารรับจ้างระดับสูงและไม่เคยมีใครเรียกนางแบบนี้มาก่อน!
จวินมั่วหรันคว้าจับข้อแขนอันเรียวบางของเฟิงอู๋โยวก่อนพูดเน้นทีละคำ “ไม่ยอมรับอย่างนั้นหรือ เฟิงอู๋โยว ก่อนที่เจ้าจะมีพละกำลังและความมั่นใจที่จะเอาชนะข้าได้ ทางที่ดีควรเจียมตัวและก้มหน้าทำตามคำสั่งเสียเถิด”
“แล้วการที่ท่านใต้เท้ารังแกคนอ่อนแอมันทำให้ท่านมีความสุขนักหรือ” เฟิงอู๋โยวถามกลับพลางปลดเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาออก
“จะไม่ให้มีความสุขได้เยี่ยงไร”
จวินมั่วหรันยิ้มมุมปาก เขาไม่สนใจนิสัยเสียเล็กๆ น้อยๆ ของเฟิงอู๋โยวเท่าไหร่นัก
มือของเฟิงอู๋โยวเผลอไปสัมผัสเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาบริเวณกล้ามหน้าท้องของเขา ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้พลันหายเป็นปลิดทิ้ง
นี่ยังไม่ได้พูดถึงสีผิวน้ำผึ้งของจวินมั่วหรัน เอวหนาแน่นไร้มวลไขมันและมัดกล้ามเนื้อกำยำล่ำสันของเขา ทุกส่วนล้วนเย้ายวนชวนสัมผัสยิ่งนัก
รังสีอำมหิตบ้าอำนาจที่แผ่ซ่านมาจากร่างกายเขา แฝงความรู้สึกเป็นใหญ่เหนือกว่าใครในใต้หล้า อีกทั้งยังสอดแทรกไปด้วยความลึกลับชวนค้นหาที่ทำให้จิตใจปั่นป่วน หากเป็นคนทั่วไปมองเขา คงรู้สึกเกรงกลัวจนต้องก้มหมอบอย่างไม่รู้ตัวทันที
“ซู้ด”
เฟิงอู๋โยวสูดน้ำลายที่มุมปากที่เผลอซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัวและใช้หลังฝ่ามือเช็ดอย่างว้าวุ่น
อยู่ๆ จวินมั่วหรันก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกๆ ขึ้นมา เขารู้สึกว่าสายตาและหน้าตาของเฟิงอู๋โยวช่างคล้ายกับสตรีสตรีหน้าไม่อายคนนั้นที่ปีนป่ายขึ้นมาบนเตียงของเขาเมื่อคืนนั้น
แต่ว่าในสายตาของเฟิงอู๋โยวกลับไร้ความรู้สึกรักใคร่ เพราะมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการอยากเอาชนะราวกับจ่าฝูงหมาป่า
“เฟิงอู๋โยว เจ้าทำอะไรอยู่” จวินมั่วหรันตั้งสติกลับคืนมา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววตำหนิกับเฟิงอู๋โยวที่เหม่อลอยเป็นพักๆ
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่กางเกงสีขาวของจวินมั่วหรัน “ก็กำลังช่วยท่านถอดเสื้อผ้าอยู่ขอรับ”
“ไม่ต้องแล้ว”
จวินมั่วหรันปัดมือเฟิงอู๋โยวออก ก่อนหยิบเสื้อคลุมแขนกว้างสีเข้มตัวใหม่มาสวมใส่
บนเสื้อคลุมเจือกลิ่นเครื่องร่ำแป้งหอมอย่างเบาบาง ตามขอบชายเสื้อปักด้วยดิ้นทองอย่างวิจิตรบรรจง ขับให้รูปร่างสูงเพียวของจวินมั่วหรันยิ่งดูสูงส่งทรงสง่ามากกว่าเดิม
และตอนนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกดังมาจากนอกเรือน
หูของเฟิงอู๋โยวกระดิกเล็กน้อยก่อนหันออกมองทางด้านนอก
นางพบกับจี้มั่วอิ้นเหรินในสภาพดวงตาดำคล้ำที่สะท้อนแววเหนื่อยล้าสุดจะทน
หรือว่าจวินมั่วหรันเป็นห่วงความปลอดภัยของนางจนนอนไม่หลับ
เมื่อเฟิงอู๋โยวคิดได้เช่นนี้ ก็พลันรู้สึกประทับใจขึ้นมา ก่อนโบกมือให้เขาและกว่าทักทาย “อรุณสวัสดิ์ขอรับ เสี่ยวอิ้นอิ้น!”
จี้มั่วอิ้นเหรินเบะปาก ใบหน้าจิ้มลิ้มของเขาสะท้อนอารมณ์ ‘เซ็ง’ ออกมาอย่างชัดเจน
เขากำลังเดินตรงมาที่เรือนมั่วหรัน
“เซ่อเจิ้งหวาง! ข้าคัดกฎการปกป้องครองแคว้นเสร็จแล้วหนึ่งพันจบ ท่านลองตรวจดู” จี้มั่วอิ้นเหรินพูดขึ้นอย่างหน่ายอารมณ์