ตอนที่ 46 ข้าชอบท่าน / ตอนที่ 47 ท่านใต้เท้าติดกับดักรัก
ตอนที่ 46 ข้าชอบท่าน
ดวงตาจี้มั่วอิ้นเหรินเป็นประกาย เขาลุกพรวดก่อนวิ่งกรูเข้าไปหาจวินมั่วหรัน
มือทั้งสองข้างคว้ากอดเอวจวินมั่วหรันแน่น ใบหน้าจิ้มลิ้มนุ่มนิ่มถูแนบแผงอกของจวินมั่วหรัน “เซ่อเจิ้งหวาง ท่านใจดีเหลือเกิน ข้าชอบท่านนัก!”
“…”
จวินมั่วหรันไม่ชอบใกลชิดคน ต่อให้เป็นน้องสาวตัวเองอย่างจวินฝูก็ไม่กล้ามาอ้อนในอ้อมกอดเขาแบบนี้
จี้มั่วอิ้นเหรินกอดเอวจนเขาทำตัวไม่ถูก
“จี้มั่วอิ้นเหริน ปล่อยกระหม่อม!”
“ฮือ เซ่อเจิ้งหวาง ท่านดีกับข้าเหลือเกิน!”
ขณะนั้น จี้มั่วอิ้นเหรินก็เหลือบเห็นโอสถหยกในมือของจวินมั่วหรันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เขายิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งกว่าเดิม
เขายื่นมือเล็กๆ ของตัวเองไปให้จวินมั่วหรันดูพร้อมกับพูดขึ้นอย่างจริงจัง “มือของข้าไม่เป็นไร ก็แค่รู้สึกชาเพราะเลือดไม่ไปเลี้ยงเนื่องจากจับพู่กันคัดเป็นเวลานานเกินไป พักสักประเดี๋ยวก็หายแล้ว เซ่อเจิ้งเหวาง ท่านเก็บโอสถหยกเอาไว้เถิด นั่นเป็นถึงโอสถทาภายนอกชั้นเลิศ อย่าใช้มันสิ้นเปลืองเลย”
จวินมั่วหรันกระชับมือที่ถือกระปุกโอสถหยกแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่สายตากลับมองไปที่รอยฟกช้ำที่แก้มของเฟิ่งอู๋โยวที่ถูกเขาบีบ
ใครจะไปคิด เมื่อเฟิ่งอู๋โยวเห็นสายตาของจวินมั่วหรันก็รีบก้มหน้าหลุบตาต่ำทันที และไม่คิดจะชายตามองเขาแม้แต่นิดเดียว
ประหนึ่งความหวังดีของเขาถูกมองข้าม ทำให้อารมณ์เริ่มหงุดหงิดขึ้นอีกครั้ง
เขาปัดมือของจี้มั่วอิ้นเหรินลงอย่างหงุดหงิดพลางพูดขึ้นเสียงเย็น “ในเมื่อไม่เป็นอะไร ไฉนถึงได้กอดกระหม่อมอยู่อีก”
จี้มั่วอิ้นเหรินยิ้มร่า พลางถามกลับอย่างไร้เดียงสา “เซ่อเจิ้งหวางไม่อยากทายาให้ข้าหรอกหรือ”
“ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม หากคัดไม่จบห้ามออกจากวังหลวง!”
ใบหน้าจี้มั่วอิ้นเหรินแข็งทื่อลงทันที ความหงุดหงิดที่แสดงออกมาผ่านคำพูดและการกระทำของจวินมั่วหรันทำให้จี้มั่วอิ้นเหรินได้สติกลับคืนมาทันที
จวินมั่วหรันยังคงเป็นเซ่อเจิ้งหวางที่ไร้ความปราณีคนเดิม!
ภายใต้แรงกดดันของจวินมั่วหรัน จี้มั่วอิ้นเหรินจึงปล่อยมือออก เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ มือข้างหนึ่งถือพู่กันอย่างสั่นระริก จากนั้นก็จุ่มหมึกเขียนลงบนกระดาษอย่างไม่มีทางเลือก
“เฟิ่งอู๋โยว มานี่”
จวินมั่วหรันเหลือบตาไปมองเฟิ่งอู๋โยวที่ยังคงหลบอยู่ด้านหลังจี้มั่วอิ้นเหรินอย่างเย็นชา น้ำเสียงชั่วร้ายของเขาทำเอาหัวใจเฟิ่งอู๋โยวเต้นระรัว
เฟิ่งอู๋โยวนึกในใจ นางไม่ใช่คนโง่ คิดว่านางจะยอมเข้าไปติดกับดักง่ายๆ เหรอ
ถึงแม้ว่าจี้มั่วอิ้นเหรินที่เปรียบเหมือนที่พึ่งพายามยากของนางจะไม่น่าพึ่งพาเท่าไหร่ แต่เขาก็เป็นอ๋องน้อยแห่งแคว้นตงหลิน ต่อให้จี้มั่วอิ้นเหรินโกรธมากแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นลงมือตีเขา ด้วยเหตุนี้ การที่นางหลบอยู่ด้านหลังจี้มั่วอิ้นเหรินอยู่แบบนี้ ถือว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
“เฟิง อู๋ โยว”
เดิมทีจวินมั่วหรันก็เริ่มจะหมดความอดทนอยู่แล้ว
เมื่อเขาเห็นเฟิ่งอู๋โยวเมินเฉยใส่เขาอีกครั้ง ก็รีบพุ่งเข้าไปด้านหน้านางและบิดหูนาง ก่อนลากมารั้งไว้ในอ้อมแขน
“เบาหน่อยขอรับ เจ็บๆๆ”
เฟิ่งอู๋โยวรู้สึกเหมือนหูตัวเองใกล้จะขาด จึงทำได้แค่ยอมอ่อนข้อให้ “ขอท่านใต้เท้าโปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยขอรับ กระหม่อมหิวจนตาลาย ทำให้เหม่อลอยไม่ค่อยได้ยินขอรับ”
จวินมั่วหรันรู้สึกว่าตัวเองทำให้นางเจ็บ จึงรีบคลายมือและสะกดอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองลง
เขาไม่เคยเจอบุรุษที่ผิวบอบบางแบบนี้มาก่อน บอบบางราวกับกลีบดอกไม้ที่บอบช้ำง่ายแค่เพียงสัมผัส
“อ่อนแอ”
เขาอุทานขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ยื่นโอสถหยกในมือให้นาง “ถ้ารอยฟกช้ำบนใบหน้ายังไม่หาย ห้ามโผล่หน้ามาให้ข้าเห็น”
“รับทราบ”
เฟิ่งอู๋โยวยิ้มร่าอย่างดีใจและรีบเก็บกระปุกโอสถหยกที่ยังอุ่นซ่านจากฝ่ามือจวินมั่วหรันใส่กระเป๋าเสื้อทันที
จากที่จี้มั่วอิ้นเหรินพูดเมื่อครู่ โอสถหยกเป็นยาทาภายนอกชั้นเลิศ นางไม่อยากใช้ของล้ำค่าแบบนี้กับใบหน้าของตัวเอง แต่ถ้านำไปประมูล มันจะทำให้ร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืนหรือเปล่านะ
นอกเหนือจากนี้ นางไม่อยากให้รอยฟกช้ำบนใบหน้าหายเร็วขนาดนั้น
ถ้ารอยฟกช้ำหายไป ก็หมายความว่านางต้องเผชิญหน้ารับมือจวินมั่วหรันที่อารมณ์แปรปรวนอีกครั้ง
จี้มั่วอิ้นเหรินไม่อาจล่วงรู้ความคิดเฟิ่งอู๋โยวในตอนนี้ แต่เขากำลังคิดว่า เมื่อตัวเองทำความดีสักอย่าง ความพยาบาทภายในใจก็หายไปและทำให้อารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติ มันทำให้เขาโล่งใจขึ้นเยอะ
ตอนที่ 47 ท่านใต้เท้าติดกับดักรัก
ด้านนอกเรือนมั่วหรัน เถี่ยโส่วรู้สึกประหลาดใจอย่างมากราวกับถูกสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน เขาตกตะลึงตัวแข็งทื่อ งงเป็นไก่ตาแตก
เขาสะกิดแขนจุยเฟิงและพูดตะกุกตะกัก “จุยเฟิง ข้าหลอนไปเองสินะ ท่านใต้เท้ากำลังอมยิ้มอยู่!”
“เจ้าไม่ได้หลอน แต่ท่านใต้เท้าอมยิ้มอยู่จริงๆ”
จุยเฟิงที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่คลี่ยิ้มตบไหล่เถี่ยโส่ว “ท่านใต้เท้าของพวกเราติดกับดักรักเข้าแล้ว!”
“อาจเป็นไปได้ เพราะท่านใต้เท้าพยายามสรรหาวิธีการมาเล่นสนุกกับเฟิงอู๋โยว เมื่อวานก็คิดจะระเบิดท่อนล่างของเขา แต่มาวันนี้ ไฉนกลับไม่อยากทำแบบนั้น”
“เจ้าโง่! ไม่ฉุกคิดหน่อยหรือว่าไฉนถึงต้องการระเบิดร่างกายท่อนล่างของเขา แค่ดูก็รู้แล้ว!” จุยเฟิงคิดว่าตัวเองมองออกทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาพูดขึ้นอย่างกำกวม
“หมายความว่าเยี่ยงไร”
“เจ้าลองคิดดู แม่ทัพเฟิงเป็นบุรุษและยังเป็นบุรุษที่ป่าเถื่อนหน้าไม่อาย มั่นใจในตัวเอง ถ้าท่านเท้าใต้อยากจะสยบแม่ทัพเฟิงให้อยู่หมัด ก็ต้องทำลายความมั่นใจของเขาทิ้ง ดังนั้นการระเบิดสัญลักษณ์ความเป็นบุรุษอันใหญ่โตของเขาทิ้ง ถือเป็นวิธีการทำลายความมั่นใจของแม่ทัพเฟิงอย่างดีที่สุด และทำให้เขาต้องยอมสยบลงใต้เกงกางสีแดงฉานของท่านใต้เท้าอย่างสมบูรณ์” จุยเฟิงวิเคราะห์อย่างจริงจัง
เถี่ยโส่วที่ได้ยินเช่นนั้นพยักหน้าระรัวราวถูกเขย่า “ที่พูดมาก็มีเหตุผล”
แต่ขณะที่พวกเขากำลังซุบซิบกันอยู่นั้น จวินมั่วหรันก็หันกลับมาและเดินออกจากเรือนมั่วหรันทันที
จวินมั่วหรันที่เห็นจุยเฟิงกับเถี่ยโส่วแอบซุบซิบนินทากันอยู่จึงตวาดเสียงแข็งกร้าว “ข้าใส่เกงกางสีแดงฉานตอนไหน”
“ข้าน้อยพูดผิดไปแล้วขอรับ!”
จุยเฟิงกับเถี่ยโส่วมองหน้ากันก่อนพูดขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
จวินมั่วหรันชำเลืองมองพวกเขาอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่ได้กล่าวตำหนิสักคำ กลับถามด้วยท่าทีเมินเฉย “แพทย์หลวงซูอยู่ที่ใด”
“ตอนนี้แพทย์หลวงซูกำลังรอเข้าเฝ้าท่านใต้เท้าอยู่ที่เรือนประจิมขอรับ”
จุยเฟิงรีบตอบกลับ ก่อนมองไปที่เฟิงอู๋โยวที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
วันนี้ถ้าเฟิงอู๋โยวไม่เกลี้ยกล่อมให้จวินมั่วหรันอารมณ์ดีด้วยความพูดยกย่อเหล่านั้น ป่านนี้เขาและเถี่ยโส่วจะต้องถูกลงโทษแน่นอน
หลังจากจวินมั่วหรันเดินออกไป เฟิงอู๋โยวก็เดินตามออกจากเรือนมั่วหรันไปด้วย
นางสามารถอดหลับอดนอนได้สามวันสามคืนติดกัน แต่ไม่สามารถทนปล่อยให้หิวจนไส้ขาดได้
เฟิงอู๋โยวรัดเข็มขัดกางเกงของนางให้แน่นและกำลังจะย่องไปที่โรงครัวเพื่อหาอาหาร นางก็เหลือบไปเห็นเป็ดตัวหนึ่งกำลังเดินเตาะแตะอยู่พอดี
“ช่างเถิด จับเจ้าเป็ดตัวนี้มาทำอาหารเลยแล้วกัน! ถือว่าเป็นการสนองการตัดสินใจของมันที่กล้าเดินเตาะแตะเข้ามาในเมืองแบบนี้”
เมื่อพูดขึ้นปุ๊บก็ทำปั๊บ
เจ้าเป็ดที่คล้องสร้อยกุญแจอายุยืน สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งมาที่ตัวเอง ครั้นแล้วจึงกระพือปีกสีขาวปุกปุยเตรียมตัวหลบหนี
ปั่ก ปั่ก
เข็มเงินใต้แขนเสื้อของเฟิงอู๋โยวพุ่งเข้าไปปลิดชีพเจ้าเป็ดตัวนั้นทันที เข็มหนึ่งพุ่งเข้าไปปลดสร้อยกุญแจอายุยืน อีกเข็มพุ่งเข้าไปที่จุดตาย
ทันใดนั้น หินหยกที่อยู่บนสร้อยกุญแจอายุยืนก็แตกหัก
นางหยิบเป็ดตัวนั้นขึ้นมาทำความสะอาดเป็ดอย่างเรียบร้อย เตรียมเต่าถ่านและวางบนตะแกรงย่าง
ซู่ ซู่
เปลวไฟลุกโชนอยู่ใต้ตะแกรงย่างและเป็ดย่างหนังกรอบบนเตาย่างก็กำลังเริ่มสุกเป็นรูปเป็นร่าง
หลังจากที่จี้มั่วอิ้นเหรินคัดลอกกฎปกครองแคว้นจบทั้งสามร้อยจบ ทันทีที่เขาเดินออกจากเรือนมั่วหรันก็ได้กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก
เขารีบวิ่งไปข้างหน้าและนั่งยองๆ อย่างเชื่อฟังข้างๆ และมองเฟิงอู๋โยวอย่างชื่นชม “แม่ทัพเฟิง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรู้จักวิธีการย่างเป็ดให้ได้แบบนี้”
“มันยากตรงไหน เมื่อก่อนกว่าจะผ่านการทดสอบเป็นแม่ทัพของแคว้นเป่ยหลีได้ กระหม่อมต้องใช้เวลาสามเดือนเต็มคนเดียวในถิ่นทุรกันดาร”
“การฝึกแม่ทัพที่แคว้นเป่ยหลีของเจ้าเข้มงวดขนาดนั้นเชียวหรือ” จี้มั่วอิ้นเหรินคล้อยตาม เขาจ้องตรงไปที่เป็ดที่ถูกพอกด้วยชั้นดินหนาด้วยดวงตาแวววาว
เฟิงอู๋โยวตระหนักได้ว่านางเผลอตัวพูดมากไป นางจึงไม่พูดขึ้นอีก จากนั้นก็ฉีกขาเป็ดออกแล้วยื่นให้จี้มั่วอิ้นเหริน “ลองเสวยดูขอรับ”
จี้มั่วอิ้นเหรินพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้นดีใจ
เขาไม่เคยกินเป็ดย่างธรรมดาๆ แบบนี้โดยไม่มีเครื่องปรุงหรือเครื่องเคียงมาก่อน รสชาติช่างจืดชืดมาก
แต่ว่าความรู้สึกที่ตัวเองต้องมานั่งยองๆ ในสวนและแอบกินอาหารกับเฟิงอู๋โยวแบบนี้ทำให้เขารู้สึกสนุกยิ่งนัก ทำให้ขาเป็ดในมือของเขาอร่อยขึ้นมาเป็นพิเศษ
เมื่อเริ่มกิน จี้มั่วอิ้นเหรินก็เริ่มพูดขึ้น
เขาเหลือบไปเห็นสร้อยกุญแจอายุยืนที่แตกอยู่ข้างๆ ก่อนพูดขึ้น “แม่กุญแจอายุยืนนี้ดูเหมือนจะเป็นของขวัญวันเกิดจากท่านลุงของท่านอ๋องพระองค์ที่สองที่เคยมอบให้จวินฝูไม่ใช่หรือ ไฉนถึงมาลงเอยอยู่ที่นี่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เกือบแทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “ผู้ที่อยู่กับท่านหญิงจวินฝูเป็นเป็ดอย่างนั้นหรือ!”
ทันทีที่สิ้นสุดเสียง ขาเป็ดในมือของจี้มั่วอิ้นเหรินก็ไม่อร่อยทันที เขาถามเฟิงอู๋โยวอย่างหวาดกลัว “เป็ดตัวนี้ที่พวกเรากำลังกินอยู่ คงไม่ใช่เซียงเซียงที่เป็นสัตว์เลี้ยงยอดรักของจวินฝูใช่หรือไม่”