ตอนที่ 51 ข้าต้องการเจ้าตั้งแต่เมื่อใด / ตอนที่ 52 เทพพยากรณ์จุยเฟิง
ตอนที่ 51 ข้าต้องการเจ้าตั้งแต่เมื่อใด
“หากปล่อยตามยถาให้เน่าเฟะดั่งกลีบบุหงาโปรยปลิวไร้จุดหมาย ตัวข้าขออาสาใช้ผงธุลีห่มห่อกายอันงดงามขอเจ้าไว้ใต้พื้นพสุธา!”
จี้มั่วอิ้นเหรินดวงตาเป็นประกายพร้อมกับปรบมือชื่นชมขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เป็นบทสวดที่ดีจริงๆ!”
เฟิงอู๋โยวประสานมือคารวะพลางคลี่ยิ้มตอบกลับ “ไม่ขนาดนั้นขอรับ!”
จวินมั่วหรันไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฟิงอู๋โยวที่พูดจาค่อยไม่เข้าหูจะมีวาทศิลป์ดีขนาดนี้
ดวงตาเรียวยาวหรี่ลงเล็กน้อย เขาจ้องมองเฟิงอู๋โยวที่ยิ้มแย้มอย่างสนใจ
ในหูของเขายังคงก้องกังวานไปด้วยเสียงของเฟิงอู๋โยวที่แผงไปด้วยมนต์เสน่ห์ ในเนื้อเสียงที่นุ่มนวลสอดแทรกไปด้วยความเย้ายวนรำไร
ประหนึ่งเสียงวิหคขับขาน ประหนึ่งเสียงปลายกิ่งหลิวโบกสะบัดตามแรงลม เป็นท่วงทำนองที่แผ่วเบาและนุ่มนวล
เงี่ยหูฟังดีๆ ชวนให้นึกถึงท้องนภากว้างใหญ่ มหาสมุทรกว้างขวาง
“ท่านใต้เท้าขอรับ การเข้าใจผิดเผลอกินสัตว์เลี้ยงแสนรักของท่านหญิง ท่านพอจะอนุโลมได้หรือไม่ขอรับ” เฟิงอู๋โยวโน้มตัวเข้าหาจวินมั่วหรันและนั่งยองๆ อย่างเชื่อฟังที่ด้านข้างเก้าอี้นอน
จี้มั่วอิ้นเหรินไม่อาจพูดอะไรได้ เขาตอนนี้เป็นเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว ไฉนถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
โชคดีที่จี้มั่วอิ้นเหรินเป็นถึงท่านอ๋องน้อย
ในขณะนี้ เขาสนใจเพียงการระลึกถึงบทสวดศพเป็ดที่เฟิงอู๋โยวแต่งขึ้นมาและไม่จะเอ่ยปากพูดแก้ต่างเพื่อตัวเองแต่อย่างใด
ดวงตาที่แหลมคมดุจเหยี่ยวของจวินมั่วหรันจ้องตรงไปที่ปากที่กำลังพูดพะงาบๆ จนปากแห้งผากของเฟิงอู๋โยว อยู่ๆ เขาก็เกิดอารมณ์เสียขึ้นมา
“เฮ้อ”
จวินฝูน้อยใจยิ่งนัก นางหาได้สนใจวาทศิลป์อันสวยหรูของเฟิงอู๋โยวไม่ นางต้องการแค่ขอให้เซียงเซียงกลับคืนมา
ลิ้นเป็ด คอเป็ด ปีกเป็ดเอ๋ย ไฟร้อนแผดเผาหาได้มีผู้ใดเวทนาสงสารเจ้าไม่ บ้าบอสิ้นดี!
เห็นๆ กันอยู่ว่าบทสวดศพเป็ดบทนี้เป็นหลักฐานยอมรับผิดของเฟิงอู๋โยวในโทษฐานที่ฆ่าเซียงเซียง!
จวินฝูคิดไม่ออกว่าไฉนท่านพี่ของตัวเองที่ปกป้องนางในตอนนั้น อยู่ๆ ก็กลับกลายเป็นคนละคนอย่างกู่ไม่กลับแบบนี้
“ข้าทำอะไรผิด ท่านพี่ไม่ต้องการข้าแล้วหรือ”
จวินฝูจ้องเฟิงอู๋โยวอย่างไม่พอใจ วางมือเล็กๆ พลันวางแขนลงไปบนขอบเก้าอี้ จากนั้นก็หันมาจ้องมองจวินมั่วหรันด้วยดวงตากลมโตของนางที่เริ่มคลอไปด้วยน้ำตา
เฟิงอู๋โยวขยับตัวไปด้านข้างอย่างรู้งาน จากนั้นสังเกตความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้
จะว่าไปจวินมั่วหรันก็ลำเอียงอยู่จริงๆ
เห็นๆ อยู่ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ยศฐาของจวินมั่วหรันสูงส่งยิ่งใหญ่เกินเอื้อมราวกับผลงานชั้นเลิศที่เทพเจ้าสร้างและประทานลงมาบนพื้นโลก
ถึงแม้จวินฝูจะต่างกันไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับจวินมั่วหรันแล้ว เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
“ข้าต้องการเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
จวินมั่วหรันนวดขมับเบาๆ เขาพูดอย่างไร้เยื่อใยราวกับลืมน้องสาวแท้ๆ อย่างจวินฝูไปแล้วก็ไม่ปาน
“เฮ้อ”
จวินฝูที่เก็บความน้อยใจเอาไว้อยู่เต็มอก ในที่สุดก็ระเบิดออกมา
นางทรุดลงพื้นและร้องไห้สะอึกสะอื้น “เทพเจ้าช่างกลั่นแกล้ง ท่านพี่ช่างโหดร้าย! จวินฝูผู้น่าสงสาร กำพร้าพ่อแม่เลี้ยงดู! ฮือๆๆ…”
“…”
จวินมั่วหรันถูกจวินฝูทำเอาปวดหัว และแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังมีน้องสาวอยู่
เงียบขรึมลงไปพักหนึ่ง เขาก็ชายตามองจวินฝูด้วยสายตาเกียจคร้าน “เจ้าอยากได้อะไร”
จวินฝูยกมือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง แต่น้ำตาก็ยังคลออยู่เต็มเบ้าราวกับเขื่อนกั้นน้ำที่พร้อมทะลักออกมาได้ทุกเมื่อ
“ข้าแค่ต้องการความยุติธรรม”
จวินฝูพูดขึ้นบ่นเสียงสะอื้น ความคับข้องใจของผู้หญิงย่อมทำให้นางเสียสติและเหตุผล
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าจวินมั่วหรันเป็นคนเย็นชาไร้เยื่อใยและไม่ชอบทำตัวสนิทสนมกับคนอื่น
จนกระทั่งวันนี้ นางได้รู้แล้วว่าท่านพี่ที่เป็นที่พึ่งของตัวเองมาโดยตลอด เป็นคนที่ยังต้องการปกป้องคนรักอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่คนที่เขาปกป้องไม่ใช่ตัวนาง
ตอนที่ 52 เทพพยากรณ์จุยเฟิง
“แม่ทัพเฟิงกินสิ่งที่ไม่สมควรกินเข้าไป หากเขามีอันเป็นไปจริงๆ หรือถูกเฉือนเนื้อลงโทษ ก็ไม่มีทางทำให้ข้าสบายใจขึ้นมาได้”
จวินมั่วหรันหลับตาลง แววหงุดหงิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา
เขานึกในใจ เฟิงอู๋โยวเปรียบเหมือนสัตว์ที่ถูกเขาล่า ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้เดียวที่จะทำอะไรนางก็ได้
แต่หากคนอื่นริอาจกลั่นแกล้งนางแม้ปลายเล็บ เขาจะตอบโต้ให้กลับเป็นหลายเท่า
เฟิงอู๋โยวไม่รู้ว่าจวินมั่วหรันคิดอะไรอยู่ในใจ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีต่อเขาทันที
แล้วทันใดนั้นนางก็พุ่งไปหาจวินมั่วหรันที่เอนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจับแก้มของเขาเบาๆ ด้วยมือที่เปื้อนโคลนของนางพลางพูดอย่างจริงใจ “เจ้าเส้นเลือดน้อย ที่แท้มโนธรรมของเจ้าก็ยังไม่ถูกหมาป่ากิน!”
จวินมั่วหรันสับฝ่ามือลงบนศีรษะเฟิงอู๋โยวทันที “ไสหัวไป”
เฟิงอู๋โยวเอามือกุมหัวอย่างเจ็บปวดพลางถอยกลับไป
นางรู้สึกว่าเป็นตัวนางนี่ช่างลำบากเสียจริง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน จวินมั่วหรันยังออกโรงปกป้องนางอยู่เลย
แต่ไฉนเพียงเสี้ยวพริบตากลับเริ่มลงไม้ลงมือกับนาง
จวินฝูที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้แค่ข่มอารมณ์ของตัวเองเองไว้
ทันใดนั้น จวินฝูก็ก้มไปเก็บเศษสร้อยกุญแจอายุยืน ก่อนพูดร่ายยาว “จวินฝูผู้นี้ไร้อำนาจไร้พลัง เป็นเพียงคนตัวเล็กไม่มีเสียง สัตว์เลี้ยงแสนรักเซียงเซียงจากไปด้วยอุบัติเหตุ ผู้กระทำผิดยังคงลอยนวล ต่อให้ไม่ยอมแต่ก็ต้องจำใจ ทว่าสร้อยกุญแจอายุยืนเส้นนี้เป็นของขวัญวันเกิดที่ท่านชายยู่ชินหวางงมอบให้ข้า บัดนี้ถูกทำลายจนแตกหัก หากขุนนางยู่ชินรู้เข้าจะต้องลงโทษแน่นอน แต่ข้าหาได้รู้ตัวผู้กระทำความผิดไม่ เรื่องนี้ควรอธิบายว่าเยี่ยงไร”
จี้มั่วอิ้นเหรินเห็นเช่นนั้นจึงรีบออกไปแทน “ขุนนางยู่ชินจิตใจดีมีเมตตา เขาไม่มีทางลงโทษผู้คนเพียงเพราะสร้อยกุญแจอายุยืนเพียงเส้นเดียว หรือเข้ามายุ่งย่ามกับเรื่องภายในตำหนักเซ่อเจิ้งหวางแน่นอน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ให้เขามาเข้าพบข้าก็พอ”
จวินฝูพูดไม่ออก ได้แต่กัดฟันกรอด นางโมโหจนเกือบกระทืบเท้า
“ฝ่าบาทคัดกฎการปกครองแคว้นเสร็จแล้วหรือ ไฉนฝ่าบาทจึงยื่นมือเข้ามายุ่งย่ามกับธุระในเรือนของกระหม่อม”
จวินมั่วหรันลืมตาขึ้นมามองจี้มั่วอิ้นเหรินด้วยสายตาเย็นชา ภายในใจเริ่มไม่สบอารมณ์
ไฉนเหยื่อของเขาต้องถูกปกป้องโดยคนอื่น
เมื่อจี้มั่วอิ้นเหรินได้ยินเช่นนั้นก็รีบหุบปากลงทันที
เฟิงอู๋โยวมองไปที่จวินมั่วหรันที่เจ้าอารมณ์ด้วยความสับสน วันนี้อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากกว่าปกติ จนทำให้นางเกือบจะสับสนในตัวเองเช่นกัน
เถี่ยโส่วทำหน้างุนงง เขาสะกิดแขนจุยเฟิงอีกครั้งพลางกระซิบ “จุยเฟิงเกิดอะไรขึ้นกับท่านใต้เท้ากันแน่ หรือเป็นอย่างที่แพทย์หลวงซูเคยว่าเป็นอาการป่วยทางจิตที่อาจส่งผลให้สติคลุมเครือ”
จุยเฟิงส่ายหน้า ใบหน้าของเขาสดใสไร้ซึ่งความกังวลใดๆ “เจ้าโง่! แพทย์หลวงซูบอกว่าอาการป่วยทางจิตใจต้องใช้ยาเยี่ยวยารักษาจิตใจ เจ้าดูสิ ยาเยี่ยวยารักษาจิตใจกำลังกระโดดขึ้นๆ ลงๆ ต่อหน้าเจ้าและข้าอยู่ไม่ใช่หรือ”
“หมายความว่าเยี่ยงไร”
“สาเหตุที่ท่านใต้เท้าปกป้องแม่ทัพเฟิงก็เพราะท่านไม่ต้องการให้ท่านหญิงจวินฝูรังแกเขา สาเหตุที่ท่านใต้เท้าดุฝ่าบาทก็เพราะไม่ต้องการให้ฝ่าบาทออกโรงช่วยเหลือแม่ทัพเฟิง มันเป็นความต้องการอยากเอาชนะและเป็นเจ้าของของบุรุษ! ตัวเองสามารถรังแกกลั่นแกล้งเขาได้แต่เพียงผู้เดียวแต่ตัวเองไม่สามารถทนเห็นผู้อื่นรังแกเขาได้ ตัวเองสามารถปกป้องเขาได้ แต่ผู้ใดอย่าริอาจปกป้องเขา” จุยเฟิงพูดขึ้นอย่างฉะฉานราวกับมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เถี่ยโส่วไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาได้ยิน จึงถามอีกครั้ง “ที่เจ้าพูดก็พอมีเหตุผล แต่ว่ามันเกี่ยวกับการเยียวยารักษาจิตใจตรงไหน”
“อาการป่วยทางจิตของท่านใต้เท้าเกิดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อแปดปีก่อน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าท่านใต้เท้าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ความรู้สึกของท่านกลับเริ่มตายด้านลงจนไร้ความรู้สึก ตอนนี้การที่ท่านใต้เท้าเต็มใจยอมรับแม่ทัพเฟิง ก็หมายความว่าเขากำลังเริ่มเปิดใจอย่างช้าๆ เชื่อข้าเถอะ ในท้ายที่สุดความรักของแม่ทัพเฟิงจะกลายเป็นยารักษาเยียวยาจิตใจท่านใต้เท้า!”
เมื่อจุยเฟิงคิดได้ว่าอาการป่วยทางจิตของจวินมั่วหรันมีวิธีรักษาแล้ว เขาก็รู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาไหลรินทันที