ตอนที่ 55 ขายเพื่อน / ตอนที่ 56 จวินมั่วหรันระคายหู
ตอนที่ 55 ขายเพื่อน
แขนล่ำสันของจวินมั่วหรันโอบรัดขาทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โย่วเพื่อล่ามนางไว้บนไหล่ของเขา
เขากะน้ำหนักร่างกายที่เบาบางนุ่มนิ่มของเฟิงอู๋โย่วอยู่สักพัก จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนไปเป็นฉายแววดูถูกขึ้นมา
ด้วยโครงร่างที่เพรียวบางของนาง อย่าว่าแต่ออกรบต่อสู้กับศัตรูเลย ลำพังแค่รับน้ำหนักของชุดเกราะก็น่าจะไม่ไหว
เมื่อเห็นจวินมั่วหรันจ้องมองที่บั้นท้ายของนางอย่างแน่นิ่ง เฟิงอู๋โย่วก็ยิ่งอยู่ไม่สุข
ถ้านางเป็นบุรุษแท้ๆ ก็คงจะเพิกเฉยต่อเจตนามิดีมิร้ายของเขา และยอมทุกข์ทรมานกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้
แต่ปัญหาก็คือ นางห้ามเปิดเผยเรือนร่างผู้หญิงของนางเป็นอันขาด
ขืนความจริงถูกเปิดโปง ดวงกุดแน่นอน!
“ท่านใต้เท้า โปรดเชื่อกระหม่อมเถอะขอรับ กระหม่อมเป็นโรคจริงๆ” เฟิงอู๋โย่วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
จวินมั่วหรันพานางเข้ามาในเรือนมั่วหรันอย่างรวดเร็ว ปิดประตูใส่กลอนอย่างแน่นหนา
เดิมทีเขาแค่อยากจะถามนางสองสามคำ แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกอันน่าตลกของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งนางอีกครั้ง
เฟิงอู๋โย่วห้อยหัวลงบนไหล่ของจวินมั่วหรัน มือทั้งสองข้างของนางพลันปิดหน้าอก “ท่านใต้เท้าโปรดอย่าทำเช่นนี้เลยขอรับ กระหม่อมกลัวแล้ว”
จวินมั่วหรันแสยะยิ้ม เขารู้สึกว่าเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยของเฟิงอู๋โย่วช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก
เสี้ยวพริบตาต่อมา เขาก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ จึงตีเข้าไปที่บั้นท้ายของเฟิงอู๋โย่วหนึ่งที
เพี้ยะ
ฝ่ามือใหญ่ๆ ฟาดลงไปบนก้น บังเกิดเสียงดังดั่งฟ้าผ่า
สัมผัสเนียนนุ่มและตึงเด้ง
เฟิงอู๋โย่วทั้งอายและโมโห สองมือกำหมัดแน่นก่อนทุบเข้าไปที่หน้าท้องหนาๆ ของจวินมั่วหรัน “ท่านใต้เท้าบ้า ไม่รู้หรือว่าห้ามตีก้นเสืออย่างกระหม่อม”
จวินมั่วหรันโยนนางลงบนพื้นทันที ก่อนมองนางด้วยสายตาเหยียดหยาม “ไฉนเจ้าถึงกล้าดีลงมือกับข้าเยี่ยงนั้นหรือ”
“ไฉนท่านใต้เท้าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย! เห็นๆ อยู่ว่าท่านตีข้าก่อน”
เฟิงอู๋โย่วรู้สึกเจ็บจากการตกกระแทก นางล้มหมอบลงบนพื้น ใบหน้าสวยของนางพองขยายด้วยความโกรธ ปากเรียวเล็กขมุบขมิบบ่นพึมพำ
เฟิงอู๋โย่วนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร มือวางบนตักพลางจ้องมองเฟิงอู๋โย่วด้วยความสนใจ
ดวงตาของเขาเย็นเฉียบราวกับคมดาบ เฉียบคมดุจเหยี่ยวนักล่า แค่มองเพียงแวบเดียวก็ทำเอาเฟิงอู๋โย่วอกสั่นขวัญหาย
ก่อนเจอกับจวินมั่วหรัน เฟิงอู๋โย่วคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งและช่ำชองในการต่อสู้เหนือกว่าใคร
ทว่าตั้งแต่มีเรื่องกับราชาปีศาจแห่งแคว้นตงหลินคนนี้ เฟิงอู๋โย่วก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเสมือนสิ่งของที่คิดจะเล่นสนุกทำอะไรกับมันก็ได้
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมเป็นโรคจริงนะขอรับ หากท่านชื่นชอบบุรุษด้วยกันจริงๆ อย่างน้อยก็ควรหาบุรุษที่แข็งแรงสุขภาพดีสักคน คนที่มีอายุหน่อย พอที่จะป้องกันตัวเองและรับมือกับความรุนแรงได้นะขอรับ”
เฟิงอู๋โย่วพยายามเค้นแรงออกมาพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น
นางนั่งยองๆ ลงข้างๆ เท้าของจวินมั่วหรัน ก่อนเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ท่านใต้เท้าขอรับ ลองพิจารณาจุยเฟิงเป็นเยี่ยงไร แข็งแรงกำยำ การต่อสู้ไม่เป็นรองใคร แค่ดูก็รู้แล้วว่ากร้านโลก มากประสบการณ์”
จวินมั่วหรันเลิกคิ้ว ดวงตาฉายแววขุ่นเคืองออกมา
เฟิงอู๋โย่วรู้ว่าจวินมั่วหรันไม่พอใจ จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ “จุยเฟิงรูปร่างสูงใหญ่ คงยากที่จะยอมจำนน แต่เถี่ยโส่วกลับบอบบางกว่าหน่อย ไหล่กว้าง เอวเล็ก แต่ก็ยังคงแข็งแกร่ง แค่ดูก็รู้แล้วว่าเอวดี”
“เฟิงอู๋โย่ว!”
จวินมั่วหรันแค่อยากถามนางถึงวิธีที่นางใช้หลบหนีมาจากแคว้นเป่ยหลีและเข้ามายังแคว้นตงหลิน แต่กลับถูกพูดแทรกก่อนทุกครั้ง
เฟิงอู๋โย่วลุกขึ้นพรวดและมุดเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะอาหาร ก่อนถามหยั่งเชิงอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง “อันที่จริง เสี่ยวอิ้นอิ้นก็ไม่เลว แก้มนุ่มนิ่มเป็นซาลาเป่าเนื้อสด สะอาดเกลี้ยงเกลา ท่านใต้เท้าคิดว่าเยี่ยงไรขอรับ”
“ตั้งแต่นี้ไป หากข้าไม่อนุญาต เจ้าไม่มีสิทธิ์พูด!”
“ท่านใต้เท้าขอรับ ตอนนี้กระหม่อมพูดได้หรือไม่ขอรับ” เฟิงอู๋โย่วเพิ่งจะถามออกไปก็รีบเอามือปิดปากพูดพึมพำกับตัวเอง “ถ้าไม่ตอบ กระหม่อมจะคิดว่าท่านอนุญาตนะขอรับ”
“…”
เฟิงอู๋โย่วเป็นพวกได้คืบจะเอาศอก พอเห็นจวินมั่วหรันไม่ตำหนินางก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน นางหยิบเก้าอี้กลมตัวเตี้ยมานั่งข้างๆ เขาก่อนพยายามพูดโน้มน้าวขึ้น “โบราณกล่าวไว้ว่า ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่สิ่งที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือการไร้ทายาทสืบสกุล ใช่ว่าท่านใต้เท้าจะชื่นชอบบุรุษไม่ได้ แต่กระหม่อมคิดว่า ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ท่านควรมีนางสนมไว้ข้างกายก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสสืบสกุลให้ตระกูลจวิน”
ตอนที่ 56 จวินมั่วหรันระคายหู
จวินมั่วหรันพยายามสะกดเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาที่มุมหน้าผาก น้ำเสียงทุ้มต่ำสอดแทรกแววอำมหิตรำไร มันกลบความหน่ายอารมณ์ในน้ำเสียงของเขาอย่างสิ้นเชิง “เจ้าอยากถูกตัดลิ้นนักหรือ”
“ท่านใต้เท้าขอรับ อย่าสนใจคำพูดงี่เง่าของกระหม่อมเลยขอรับ” เฟิงอู๋โยวจับชายเสื้อของเขาเบาๆ พลางพูดขึ้นเสียงนุ่ม “กระหม่อมคิดว่าท่านใต้เท้าควรจะหาสตรีอ่อนหวานนุ่มนวลสักสองสามคนมาปรนนิบัติ ดีกว่ามาเสียเวลากับบุรุษเสเพลที่เป็นโรคดอกหลิวเยี่ยงกระหม่อม”
“เฟิงอู๋โยว เจ้าคิดว่าลูกไม้ตื้นๆ ของเจ้าจะสามารถปิดบังข้าได้อย่างนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันจับคอเรียวยาวขาวเนียนนุ่มดุจหิมะของเฟิงอู๋โยว สายตาเฉี่ยวคมดุจเหยี่ยวมองไปยังลูกกระเดือกที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยบนคอของเขา
“ท่านใต้เท้าพูดว่าอะไรนะขอรับ กระหม่อมไม่เข้าใจ”
“แม้แต่น้องสาวของข้า เจ้ายังกล้าหยามหมิ่น ช่างกล้าดีไม่เบา!”
“การเผลอกินสัตว์เลี้ยงแสนรักของท่านหญิงเป็นความผิดของกระหม่อม แต่หากมองการณ์ไกล การที่ท่านหญิงเลี้ยงเป็ดเป็นสัตว์เลี้ยง หากเป็นข่าวลือขึ้นมา มันคงเป็นข่าวฉาวไม่เบา คนที่ไม่รู้คงคิดว่าท่านหญิงเติบโตมาจากชนบท ไม่เคยเจอโลกกว้าง กระหม่อมกินเป็ดไปเพียงครึ่งตัวเช่นนี้ถือเป็นการช่วยไม่ให้ชื่อเสียงของท่านหญิงเสื่อมเสียยามออกไปข้างนอกนะขอรับ”
จวินมั่วหรันคิดว่าคำพูดของเฟิงอู๋โยวพวกนี้เป็นเหมือนผายลม นางกำลังแก้ผ้าเอาหน้ารอดอยู่
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกน่าเหลือเชื่อก็คือ ไม่ว่าเขาจะอ้างเรื่องโกหกใดๆ ขึ้นมา มันกลับมีเหตุผลในตัวของมันชนิดที่หาข้อบกพร่องไม่เจอ
“ท่านใต้เท้าขอรับ สัมผัสจากมือของท่านช่างรู้สึกดีเหลือเกิน บีบอยู่ที่คอกระหม่อมแบบนี้ มันเย็นวูบวาบดีจังขอรับ” เฟิงอู๋โยวถูกเขาบีบจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาเจือแววไม่พอใจรำไร
แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
จวินมั่วหรันมองคอที่ถูกบีบจนเป็นรอยแดงของนางอย่างเย็นชา จากนั้นจึงคลายมือออกพลางเอ่ยขึ้น “บอกข้า เจ้ามาที่แคว้นตงหลินด้วยเหตุผลอันใด”
“หลบหนีมาทางน้ำและโชคไม่ช่วย ถูกคนล้อมโจมตี และเพื่อหลบหนีจากการถูกไล่ฆ่า และต้องการสวามิภักดิ์ต่อเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลิน กระหม่อมจึงเข้ามาในเขตดินของแคว้นตงหลินขอรับ” เฟิงอู๋โยวขึ้นอย่างระมัดระวัง
จวินมั่วหรันสัมผัสได้ถึงการประจบประแจงในน้ำเสียงของเฟิงอู๋โยว จึงแค่นเสียงหึในลำคอ “หลังจากแฝงตัวเข้ามาในแคว้นตงหลิน เจ้าทำอะไรไปแล้วบ้าง”
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็สำรวจรอบๆ ที่อยู่ของเซ่อเจิ้งหวางขอรับ” เฟิงอู๋โยวกะพริบตาปริบๆ แม้แต่ตัวนางเองก็รู้สึกว่าคำตอบของนางไม่ค่อยหนักแน่นเท่าไหร่ ครั้นแล้วจึงลากเรื่องของไป๋หลี่เหอเจ๋อเข้ามา
“จริงด้วย คืนวันนั้นกระหม่อมพบกับท่านกั๋วซือไป๋หลี่เหอเจ๋อแห่งแคว้นตงหลินที่งามสง่าดั่งเทพเซียนด้วยขอรับ เขายืนอยู่บนกำแพงของตำหนักเซ่อเจิ้งหวางและรับรู้เรื่องเหตุลักขโมยในตำหนักเซ่อเจิ้งหวางอีกด้วย และพอเขาเจอกับกระหม่อมก็แต่งกลอนประหลาดให้กระหม่อม แต่โชคดีที่กระหม่อมไม่ได้หลงใหลในรูปลักษณ์ความงามของเขา จึงไม่ได้ให้ความสนใจเขา พอเขาทำอะไรไม่ได้ก็จากไปแต่โดยดีขอรับ”
“ไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างนั้นหรือ” จวินมั่วหรันหรี่ตาลง มุมปากผุดยิ้มขึ้นมาอย่างยากจะสังเกต
เป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายทรงเสน่ห์
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จวินมั่วหรันก็หุบยิ้มและมองไปยังร่างกายที่เล็กบางของเฟิงอู๋โยว
“ถอดออก”
เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่อัดแน่นไปด้วยความแข็งกร้าว
เฟิงอู๋โยวรู้ว่าจวินมั่วหรันเริ่มสงสัยในตัวนาง หัวใจจึงเริ่มเต้นระรัวดั่งลั่นกลอง “ท่านใต้เท้าไม่รังเกียจที่กระหม่อมเป็นโรคหรือขอรับ”
“อืม”
จวินมั่วหรันตอบกลับ เขาขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดกับเฟิงอู๋โยว
เขาในตอนนี้แค่ต้องการพิสูจน์ความเกี่ยวข้องระหว่างเฟิงอู๋โยวกับสตรีหัวขโมย
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมเป็นโรคดอกหลิวจริงๆ นะขอรับ ตามร่างกายมีแต่จุดน่ารังเกียจ กระหม่อมเกรงว่ามันจะอุจาดตาของท่านเท้าใต้”
เฟิงอู๋โยวคิดว่าหากมัวแต่ชักช้าอยู่แบบนี้จะยิ่งทำให้จวินมั่วหรันยิ่งสงสัยในตัวนาง
ถ้าเช่นนั้น วัดดวงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ขอเดิมพันดูสักตั้ง!
หลังจากบรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่ง นางก็ยืดตัวตรงและยืนแยกขาออกจากกัน ก่อนทำท่าทำทางอย่างมั่นใจ “ดูให้ดีนะขอรับ ช่วงเวลาพิสูจน์มาถึงแล้ว!”
“…”
“ขอท่านใต้เท้าอย่าได้กะพริบตาเด็ดขาด! เจ้าโลกใหญ่โตของกระหม่อมมันสุดยอดมากๆ! พลหารทั้งกองทัพของแคว้นเป่ยหลีต่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไปตามๆ กันหลังจากได้เห็นเรือนร่างของกระหม่อม หากเป็นหน้าแล้ง เกรงว่าน้ำตาของพวกเขาที่ไหลรวมกันคงช่วยเยียวยาไร่นาที่แห้งผากได้เลยขอรับ!”
จวินมั่วหรันยิ้มมุมปาก ในชีวิตนี้ของเขา ไม่เคยเจอคนที่น่าไม่อายขนาดนี้มาก่อน
ลำพังแค่ร่างกายอันบอบบางของเฟิงอู๋โยว ก็รู้แล้วว่านางไม่มีทางมีสัญลักษณ์ความเป็นชายที่ใหญ่โตขนาดนั้น
อีกอย่าง นางเป็นถึงพลหารแห่งแคว้นเป่ยหลีที่ชื่อเสียงโด่งดัง แล้วจะปล่อยให้คนทั้งกองทัพเห็นเรือนร่างของตัวเองได้เยี่ยงไร
หรือว่านางขึ้นไปแก้ผ้าถอดกางเกงบนป้อมปราการต่อหน้าทุก
พอจวินมั่วหรันนึกถึงภาพฉากที่เฟิงอู๋โยวขึ้นไปแสดงสัญลักษณ์ความเป็นชายต่อหน้าทุกคนบนป้อมปราการ ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
“หยุด!”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จวินมั่วหรันก็สั่งให้เฟิงอู๋โยวที่กำลังทำท่าปลดเข็มขัดอยู่หยุดการกระทำทุกอย่างลง
ถึงแม้เขาจะกล้าทำตัวใกล้ชิดกับเฟิงอู๋โยว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกล้าใกล้ชิดกับไอ้นั่นของบุรุษ
หัวใจที่เต้นระรัวดั่งลั่นกลองของเฟิงอู๋โยวพลันกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
แต่นางรู้สึกว่าความสงสัยของจวินมั่วหรันยังไม่จางหาย จึงได้พยายามลูบเป้ากางเกงตัวเองอย่างเสียดาย “ท่านใต้เท้าไม่อยากเทียบขนาดกันหน่อยหรือขอรับ”
“หุบปาก”
จวินมั่วหรันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเหมือนเดิม จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะชา จับพู่กันขึ้นมาและเขียนบางอย่างลงไปบนกระดาษ
เฟิงอู๋โยวหันไปมองเส้นขีดเขียนอย่างพลิ้วไหวบนกระดาษ ก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเข้าใจอะไรบางอย่างผิด
ที่แท้ การที่จวินมั่วหรันเรียกนางเข้ามาในห้อง เขาไม่ได้มีความคิดไม่ดีไม่ชอบกับนาง
เขาแค่สงสัยในความเป็นชายของนางเท่านั้น
“ท่วงท่าการขีดเขียนพู่กันของท่านใต้เท้าช่างสง่างามน่าชมเหลือเกินขอรับ น่าชมยิ่งกว่าตอนที่ท่านกั๋วซือผู้ยิ่งใหญ่โยนถุงเงินเสียอีก”
เฟิงอู๋โยวพอรู้สึกได้ว่าจวินมั่วหรันกับไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ค่อยลงรอยกัน ดังนั้นจึงรีบพูดยกยอจวินมั่วหรันโดยการเปรียบเทียบกับไป๋หลี่เหอเจ๋อ
จวินมั่วหรันมองเจตนาของเฟิงอู๋โยวออก เขาจึงไม่ใส่ใจ
เพราะว่ามีใครบ้างในใต้หล้าที่ไม่พูดยกยอชื่นชมตัวเขา
“เฟิงอู๋โยว อ่านทีละคำชัดๆ!”
มือขาวๆ ราวกับหยกของจวินมั่วหรันเคาะกระดาษที่กางแนบอยู่บนโต๊ะชาเบาๆ
เฟิงอู๋โยวทำตามที่เขาสั่งทันที ก่อนหายใจเข้าลึกๆ และโน้มตัวไปด้านหน้า จากนั้นก็อ่านตัวหนังสือบนกระดาษ
“ความรักช่างมาอย่างรวดเร็วดุจพายุใต้ฝุ่น”
นางเพิ่งอ่านได้แค่ประโยคเดียวก็ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ท่านใตเท้าขอรับ คำว่า ‘รวดเร็ว’ ตรงนี้ใช้ไม่ถูก! ไม่มีบุรุษคนไหนที่ชอบความรักที่มาอย่าง ‘รวดเร็ว’ ควรเปลี่ยนเป็น ความรักที่ใช้เวลาบ่มเพาะยาวนาน ดีกว่าความรักที่ฉาบฉวยนะขอรับ”
“อ่านต่อ”
จวินมั่วหรันเส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผาก เขาแทบอยากบีบคอเฟิงอู๋โยวให้ตายคามือให้รู้แล้วรู้รอด
เฟิงอู๋โยวมองไปที่ตัวหนังสือต่อ แต่ทันใดนั้นก็ขนลุกไปทั้งตัว
ทำไมนางถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้ออกไป หรือว่าจวินมั่วหรันจำเรื่องเมื่อคืนนั้นได้ จำคำพูดที่นางเผลอพูดออกไปเพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด
ใช่แล้ว จะต้องเป็นแบบนี้แน่นอน!
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด “ท่านใต้เท้าผู้เก่งกาจ ท่านใต้เท้าผู้ปราดเปรื่อง กระหม่อมไม่อาจหนีรอดไปจากฝ่ามือของท่านได้หรอกขอรับ”
ทันทีที่นางอ่านจบก็ขยำกระดาษนั่นทิ้งอย่างรังเกียจ “ท่านใต้เท้าขอรับ ท่านอายุยังน้อย แต่กลับเปี่ยมไปด้วยเจตนาที่ต้องการพัฒนาบ้านเมือง”
ใบหน้าของจวินมั่วหรันฉายแววไม่พอใจ เขาแทบอยากจะตบบ้องหูตัวเอง
ฟังบุรุษด้วยกันชมกันแบบนี้ เขารู้สึกระคายหูยิ่งนัก
เมื่อเฟิงอู๋โยวสัมผัสได้ว่าตัวเองสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของจวินมั่วหรันได้แล้ว จึงรีบชิงถามขึ้นทันที “ท่านใต้เท้า ในเมื่อกระหม่อมอ่านจบแล้ว สามารถขอตัวจากไปได้หรือยังขอรับ”