ตอนที่ 59 ท่านใต้เท้าออกโรงปกป้องอีกครั้ง / ตอนที่ 60 จับหัวขโมย
ตอนที่ 59 ท่านใต้เท้าออกโรงปกป้องอีกครั้ง
จวินมั่วหรันคลี่ยิ้มมุมปากและจ้องมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังวิ่งหนีอย่างลนลาน ภายในใจเกิดครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาทันที
“อาหรัน เจ้าไปหาเจ้าหมอนี่มาจากไหน เอวบาง สะโพกผาย แต่นิสัยหยาบโลน!” จี้มั่วจื่อเฉินเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ จวินมั่วหรัน และมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังวิ่งหนีตาเหลือกไปทั่วอย่างสนใจ
จวินมั่วหรันจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น สีหน้าฉายแววไม่สบอารมณ์ “เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“ก็เป็นห่วงเจ้าอย่างไรล่ะ ทำไมกัน เหตุใดยังตามหาสตรีหัวขโมยที่ขโมยกางเกงชั้นในเจ้าไม่เจออีก” จี้มั่วจื่อเฉินถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา สายตาจับจ้องเฟิงอู๋โยวอย่างไม่ละสายตา
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
สายตาเยือกเย็นดุจคมดาบมองกวาดจี้มั่วจื่อเฉิน ก่อนวางคันธนูกลับไปไว้ที่เดิมอย่างหน่ายอารมณ์
“อ่า! อาหรัน เจ้าคงไม่ได้ถูกใจเจ้าเด็กผู้ชายบอบบางที่วิ่งกอดเป้าธนูฟางอยู่ใช่หรือไม่”
จี้มั่วจื่อเฉินเกิดนึกสนุกขึ้นมา ครั้นแล้วจึงหยิบธนูขึ้นมาง้างยิงไปที่ปิ่นปักผมบนศีรษะของเฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา นางทิ้งเป้าธนูฟางในอ้อมกอดลงและโต้ตอบกลับด้วยเข็มเงินใต้แขนเสื้อ
ฟุบ ฟุบ ฟุบ
ในช่วงเสี้ยวพริบตา เข็มสามเล่นพุ่งเข้าโจมตีเป้ากางเกงจี้มั่วจื่อเฉินทันที เจ็บปวดจนเขาต้องกัดฟันกรอด
ส่วนเฟิงอู๋โยวก็หลบการโจมตีของจี้มั่วจื่อเฉินไม่ทัน ปิ่นปักผมหยกบนศีรษะแตกหัก ทำให้ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงประบ่า ขับให้ใบหน้าของนางสวยงามโดดเด่นเกินกว่าใคร
นางโมโหยิ่งนัก นางวิ่งเข้าไป ย่อตัวเค้นแรงไปที่ขา จากนั้นก็เตะงัดไปที่เป้ากางเกงจี้มั่วจื่อเฉินทันที
“หัวขาดเลือดออกยอมได้ แต่ทรงผมห้ามยุ่งเหยิง ถ้ายังมีครั้งต่อไปอีก อย่าหาว่ากระหม่อมไร้ความปราณี!” เฟิงอู๋โยวจ้องมองจี้มั่วจื่อเฉินอย่างเหี้ยมโหด จากนั้นก็หันกลับไปมองจวินมั่วหรัน
จวินมั่วหรันมองมายังนางอย่างไม่ละสาย นางในสภาพปล่อยผมลงมาช่างเหมือนสตรียิ่งนัก
ในความสวยงามแฝงด้วยความสง่าเยี่ยงวีรบุรุษชวนจับตามอง
“ท่านใต้เท้าขอรับ กล้าให้กระหม่อมเปลี่ยนเป็นฝ่ายยิงธนูหรือไม่ขอรับ” เฟิงอู๋โยวเลิกคิ้วยั่วยุจวินมั่วหรัน
ในขณะนั้นเอง จี้มั่วจื่อเฉินที่กำลังกุมเป้ากางเกงตัวเองอยู่ก็จำเฟิงอู๋โยวได้ทันที ก่อนตะโกนขึ้นอย่างโมโห “เป็นเจ้านี่เอง! เจ้าตัวดี ไม่นึกว่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง!”
เฟิงอู๋โยวหันกลับมอง และเมื่อนึกดูดีๆ ก็นึกออกว่าตัวเองเคยเจอเขาที่หน้าประตูเมือง
นางตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ “เป็นกระหม่อม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านขอรับ”
จี้มั่วจื่อเฉินดึงเข็มที่ปั่กอยู่ตามร่างกายออกอย่างทรมาน ก่อนเดินมาอยู่ด้านหลังจวินมั่วหรัน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “อาหรัน อย่าปล่อยเขาไปเด็ดขาด! วันนั้นที่ประตูเมือง เขาพูดจาไม่ให้เกียรติกางเกงชั้นในของเจ้าและเรียกมันว่าไอ้ของพรรค์นี้!”
จวินมั่วหรันเกร็งกระตุกเพราะเขาไม่อยากจำเรื่องกางเกงชั้นในที่ถูกขโมยไป
เฟิงอู๋โยวมองไปยังจวินมั่วหรันอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนรีบพูดอธิบายขึ้น “ท่านใต้เท้าขอรับ โปรดอย่าเข้าใจผิด กระหม่อมไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นออกไป กางเกงชั้นในของท่านดูดีเหลือเกิน หมูที่วาดอยู่ด้านบนก็ดูดี กระหม่อมยังตั้งชื่อให้มันอีกด้วย ท่านใต้เท้าอยากฟังหรือไม่ขอรับ”
“เฟิงอู๋โยว เจ้าอยากตายนักหรือ”
จวินมั่วหรันยื่นมือของเขาออกไปบีบคอเรียวยาวของเฟิงอู๋โยวอีกครั้ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เฟิงอู๋โยวในสภาพผมกระเซิงอยู่ตรงหน้าเขาทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
เขารู้สึกว่าตรงช่องท้องของตัวเองร้อนวูบวาบเกินกว่าจะระงับ และคอบางๆ ที่เขาจับอยู่นั้นนุ่มลื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว จวินมั่วหรันก็รู้สึกสนุกกับการสัมผัสใกล้ชิดกับนาง
เฟิงอู๋โยวสัมผัสได้ว่าแรงของมือบนคอนางเริ่มผ่อนลง จากการบีบกระชับแน่นเปลี่ยนเป็นการลูบสัมผัส ครั้นแล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านใต้เท้ามีอารมณ์กับบุรุษด้วยกันแบบนี้ ท่านไม่รู้สึกละอายใจหรือ”
จวินมั่วหรันสีหน้านิ่งลง ก่อนค่อยๆ ดึงมือกลับมา ก่อนเช็ดมือตัวเอง “มัดผมเจ้าเสีย ผมยุ่งเหยิงแบบนี้มันน่าอาย”
“ใช่ มันน่าอาย!”
จี้มั่วจื่อเฉินพยักหน้าตามอย่างหนักแน่น ถ้าไม่เห็นแก่จวินมั่วหรัน ป่านนี้เขาจัดการนางไปตั้งนานแล้ว
ผู้คนทั่วใต้หล้าต่างรู้ดีว่าองค์หกแห่งแคว้นตงหลินอย่างจี้มั่วจื่อเฉินเป็นคนตัณหาจัด ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชายก็ต่างไม่ไว้หน้า
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองจี้มั่วจื่อเฉินที่แผ่รังสีออกมาราวกับหมาป่าล่าเหยื่อ ก็รีบแย่งผ้าที่เอวของเขาอย่างรวดเร็ว และรวบมัดผมตัวเองขึ้น
จี้มั่วจื่อเฉินตกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าเฟิงอู๋โยวจะกล้าดีเช่นนี้
เขาดึงเสื้อจวินมั่วหรันอย่างไม่พอใจ “อาหรัน เจ้าปล่อยให้เขาทำตัวแบบนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าเป็นฝ่ายรังแกเขาก่อนไม่ใช่หรือ”
จวินมั่วหรันมองจี้มั่วจื่อเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็หันกลับไปสั่งคนให้พาตัวเขาออกจากตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง
ตอนที่ 60 จับหัวขโมย
“อาหรัน เจ้าตำหนิข้าเพื่อบุรุษป่าเถื่อนคนนี้อย่างนั้นหรือ!”
“ข้าอยากให้เจ้ารู้ แม้ภูผาพังทลาย สายธาราเหือดแห้ง อัสนีบาตร่ำร้องกลางเหมันต์ หิมะโปรยปรายยามคิมหันต์ นภาโลการวมเป็นหนึ่ง ก็ขอสูญสิ้นไปพร้อมกัน”
“อาหรัน เจ้ายังจำน้องเฉินที่เติบโตมากับเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
จี้มั่วจื่อเฉินถูกทหารองครักษ์สองคนประกบข้าง ก่อนหิ้วแขนทั้งข้างพาตัวออกไป
แต่ปากของเขายังพูดขึ้นอย่างไม่ยอม
เดิมที เขาอยากให้จวินมั่วหรันประทับใจในตัวเขา แต่นึกไม่ถึงว่าจวินมั่วหรันจะไม่เออออเล่นด้วย
ด้วยเหตุนี้ จี้มั่วจื่อเฉินจึงเปลี่ยนแผน มือทั้งสองข้างกุมเป้ากางเกงและแสร้งทำเป็นเจ็บปวดร้องโอดโอย “อาหรัน ข้าเจ็บเหลือเกิน เป่าให้ข้าหน่อย”
เฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองใบหน้าเรียบนิ่งของจวินมั่วหรันอย่างแปลกใจ
ผู้คนทั่วใต้หล้าต่างรู้ว่าจวินมั่วหรันไม่ชอบเข้าใกล้สตรี แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าเขาไม่ชอบบุรุษ
บางทีจวินมั่วหรันกับจี้มั่วจื่อเฉินอาจจะมีอดีตอัน ‘เร้าใจ’ ร่วมกันมาก่อน
เมื่อเฟิงอู๋โยวนึกถึงภาพฉากตอนที่จวินมั่วหรันย่อตัวเป่าลมปลอบตรงจุดที่จี้มั่วจื่อเฉินได้รับบาด ก็รู้สึกวูบวาบขึ้นมาทันที
“เห้อ น่าเสียดายที่ไม่มีฉากสนุกๆ!” เฟิงอู๋โยวอุทานอย่างเสียดาย ความโกรธในใจพลันค่อยๆ หายไป
“หายโกรธแล้วอย่างนั้นหรือ”
ดวงตาดำสนิทของจวินมั่วหรันมองไปที่ใบหน้าเฟิงอู๋โยวที่ฉายแววเสียดายออกมา น้ำเสียงชั่วร้ายทรงเสน่ห์จึงดังขึ้น
“หายโกรธที่ไหน ท่านใต้เท้าชอบแกล้งกระหม่อม ถ้าคนสนิทของกระหม่อมเห็นเข้าจะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน” เฟิงอู๋โยวขมุบขมิบปาก
“อยากให้ข้าฝึกธนูกับเจ้าหรือไม่ ครั้งนี้ให้ข้าเป็นเป้าธนูให้เจ้าเป็นเยี่ยงไร”
จวินมั่วหรันยื่นมือออกมาสัมผัสใบหน้าของเฟิงอู๋โยวอีกครั้ง
เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่าจวินมั่วหรันคิดว่าใบหน้าตัวเองเป็นแป้งนวด ยิ่งนวดยิ่งออกแรง
นางเกิดโมโหขึ้นมาอีกครั้ง ครั้นแล้วจึงอ้าปากกัดเข้าไปที่ข้อมือจวินมั่วหรันทันที
“เฟิงอู๋โยว เจ้าเกิดปีหมาหรืออย่างไร”
จวินมั่วหรันสีหน้านิ่งลง มืออีกข้างจับเข้าไปที่ท้ายทอยของนางจนเกือบออกแรงบีบจนเกินมือ
“ท่านใต้เท้า ตอนนี้รู้แล้วใช่หรือไม่ว่า ‘อะไรที่ตัวเองไม่ชอบ จงอย่าทำกับคนอื่น’ เป็นอย่างไร การกระทำของท่านช่างโหดร้ายกว่าของกระหม่อมหลายเท่ายิ่งนัก”
เฟิงอู๋โยวครุ่นคิด หากอยู่ฝึกธนูกับเขา คนที่เสียเปรียบไม่ใช่จวินมั่วหรันแน่นอน นางจึงทำเป็นเมินเฉยกับข้อเสนอของเขา
“เจ้ากำลังสั่งสอนข้าอยู่อย่างนั้นหรือ”
ดวงตาจวินมั่วหรันผุดแววเย็นและออกแรงบีบแก้มของนางอีกครั้ง
บีบจนแก้มขาวๆ ของนางกลายเป็นสีแดงจึงปล่อยมือออก
นางพยายามระงับอารมณ์ที่อยากตะโกนด่าออกไป จึงได้ตาถลึงตาใส่จวินมั่วหรัน “เจ็บนะ ท่านใต้เท้าเบามือหน่อยไม่ได้หรือ”
“อ่อนแอ”
ปากจวินมั่วหรันก็พูดไปแบบนั้น แต่กลับขัดแย้งกับใจของตัวเอง
เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเฟิงอู๋โยวไม่เหมือนจี้มั่วจื่อเฉิน ผิวของนางบอบบางกว่าและทนต่อแรงบีบแรงๆ ไม่ได้
เฟิงอู๋โยวพยายามขัดขืน ต่อให้โมโหอยู่เต็มอกแต่ก็ไม่อาจระบายออกมาได้ ซ้ำยังต้องบีบเสียงให้นุ่มนวลอีก “ท่านใต้เท้า ถ้าอยากให้กระหม่อมอยู่ฝึกธนูด้วย ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเราทั้งสอง ท่านลองคิดดูว่าพอจะมีวิธีใดที่พอจะปล่อยให้กระหม่อมเป็นอิสระได้”
พึ่บ
จวินมั่วหรันสะบัดชายแขนเสื้อ เงินกระดาษหลายร้อยใบโปรยปลิวราวกับใบไม้ร่วงหล่นละลานตาของเฟิงอู๋โยว
“โห! ดูร่ำรวยเหลือเกิน!”
“ท่านใต้เท้า ทุ่มปึกเงินกระดาษใส่กระหม่อมให้ตายไปเลยก็ได้นะขอรับ!”
“ท่านใต้เท้า ท่วงท่าตอนโปรยเงินกระดาษของท่านช่างดูสง่ากว่าตอนที่ท่านกั๋วซือโยนถุงตำลึงเงินอีกขอรับ!”
เฟิงอู๋โยวพูดขึ้นอย่างประจบประแจงเพราะในความเป็นจริง นางไม่เคยมองจวินมั่วหรันด้วยสายตาปกติ
นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางนั่งยองๆ เก็บเงินกระดาษขึ้นมา
เงินกระดาษหนึ่งใบมีค่าเท่ากับหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน นึกไม่ถึงว่านางจะเก็บเงินกระดาษได้ทั้งหมดหนึ่งล้านตำลึงเงินได้อย่างง่ายดาย
ทั้งที่รู้ว่าเฟิงอู๋โยวกำลังประจบอยู่ แต่จวินมั่วหรันก็สนุกกับมันมาก
เขาเอามือไพล่หลังพลางมองเฟิงอู๋โยวที่นั่งยองๆ น้ำลายไหลอยู่ที่พื้น “อยากได้หรือไม่”
“ท่านใต้เท้าไม่ได้มอบให้กระหม่อมหรอกหรือ” เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นมาและทำท่าราวกับแม่ไก่หวงรัง นางปกป้องกองเงินกระดาษที่อยู่ตรงเท้านางอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ภายในสามวัน จงตามหาสตรีหัวขโมยที่ลักลอบเข้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวางยามวิกาลให้ได้ แล้วเงินทั้งหมดนี้จะตกเป็นของเจ้า”
“ถ้าตามจับไม่ได้ล่ะขอรับ”
เฟิงอู๋โยวรู้ดีว่าหากตัวเองจะลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง เงินที่เป็นสิ่งของนอกกายพรรค์นี้สำคัญกับนางมากยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้นางไม่อยากอาศัยอยู่ที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง แต่เงินที่นางควรได้รับ สมบัติที่นางควรได้เก็บก็ลดให้ไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
“ถ้าจับไม่ได้ก็ให้ความตายเป็นสิ่งชดใช้แล้วกัน ข้าไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อยู่ข้างกาย”
ริมฝีปากบางๆ ของจวินมั่วหรันขยับพูด ท่าทางของเขายังคงสงวนแววดูถูกเหยียดหยามในแบบของผู้สูงส่ง
พอเฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นก็ร่นถอยกลางคัน “ไม่ต้องการเงินทุจริต”
“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเจ้าจะเลือกทางไหนก็ตายอยู่ดี”
“เจ้า!” เฟิงอู๋โยวพูดไม่ออก นางรู้ว่าทางเลือกที่จวินมั่วหรันให้ล้วนเป็นทางเลือกที่เปล่าประโยชน์กับนาง “ท่านใต้เท้า วิธีตามจับของแคว้นตงหลินดูฟุ่มเฟือยจริงๆ ตามจับโจรทั้งทีจำเป็นต้องเสียเงินให้ แม่ทัพอายุน้อยแห่งแคว้นเป่ยหลีเยอะขนาดนี้เชียวหรือ! แบบนี้ท่านไม่คิดว่าเป็นการใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายเพียงเพื่อเรื่องเล็กน้อยหรือ”
“ภายในสามวันนี้จะมีทหารองครักษ์เงาคอยติดตามรับใช้เจ้า”
ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อไม่อยากให้เฟิงอู๋โยวหนีห่างไปจากเขา
รอไว้เขาเล่นสนุกกับเฟิงอู๋โยวจนหนำใจแล้วค่อยส่งนางไปที่ชอบที่ชอบ
เมื่อจวินมั่วหรันคิดได้เช่นนี้ ก็มองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาดูถูกอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเวทนาขึ้น
เฟิงอู๋โยวรู้สึกหนาววูบวาบขึ้นมาทันที รู้สึกว่าสายตาของจวินมั่วหรันที่มองมาที่นางเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้มองนางเป็นเหยื่อ แต่ตอนนี้มองนางเป็นเหยื่อที่ป่วยใกล้ตาย…
พอคิดไปคิดมา เฟิงอู๋โยวก็ตัดสินใจไม่ต่อกรกับจวินมั่วหรันเป็นการชั่วคราว
เพราะเขาเป็นขุนนางที่มีอำนาจสูงสุดแห่งแคว้นตงหลิน กุมอำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ ซึ่งไม่ใช่อำนาจที่นางจะต่อกรได้วันนี้วันพรุ่ง
นอกเหนือจากนี้ เป้าหมายของนาง ณ ตอนนี้ก็คือการลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง และแก้แค้นให้เจ้าของร่างเดิม ซึ่งเรื่องการแก้แค้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจวินมั่วหรันเลยแม้แต่น้อย
“แม่ทัพเฟิงได้คำตอบว่าอะไร”
“เป็นอันตกลงขอรับ!” เฟิงอู๋โยวกัดฟันยอมรับข้อตกลง
เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจสตรีหัวขโมยที่ลักลอบเข้าเรือนเซ่อเจิ้งหวางไปมากกว่านางอีกแล้ว
ถึงตอนนั้นค่อยหาศพสตรีมอบให้เขาก็ได้ หากตัวต้นเหตุตายก็ยากที่จะหาหลักฐาน
เฟิงอู๋โยวเก็บหอบเงินกระดาษ จากนั้นก็เข้ามาขวางจวินมั่วหรันอย่างไม่กลัวตาย “ต้องขอบอกไว้ก่อนนะขอรับ หากกระหม่อมจับสตรีหัวขโมยได้ ท่านใต้เท้าต้องรับปากว่าจะปล่อยให้กระหม่อมเป็นอิสระ”
“อืม”
จวินมั่วหรันคิดว่าอย่างมากที่สุด ตัวเองคงสนใจเฟิงอู๋โยวได้อีกไม่เกินสามวัน ดังนั้นจึงรับปากอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ท่านใต้เท้า หากท่านกลับคำพูด กระหม่อมขอสาปแช่งให้ท่านสิ้นสุดทายาท” เฟิงอู๋โยว ไม่วางใจ นางทำท่าวางเขื่องชี้ไปที่เป้ากางเกงของจวินมั่วหรัน
“…”
ทำเอาจวินมั่วหรันถึงกับเส้นเลือดปูดขึ้นที่มุมหน้าผาก เขากำลังคิดว่าควรทำป้ายสุสานให้เฟิงอู๋โยวดีหรือไม่
ในฐานะที่นางเป็นคนชอบหาเรื่องเขาแล้วยังมีชีวิตรอดได้นานขนาดนี้