ตอนที่ 67 เซ่อเจิ้งหวางจอมลวนลาม
บนเวทีการแสดงในหอนางโลม
ม่านสีครามปักลายดอกไห่ถังขยับพลิ้วไหวท่ามกลางแสงประกายมุขวาววับที่ล้อไปกับแสงเทียนขยับไหว
พลันม่านขาวบางโบกสะบัด ปรากฏเรือนร่างสูงเพรียวของเฟิงอู๋โยวประจักษ์สู่สายตา ขับให้นางดูเหมือนธิดาเซียนในภาพวาดก็ไม่ปาน
ภายในดวงตาทรงกลีบดอกท้อเล็กเรียวของนางเจือแววยิ้ม
คิ้วคมโดยไม่ต้องวาด ริมฝีปากแดงเรื่อโดยไม่ต้องแต่งเติม
ต่อให้เป็นบรรดาชายเสเพลที่ผ่านสตรีมาแล้วนับไม่ถ้วน เวลานี้ต่างพากันตาลุกวาว จ้องมองไปที่เฟิงอู๋โยวที่ยืนสง่าอย่างโดดเด่นอยู่บนเวที
เฟิงอู๋โยวกวาดมองผู้คนด้านล่างอย่างเรียบนิ่ง กระแอมเสียงในลำคอ น้ำเสียงเล็กบางแต่น่าฟัง “ขึ้นเวทีเป็นครั้งแรก อาจทำเรื่องน่าอายไปบ้าง”
“เครื่องดนตรีทั้งหลายจงเข้าประจำที่!”
“ขอให้ผู้ชมทุกท่านขยับเข้าใกล้ด้านหน้าเวที ขอให้ทุกท่านส่งต่อความเร่าร้อนมาให้ท่วงท่าอันตื่นเต้นตื่นใจของข้า!”
เฟิงอู๋โยวพูดขึ้นพลางร่นแขนเสื้อขึ้นมา จากนั้นก็ตีลังกาล้อเกวียนไปทั่วเวทีอันกว้างขวาง
ด้านล่างเวทีการแสดง เหล่าผู้ชมที่พากันตื่นตาตื่นใจก่อนหน้านี้พากันงุนงงกับ ‘การแสดง’ ของเฟิงอู๋โยวอยู่พักใหญ่
ที่บอกว่าท่วงท่าอันตื่นเต้นตื่นใจก็คือการตีลังกาล้อเกวียนอย่างนั้นหรือ
พรวด!
ณ ห้องสำราญบนชั้นสอง จี้มั่วจื่อเฉินมองเฟิงอู๋โยวที่ตีลังกาไม่หยุดโพล่งหัวเราะขึ้นมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ทำเอาน้ำชาที่อยู่ในปากพุ่งออกมาทันที
ดวงตาดำสนิทของจวินมั่วหรันเป็นประกาย ฉู่อีอี หญิงสาวอันดับหนึ่งแห่งหอนางโลมที่ยืนอยู่ข้างๆ อาศัยจังหวะนี้เอี้ยวตัวไปบังน้ำชาที่พุ่งนี้มาจากปากจี้มั่วจื่อเฉินให้กับจวินมั่วหรัน
“แม่หญิงฉู่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
จี้มั่วจื่อเฉินเห็นเช่นนั้น จึงรีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้นางเช็ดน้ำชาที่พุ่งใส่หน้านาง
“ท่านใต้เท้าอย่าได้ตำหนิตัวเองเลยเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่เป็นอะไร”
ฉู่อีอีคลี่ยิ้มพลางหันกลับมาครึ่งตัว สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อนพลันจ้องมองไปยังจวินมั่วหรันในสีหน้าเรียบนิ่ง
ตอนนี้ มือของจวินมั่วหรันกำลังบีบเอวเล็กคอดของฉู่อีอี
“ท่านใต้เท้าบีบแรงเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่อีอีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยั่วยวน ใบหน้าฉายแววใคร่อยาก
จวินมั่วหรันยังคงเหม่อลอยเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่นางพูด ในเวลาเดียวกันก็เผลอบีบเอวบางๆ ของนางเข้าไปอีกหนึ่งทีอย่างไม่รู้ตัว
ฉู่อีอีตกใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกชอบใจ ครั้นแล้วจึงเข้าไปซบในอ้อมแขนของเขาและลูบไล้มืออันหนาใหญ่ที่โอบอยู่ที่เอวตัวเองเล่น
จี้มั่วจื่อเฉินที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ “อาหรัน วันนี้เจ้ากินยาผิดหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จวินมั่วหรันก็ตั้งสติกลับมาได้ เมื่อเห็นสตรีผู้อ่อนหวานในอ้อมแขนดวงตาก็ฉายแววรังเกียจขึ้นทันที
ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าเรือนร่างของฉู่อีอีนุ่มนวลเหมือนของเฟิงอู๋โยว จึงบีบด้วยความสงสัย
แต่พอจับสัมผัสดูดีๆ ก็พบว่าเรือนร่างของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก
แม้เฟิงอู๋โยวจะไม่เข้าข่ายคำว่า ‘น่าเอ็นดู’ แม้แต่น้อย อีกทั้งยังแยกเขี้ยวกางเล็บใส่เขายามนางไม่สบอารมณ์ แต่กระนั้นเรือนร่างของนางก็ยังนุ่มนวลราวกับแมวน้อยขนปุกปุยชวนลูบไล้
แต่สัมผัสบนเรือนร่างของฉู่อีอีกลับแตกต่างออกไป ต่อให้นางจะมีเรือนร่างโค้งเว้าเย้ายวนน่าหลงใหล แต่ก็ไม่อาจให้สัมผัสอันเร้าอารมณ์แบบเฟิงอู๋โยวได้
“ออกไป”
จวินมั่วหรันสะบัดมือปัดฉู่อีอีล้มลงไปที่พื้น จากนั้นก็เช็ดมือที่แตะต้องตัวฉู่อีอีซ้ำไปซ้ำมาอย่างรังเกียจ
“ท่านใต้เท้า…”
ฉู่อีอีแน่นิ่งไม่ยอมลุกขึ้น หน้านิ่วคิ้วตก ดวงตาผุดแววน่าสงสาร
จวินมั่วหรันสะบัดมืออย่างรังเกียจพร้อมพูดขึ้น “ไสหัวไป”
ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลง รังสีของผู้ทรงอำนาจแผ่ซ่านออกมาในทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขา
“อาหรัน เจ้ากล้าลงมือกับสตรีผู้บอบบางขนาดนี้ด้วยหรือ” จี้มั่วจื่อเฉินอมยิ้มพลางยื่นมือไปให้ฉู่อีอีที่ยังนั่งกองอยู่บนพื้น จากนั้นก็ค่อยๆ ประคองนางขึ้นมา “แม่หญิงฉู่ออกไปก่อนแล้วกัน อาหรันไม่ค่อยรู้วิธีปฏิบัติต่อสตรีผู้บอบบางเท่าไร เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย”
ฉู่อีอีพยักหน้า หางตาพลันมีน้ำตาคลอ จากนั้นก็มีสตรีอีกสองคนเข้ามาประคองพานางออกไป
ในเวลาเดียวกัน บรรดาผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีเริ่มเอือมกับการแสดงตีลังกาล้อเกวียนของเฟิงอู๋โยวเต็มทน จึงพากันโวยวายขึ้นมา “เต้นไม่เป็นก็ไสหัวไปเสีย!”
“ใช่! เปลี่ยนเป็นฉู่อีอีดีกว่า ท่วงท่าเต้นรำของแม่หญิงฉู่งดงามกว่าใคร พวกเราต้องการชมสาวงาม!”
เมื่อถูกสบประมาทในความสามารถ เฟิงอู๋โยวผู้ที่มั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด ผนวกกับฤทธิ์ของสุราที่ยังไม่จางหายก็ยิ่งไม่พอใจ
“ใครบอกว่าข้าเต้นไม่เป็น”
“ข้าร้องเล่นเต้นรำเก่งเกินกว่าใคร!”
“วันนี้ข้าจะเต้นฮิปฮอปให้พวกเจ้าดูเป็นบุญตา!”
เมื่อเฟิงอู๋โยวพูดโอ้อวดจบ ก็ก้มตัวไปบนแท่นหยกขาวเย็นเฉียบ ก่อนใช้ฝ่ามือข้างเดียวยันพื้น
จากนั้นก็ตีขาทั้งสองข้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมที่ขาดวิ่นขึ้นกลางอากาศ ก่อนออกแรงเหวี่ยงขาทั้งสอง สร้างแรงบิดเพื่อหมุนตัว
“…”
ในเสี้ยวพริบตานั้น เหล่าคนดูด้านล่างเวทีรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า พวกเขาอึ้งงันจนอ้าปากค้างและพูดอะไรไม่ออก
เฟิงอู๋โยวหมุนตัวอยู่แบบนั้นอยู่สักพักใหญ่ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องชื่นชม ครั้นแล้วจึงหยุดและทุบพื้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าพวกโง่เง่าโลกแคบอย่างพวกแกจงดูให้ดี! ข้าจะเล่นท่ายากแล้ว!”
“…”
ผู้ชมด้านล่างเวทีรู้สึกจนปัญญายิ่งนัก บางคนถึงขั้นอยากจะปาหินใส่นาง
โดยปกติแล้ว คนที่จะขึ้นไปแสดงบนเวทีแห่งหอนางโลมแห่งนี้ก็มีน้อยเหลือเกิน ตลอดสามปีที่ผ่านมา นอกจากฉู่อีอีแล้ว ก็มีหญิงสาวที่พอจะร้องเป็นรำเป็นแค่ไม่กี่คนที่ได้ขึ้นแสดงบนเวที
ส่วนในกรณีของเฟิงอู๋โยว แม้รูปร่างหน้าตาจะผ่านเกณฑ์ แต่การแสดงย่ำแย่ไม่เข้าตาผู้ชม
หากจะให้พูด เมื่อครู่ ทุกคนในหอนางโลมแห่งนี้ค่อนข้างคาดหวังในการแสดงของนาง ถ้าเฟิงอู๋โยวไม่ได้พาเหล่าทหารองครักษ์จากตำหนักเซ่อเจิ้งหวางมาด้วย ป่านนี้นางถูกไล่ลงเวทีไปตั้งนานแล้ว
“ถือว่าพวกเจ้าโชคดียิ่งนักที่จะได้ฟังข้าร้องเพลง และตอนนี้ก็ถึงเวลาขับขานเสียงร้องใสกังวานสั่นสะเทือนพื้นพิภพของข้าแล้ว!”
ครั้นแล้ว เฟิงอู๋โยวก็ฉีกกางเกงตัวเองตรงที่ขาดลากยาวลงไปที่ชายขากางเกง กลายเป็นเส้นกระโปรงพลิ้วไหว
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็เดินบิดเอวเล็กคอดเดินไปที่หน้าเวทีราวกับปีศาจทรงเสน่ห์
กางเกงที่ถูกฉีกเป็นเส้นผ้าพลิ้วไหวตามท่วงท่าการเดินกึ่งลอยของนาง เรียวขาขาวนวลดุจหยกแหวกออกมาจากช่องเว้าแหว่งของขากางเกง ขับเสน่ห์ให้เรียวขาของนางเย้ายวนชวนมองเป็นที่สุด
ในเวลานั้น นางกวักนิ้วไปหาผู้ชมด้านล่าง ก่อนปริปากเปล่งเสียงร้องใสกังวาน “เขยิบใกล้เข้ามา เข้ามาสิ ด่ำดื่มกับช่วงสุนทรีย์…”
เมื่อจวินมั่วหรันได้ยินเสียงหวานๆ ของเฟิงอู๋โยวก็ถึงกับอึ้งงัน เขามองไปทางนางด้วยสายที่ลุ่มลึกลงเรื่อยๆ
จี้มั่วจื่อเฉินฟังเสียงขับร้องอย่างเคลิบเคลิ้มก่อนตีมือพูดขึ้น “หากตัดบทเพลงที่หยาบลวกนี้ออกไป รูปโฉมและท่วงท่าของเฟิงอู๋โยวช่างงดงามอย่างหาใครเปรียบไม่ได้จริงๆ!”