ตอนที่ 68 เสียภาพลักษณ์ / ตอนที่ 69 กลับมาเคียงข้างราชาปีศาจเสียโดยดี
ตอนที่ 68 เสียภาพลักษณ์
ครั้นบทเพลงขับขาน บรรยากาศพลันเงียบสงัด
ดวงตาเมามายของเฟิงอู๋โยวหรี่ปรือ แววตาไหวกระเพื่อม อารมณ์ที่ฉายออกมาบนใบหน้าอันสวยงามสามารถสยบใจผู้คนได้เลย “เป็นเยี่ยงไร ข้าเก่งหรือไม่!”
หลังจากบรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่ง คนดูด้านล่างเวทีก็ค่อยๆ ได้สติกลับมาจากห้วงภวังค์ของเสียงอันไพเราะน่าหลงไหล
แปะ แปะ แปะ
และแล้วเสียงปรบตบโห่ร้องก็ดังกระหึ่มราวกับคลื่นสมุทร!
“ไม่นึกว่าใต้หล้านี้จะมีลูกคอที่งดงามไพเราะเช่นนี้!”
“ไม่ทราบว่าท่านชายคือใคร สนใจแต่งงานเป็นเขยของกับตระกูลหวงหรือไม่”
“ท่านชายเจ้าคะ ฉันอยากจะให้กำเนิดลูกแก่ท่านจังเลยเจ้าค่ะ!”
…
เฟิงอู๋โยวคลี่ยิ้ม ก่อนค่อยๆ ยกมือขึ้นเพื่อบอกให้บรรดาคนดูที่คึกครื้นอยู่สงบลง “สำหรับสตรีที่ต้องการให้ทายาทแก่ข้า หลังจากนี้ให้ไปรายงานตัวที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง ข้าสัญญาว่าจะไม่ให้ขาดตกเลยแม้แต่คนเดียว!”
ทันทีที่นางพูดจบ บรรยากาศเยือกเย็นก็แผ่ซ่านออกมาจากห้องสำราญบนชั้นสองทันที
“อุบ ไฉนถึงสมองทึ่มแบบนี้ ลืมไปเลยว่าเจ้าราชาปีศาจนั่นก็อยู่ที่นี่ด้วย!” เฟิงอู๋โยวบ่นพึมพำกับตัวเอง มือพลันคว้าไปฉีกผ้าม่านบนเวทีมาใช้คลุมไหล่ จากนั้นก็ใช้ชายผ้าปิดหน้าเพื่อหลบสายตากระหายเลือดของจวินมั่วหรัน
จุยเฟิงที่แกล้งเป็นลมหมดสติอยู่บนพื้นกลัวว่าเฟิงอู๋โยวจะทำเรื่องน่าไม่อายอีก จึงรีบปีนขึ้นมาบนเวทีหยกอีกครั้งและเดินดุ่มๆ เข้าไปหานาง “แม่ทัพเฟิง ในเมื่อทำการแสดงเสน่ห์ของผู้ชายเสร็จแล้วก็กลับตำหนักกับข้าเสียโดยดี”
เมื่อเฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ก็พุ่งพล่านขึ้นมาทันที “สหายพี่จุยเฟิง พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก! ข้าแค่ทำการแสดงเรียกน้ำย่อยไปเท่านั้น เสน่ห์ของข้าไม่ใช่อะไรที่เจ้าสามารถจินตนาการได้”
“แม่ทัพเฟิง ขืนเจ้ายังไม่ลงจากเวทีอีก ข้าคงต้องบังคับเจ้าแล้ว”
จุยเฟิงเห็นว่าเฟิงอู๋โยวทำเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขากังวลว่าจวินมั่วหรันจะโมโหกับเรื่องนี้และยิ่งอยากฆ่าพวกเขา ครั้นแล้วจึงตัดสินใจลงมือกับเฟิงอู๋โยวตอนนางไม่ทันตั้งตัว เพื่อหวังให้นางสลบและหามนางกลับไป
ใครจะไปรู้ว่าเฟิงอู๋โยวประสาทสัมผัสฉับไว นางบิดเอวหลบการเคลื่อนไหวของจุยเฟิง จากนั้นก็หันกลับไปขยิบตาให้คนดูที่กำลังคึกคะนองอยู่ด้านล่าง “ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน จะรีบไปรีบกลับ!”
นางพูดพลางกระโดดลงมาจากเวทีอย่างว่องไว จากนั้นก็รีบถามสาวๆ แถวนั้นเสียงต่ำอย่างใจร้อน “ห้องน้ำอยู่ไหน ทางที่ดีควรมีประตูกั้น”
“บนชั้นสองสุดระเบียงทางเดิน แต่ว่าที่นั่นเป็นห้องน้ำสำหรับขุนนางชั้นสูงส่งเท่านั้น”
“ข้าดูไม่สูงส่งกระนั้นหรือ”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รีบพุ่งตรงขึ้นไปที่ห้องน้ำบนชั้นสองทันที
ยิ่งใกล้ห้องน้ำ หัวใจนางก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้สองสามวัน นางต้องแอบไปเข้าห้องน้ำตอนช่วงที่ไม่มีคน
เมื่อครู่นางดื่มสุราไปเยอะพอสมควร ด้วยความรีบร้อนจึงไม่ทันคิดว่าจะเจอผู้ชายที่กำลังทำธุระอยู่ในห้องน้ำหรือไม่ นางเปิดประตูเข้าไปทันที
ปึ่ง!
นางใช้เท้าถีบประตูเข้าไป ปลดเข็มขัดและเปิดประตูห้องน้ำไปพลาง
ภายในห้องน้ำ ปรากฎจวินมั่วหรันยืนมุมปากเกร็งกระตุก เขาไม่คิดว่าจะเจอเฟิงอู๋โยวที่นี่
เฟิงอู๋โยวจ้องมองแผ่นหลังอันสูงใหญ่ที่ด้านหน้า ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนพูดขึ้น “ท่านใต้เท้า บังเอิญเหลือเกินขอรับ!”
“ออกไป” จวินมั่วหรันโมโหจนเสียงสั่นเครือ
ถ้าเป็นคนอื่น คงเดินหน้าแดงหูแดงออกไปแล้ว
แต่เฟิงอู๋โยวกลับถลาเข้าไปอย่างหน้าตั้งตาตื่นและกอดเอวจวินมั่วหรันอย่างแน่น “ก็ว่าอยู่เสียงอะไร ที่แท้เป็นเจ้าเส้นเลือดน้อยนี่เอง!”
จวินมั่วหรันหน้าบึ้ง เดิมทีเขาอยากจะจับนางโยนออกไป
แต่ว่าพื้นที่ตรงนี้คับแคบเกินไป อีกอย่างกลัวว่าเสื้อผ้าจะเปื้อน จึงทำได้แค่กัดฟันพูดใส่เฟิงอู๋โยว “ปล่อย!”
“กระหม่อมปล่อยก็ได้ แต่ท่านใต้เท้าต้องอยู่รอกระหม่อมที่นี่ก่อน กระหม่อมไม่กลัวความมืด แต่กลัวความอ้างว้างขอรับ”
“เฟิงอู๋โยว เจ้าอยากตายนักหรืออย่างไร”
จวินมั่วหรันไม่เคยเจอคนหน้าด้านเท่าเฟิงอู๋โยวมาก่อน เขากระทุ้งศอกใส่หน้าอกของนางอย่างโมโห
ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ แต่ยังไม่ทันนึกไตร่ตรอง เฟิงอู๋โยวก็เซถอยหลังไปชนกับบานประตูห้องน้ำและล้มลงบนพื้นไปแล้ว
นางยกมือขึ้นมากุมหน้าอกพลางส่งเสียงโอดโอย “ท่านใต้เท้าขอรับ หน้าอกของกระหม่อมกำยำแข็งแกร่ง มันเป็นส่วนที่สำคัญมาก ท่านเบามือหน่อยไม่ได้หรือขอรับ”
นางมือทั้งสองข้างกุมหน้าอกพร้อมกับส่งเสียงร้องขึ้นมาเสียงดัง “ท่านใต้เท้า
“ไม่ได้สิ เบามือลงกว่านี้ก็เท่ากับนวดแล้ว แบบนั้นค่อนข้างเสียภาพลักษณ์!” เฟิงอู๋โยวบ่นพึมพำเสียงต่ำพลางขยับตัวไปที่มุมประตู จากนั้นก็ทุบประตูเพื่อระบายอารมณ์
ตอนที่ 69 กลับมาเคียงข้างราชาปีศาจเสียโดยดี
ไม่นานหลังจากนั้น เฟิงอู๋โยวเดินกุมเป้ากางเกงออกมาจากห้องน้ำอย่างขึงขัง ปากพลางบ่นขมุบขมิบไม่หยุด
“เจอราชาปีศาจในห้องน้ำโดยบังเอิญแบบนี้ น่ากลัวยิ่งกว่าเจอผีอีก”
“ชาตินี้ขอให้เห็นเจ้าราชาปีศาจนี่ตกถังของเสียเป็นบุญตาสักทีเถิด”
โชคดีที่จวินมั่วหรันออกไปตั้งนานแล้ว ถ้าได้ยินคำพูดพวกนี้ของนาง เขาจะต้องเลือดขึ้นหน้าแน่นอน
ในเวลาเดียว มีดวงตากร้านโลกคู่หนึ่งกำลังจองมองอยู่ สายตาอันเฉียบคมกำลังจับจ้องเฟิงอู๋โยวที่กำลังเดินซวนเซ จากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจดังแผ่ว “แม่ทัพเฟิง ไฉนถึงตกอับเช่นนี้”
ดวงตาทรงกลีบดอกท้อของเฟิงอู๋โยวหรี่ลง ดวงตาพร่ามัวของนางพยายามจดจ่ออยู่ที่ชายคนนั้น
“อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายอ๋าวเช่อ?”
“แม่ทัพเฟิง คนที่ลุ่มหลงในกามราคะ ย่อมนำพาชีวิตสู่หายนะได้โดยง่าย ก่อนหน้านี้เจ้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไป ไฉนยังโง่เง่าเที่ยวเล่นในสถานเริงรมย์เสพตัณหาเช่นนี้อีก” อ๋าวเช่อในชุดไปรเวท ยืนเอามือไพล่หลังและจ้องมองด้วยสายตาเจือแววผิดหวัง
เฟิงอู๋โยวเริ่มสร่างเมาขึ้นมาเล็กน้อย นางแสยะยิ้มเอ่ย “เพื่อสตรี แม้ตายก็ยินดี กระทั่งจอมยุทธ์ผู้กล้าต่างก็ไม่อาจรอดพ้นเสน่หาของสตรี”
“มนุษย์ย่อมตายจาก บ้างหนักอึ้งดั่งขุนเขา บ้างบางเบาดั่งขนห่าน เพราะมนุษย์ใช้ชีวิตแตกต่างกัน”
อ๋าวเช่อยื่นมือออกมาหาเฟิงอู๋โยวพลางเอ่ยเสียงเงียบต่ำ “ลูกผู้ชายผู้ยิ่งใหญ่ ล้มที่ใด ลุกที่นั่น กลับไปกับข้าและเริ่มใหม่จากแม่ทัพเล็ก เป็นเยี่ยงไร”
“กลับไป? โทษสามร้อยหวาย เจ้าจะรับแทนข้าอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของเฟิงอู๋โยวสั่นคลอน นางไม่เคยคิดจะกลับไป
เป่ยถางหลีอินโง่เง่าและร้ายกาจ เป่ยถางหลงถิงหัวเบาเขลาปัญญา ส่วนพ่อที่ไม่เอาไหนของนางอย่างเฟิ่งจือหลิน ก็ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับนางไปแล้ว
หากกลับไปรับโทษตอนนี้ มีแต่ทำให้คนสนิททุกข์ระทม แต่คู่อริเป็นสุข
แต่จะว่าไป ในแคว้นเป่ยหลีที่ยิ่งใหญ่ก็ยังเหลือคนอยู่สองคนที่นางเป็นห่วง
หนึ่งคนคือลูกชายคนแรกของตระกูลอย่างเฟิงอี้
ส่วนอีกคน ไม่ใช่แม่ผู้ไร้ความปราณีของนาง แต่เป็นสาวใช้เพียงคนเดียวที่รู้ว่านางเป็นสตรีอย่างชิงหลวน
อ๋าวเช่อส่ายหน้า “แค่โทษสามร้อยหวาย เจ้าทนรับไม่ได้หรือ”
เฟิงอู๋โยวคิดว่าอ๋าวเช่อยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1]
พูดได้เยี่ยงไรว่า ‘แค่’ สามร้อยหวาย
ร่างกายของนางยังเติบโตไม่เต็มที่เลย คิดๆ ดูแล้วก็เพิ่งจะสิบเจ็ดปี
อย่าว่าแต่โทษสามร้อยหวายเลย ลำพังแค่สามสิบหวายก็ทำเอานางปางตายแล้ว
“ข้าบอบบางไม่เหมือนกับเจ้า”
เฟิงอู๋โยวไม่อยากมาต่อล้อต่อเถียงกับอ๋าวเช่อ ครั้นแล้วจึงปั้นสีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็งและเดินผ่านเขาไปโดยไม่ชายตามองแม้แต่น้อย
“รู้ว่าเดินทางผิด ไฉนยังเดินต่อ สถานเริงรมย์มอมเมานี้สามารถชดเชยโทษที่เจ้าก่อได้หรือ” อ๋าวเช่อมือเร็วคว้าข้อมือของเฟิงอู๋โยวเอาไว้พลางตำหนิด้วยเสียงแข็งกร้าว
“ถึงข้าตัวเล็กบอบบาง แต่หัวใจอันเคียดแค้นยิ่งใหญ่ หากผู้ใดล่วงเกินข้า ข้าย่อมล่วงเกินกลับ” เฟิงอู๋โยวดีดเข็มเงินใต้แขนเสื้อสวนกลับเพื่อให้อ๋าวเช่อปล่อยแขนออก “เป่ยถางหลีอินไม่มีทางหนีพ้น หากเจ้าคิดจะช่วยนาง เจ้าก็หนีไม่พ้นเช่นกัน!”
อ๋าวเช่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มตกเป็นรอง
เขาช่ำชองอ่านใจคน ทว่ากลับอ่านความคิดของเฟิงอู๋โยวไม่ออก
หากเป็นคนอื่นที่ต้องประสบโชคชะตกที่ผกผันกลั่นแกล้งเช่นนี้ คงไม่มีหน้าอยู่บนโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว
แต่นางไม่เพียงแต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก นิสัยใจคอยังดื้อรั้นต่อต้านกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว
“เฟิงอู๋โยว เจ้าจงคิดให้ดี หากไม่กลับไปกับข้าก็เท่ากับเจ้าทรยศ” อ๋าวเช่อกัดฟันเน้นพูดทีละคำ
“ในวันที่ข้ากลับไป จะเป็นวันที่เลือดอาบทั่ววังหลวง”
จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาทั่วทั้งตัวเฟิงอู๋โยว สีหน้าของนางเคร่งเครียด คำพูดหนักแน่นเด็ดเดี่ยวไร้แววล้อเล่น
“เป่ยถางหลีอินมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเป่ยหลี เจ้ามีสิทธิ์แตะต้องอย่างนั้นหรือ ถ้าคิดจะทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ หยุดความคิดนั้นเสียตอนนี้ดีกว่า เป็นเพียงมดแดงอย่าคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่[2]”
อ๋าวเช่อพูดจบ แต่สีหน้าท่าทางของเฟิงอู๋โยวยังไม่แปรเปลี่ยน ครั้นแล้วเขาจึงสะบัดแขนเสื้อจากไป
เป็นมดแดง แล้วคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ไม่ได้หรือ
เฟิงอู๋โยวรู้ดีว่าสภาพของตัวเองตอนนี้ก็เหมือนกับหมาจรจัดไร้บ้านที่ได้แต่ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม
ดูจากสภาพการณ์ตอนนี้แล้ว นางทำได้เพียงอาศัยอยู่ภายใต้ร่มบารมีของจวินมั่วหรัน
แม้ว่าอารมณ์ของจวินมั่วหรันจะไม่ปกติจนถึงขั้นน่ากลัว
แต่หากถูกทหารของเฟิ่งจือหลินจับตัวได้ นางจะไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น
ครั้นไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน นางจึงตัดสินใจกลับไปอยู่เคียงข้างจวินมั่วหรัน
สำหรับนางแล้ว ต่อให้จวินมั่วหรันจะทรมานจนตัวตาย แต่ก็ดีกว่ากลับไปแคว้นเป่ยหลีเพื่อถูกคนนับหมื่นย่ำยีศักดิ์ศรี
“เฮ้อ เกิดเป็นข้านี่ลำบากจริงๆ”
เฟิงอู๋โยวกอดหน้าอกตัวเอง พลางถอนหายใจอย่างอนาถ
แต่เมื่อนางเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำก็ถูกจุยเฟิงกับซือมิ่งเข้ามาจับหิ้วแขนทั้งสองข้างและพาตัวมาด้านหน้าจวินมั่วหรัน
“สหายพี่จุยเฟิง ไฉนถึงสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้” เฟิงอู๋โยวหันหน้าไปมองอย่างไม่สบายใจ พลางถามจุยเฟิงเสียงต่ำ
“แม่ทัพเฟิง อีกประเดี๋ยวเจอท่านใต้เท้า ได้โปรดระวังคำพูดหน่อย ห้ามต่อปากต่อคำ” จุยเฟิงกำชับเฟิงอู๋โยวที่กำลังทำหน้างุนงง
“หรือว่าข้าทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีก” เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้ว ในใจพลันบ่นอุบ ไฉนจวินมั่วหรันเป็นคนเอาแต่ใจเช่นนี้ ได้ยินอะไรไม่เข้าหูหน่อยก็ไม่พอใจไปหมด
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรให้ท่านใต้เท้าไม่พอใจเลย ซ้ำยังชื่นชมท่วงท่าการยืนทำธุระของท่านใต้เท้าว่าสง่างามเกินกว่าใคร” นางบ่นพึมพำ แต่กระนั้นก็พยายมเรียกสติตัวเองกลับคืนมาเพื่อเตรียมตัวต้อนรับกับพายุคลั่งฉับพลันที่กำลังใกล้เข้ามา
[1] ยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว เปรียบเปรยได้ว่า หากไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ย่อมไม่เข้าใจกัน
[2] มดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ หมายถึงคนไม่เจียมตัว คนประเมินตนเองสูงเกินไป