ตอนที่ 72 ท่านราชครูยื่นมือช่วย / ตอนที่ 73 แย่งคนไปต่อหน้าต่อตา
ตอนที่ 72 ท่านราชครูยื่นมือช่วย
จวินมั่วหรันค่อยๆ คลายมือออก สายตาอันเฉียบคมบังเอิญเหลือบไปเห็นน่องขาเล็กๆ ที่ขาวสะอาดราวกับรากบัวสดของนาง
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อยู่ๆ เขาก็นึกอยากถกชุดของนาง เดิมทีแค่อยากจะหยั่งเชิงดูเท่านั้น แต่เมื่อเห็นภาพเช่นนั้นก็ทำเอาสายตาเยือกเย็นของเขามีเปลวไฟปะทุขึ้นมาทันที
เฟิงอู๋โยวกลืนน้ำลายอึกเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอันเร้าร้อนของจวินมั่วหรัน เพราะกลัวว่าเขาจะกลั่นแกล้งนางอีก
“ท่านใต้เท้าขอรับ เสี้ยวโมงยามแห่งคืนวสันต์มีค่าล้ำเท่าพันตำลึงทอง[1] ในหอนางโลมแห่งนี้เพียบพร้อมไปด้วยเหล่าสาวงาม ท่านใต้เท้าจงอย่าเสียเวลากับกระหม่อมมากเกินไปจนพลาดโมงยามแห่งความสุขเลยขอรับ”
แต่จวินมั่วหรันกลับรู้สึกอยากกลั่นแกล้งเฟิงอู๋โยวมากกว่าไปเสียเวลากับเหล่าหญิงสาว
นอกเหนือจากนั้น บรรดาสตรีในหอนางโลมแห่งนี้ไม่สามารถทำให้เขาสนใจได้แม้แต่คนเดียว
แม้แต่ฉู่อีอีที่ได้รับสมญานามว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นตงหลิน ก็ไม่อาจทำให้เขาชายตามองได้
“ข้าสั่งให้เจ้าไปตามจับสตรีหัวขโมย แต่ไฉนถึงพาเหล่าทหารองครักษ์เงาของข้ามาเสพสำราญที่หอนางโลม หากสร่างเมาแล้วก็จงสำนึกผิดด้วยตัวเอง หรือต้องให้ข้าลงมือจับเจ้าตอนด้วยตัวเอง” น้ำเสียงชั่วร้ายของจวินมั่วหรันผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขานั่งกางแขนข้างหนึ่งลงบนขอบเก้าอี้ยาว ส่วนมืออีกข้างก็เคาะโต๊ะเบาๆ
ในช่วงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เฟิงอู๋โยวทำได้แค่ลองเสี่ยงวัดดวง นางพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานามาเพื่อหาทางรอดให้กับ ‘เครื่องหมายความเป็นชาย’ ที่ตัวเองไม่มี
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาและแสร้งทำเหมือนกาน้ำชาเป็นโหลสุรา กระดกใส่ปากจนหมด
“อึก อึก อึก”
หลังจากท้องของนางเต็มไปด้วยน้ำชา ก็แสร้งทำเป็นหมอบอยู่แทบเท้าของจวินมั่วหรันอย่างเชื่อฟัง แต่ปากกลับพูดขึ้นอีกอย่าง “ยังไม่สร่างเมาเลยขอรับ! ตอนนี้ไม่สามารถจับของตัวเองตอนทิ้งเพื่อสำนึกผิดได้ เพราะมือสั่นไปหมดแล้วขอรับ”
“ที่เจ้าดื่มเข้าไปเป็นน้ำชา” จวินมั่วหรันมองนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“น้ำชาไม่อาจมอมเมาผู้คน แต่ทว่าผู้คนมอมเมาตัวเองได้”
“ต้องให้ข้าลงมือด้วยตัวเองจริงๆ ใช่หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวปากไวพูดขึ้นต่อ “ท่านใต้เท้าขอรับ ท่านอาจจะไม่รู้ ตระกูลของกระหม่อมสืบทอดทายาทกันมาสามรุ่นแล้ว พ่อของกระหม่อมวันๆ เอาแต่คาดหวังให้กระหม่อมเป็นผู้เป็นคนและมีลูกตัวน้อยสมบูรณ์สักสองสามคน ดังนั้นเอาไว้ให้กระหม่อมแต่งงานมีทายาทก่อนแล้วค่อยตอนทิ้งได้หรือไม่ขอรับ”
ซือมิ่งรู้สึกละอายใจแทนเฟิงอู๋โยว เขาแทบทนฟังนางแถต่อไปไม่ไหว นางคงไม่รู้ว่าจวินมั่วหรันสืบเรื่องภูมิหลังของนางมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
“เจ้าลืมเรื่องที่เฟิ่งจือหลินตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเจ้าไปแล้วหรือ” จวินมั่วหรันโน้มตัวมาข้างหน้าและบีบเข้าไปที่คอเรียวยาวของนางอีกครั้ง “กล้าใช้ลูกไม้ตื้นๆ ต่อหน้าข้า ระวังจบไม่สวย”
“เฟิ่งจือหลิน เจ้าพ่อไม่เอาไหนตัดความสัมพันธ์กับกระหม่อมไปแล้ว ดูสิ กระหม่อมดื่มสุราเมาจนลืมเรื่องนี้ไปสนิท!”
เฟิงอู๋โยวยกมือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาทำเป็นสะลึมสะลือและแสร้งยิ้มประจบ
ในเสี้ยวพริบตานั้น จวินมั่วหรันกลับยิ่งหงุดหงิดกับรอยยิ้มกวนประสาทของนาง
เขาไม่ชอบความรู้สึกตอนสูญเสียการควบคุมเป็นยิ่งนัก แรงบีบที่มือแน่นขึ้น ตามอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ทำเอาคอเฟิงอู๋โยวเป็นรอยแดง
“ขอท่านใต้เท้าโปรดกรุณา”
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน น้ำเสียงสุขุมเยือกเย็นของไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ดังขึ้น เขาเดินเข้ามาในสภาพปล่อยผมสยายไปด้านหลัง ช่างดูสง่าเป็นยิ่งนัก
จวินมั่วหรันที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบคลายมือออกจากเฟิงอู๋โยวที่หายใจไม่ออกจนหน้าแดงก่ำ
จากนั้นสายตาเย็นเฉียบดุจคมมีดของเขาก็หันไปมองไป๋หลี่เหอเจ๋อพลางปริปากพูดขึ้น “ราชครูไม่ควรสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ความปราณี”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อคลี่ยิ้มมุมปาก ก่อนค่อยๆ นั่งลงด้านหน้าจวินมั่วหรัน
เขาสวมใส่ชุดสีขาวทั่วทั้งตัว โดยมีผ้าคลุมสีพื้นบางๆ วางทับ มันพลิ้วไหวตามท่วงท่าการเคลื่อนไหวดุจดั่งเซียน รังสีที่แผ่ซ่านออกมาเป็นคนละขั้วกับรังสีชั่วร้ายของจวินมั่วหรันอย่างสิ้นเชิง
ตอนที่ 73 แย่งคนไปต่อหน้าต่อตา
เฟิงอู๋โยวยกมือทั้งสองข้างกุมรอยบีบที่คอตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับมองไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างซาบซึ้งใจ
นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง บางทีสัมผัสที่หกก็เชื่อไม่ได้
แรกเริ่มเดิมที นางคิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นคนความคิดลุ่มลึก หน้ายิ้มใจดำ มองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนดี
แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นคนที่วาจาเปี่ยมล้ำ
และเมื่อเทียบกับจวินมั่วหรันจอมคลุ้มคลั่งแล้ว ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ดูอ่อนโยนกว่ามาก อย่างน้อยเขาก็ไม่คิดจะกลั่นแกล้งตัวนางอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเทียบเปรียบดูแล้ว เฟิงอู๋โยวก็เริ่มรู้สึกว่าหน้าตาของไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ดูดีไม่เบา ดวงตาคมคายโดดเด่น ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนคนจิตใจดี ที่มักมีเรื่องแต่เรื่องดีๆ
เมื่อไป๋หลี่เหอเจ๋อสัมผัสได้ถึงสายตาของเฟิงอู๋โยว ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง
เขายกกาน้ำชารินใส่ถ้วยและจิบดื่มอย่างละเมียด
จวินมั่วหรันสังเกตเห็นสายตาของพวกเขาทั้งสองคน เปลวไฟก็พลันโหมขึ้นใจในอย่างแปลกประหลาด
จุยเฟิงที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินไปข้างไป๋หลี่เหอเจ๋อ ก่อนพูดเตือน “ท่านราชครูขอรับ ที่ตรงนี้เป็นที่นั่งขององค์ชายเฉินขอรับ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน เขาเม้มปากเรียวบางลงเล็กน้อย ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “รีบร้อนมาที่นี่ ทำให้กระหายน้ำ จึงขอจิบชาของท่านใต้เท้าดับกระหายสักหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง”
“มาแค่จิบชาจริงๆ หรือ”
จวินมั่วหรันร่นชายแขนเสื้อลายน้ำหมึกขึ้นมา มือเรียวยาวพลางหมุนควงแก้วชาเบาๆ
“นอกจากจิบชา ยังมีเรื่องอยากพูดคุย เป็นเรื่องที่กระหม่อมปล่อยผ่านไม่ได้” ไป๋หลี่เหอเจ๋อวางถ้วยชาในมือลง ก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปทางเฟิงอู๋โยว
จวินมั่วหรันเห็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นพรวดและเข้าไปขวางทางไป๋หลี่เหอเจ๋อทันที “เขาเป็นคนของข้า”
คิ้วของไป๋หลี่เหอเจ๋อเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนปริปากเอ่ย “เขาเป็นคนของผู้ใดกระหม่อมหาสนใจไม่ กระหม่อมรู้เพียงแค่ว่ากระหม่อมเป็นคนของเขา”
ทันทีที่น้ำเสียงของเขาสิ้นสุดลง บรรดาหญิงสาวภายในหอนางโลมก็ต่างพากันหัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นตงหลินต่างสนใจผู้ชายเพียงคนเดียวขึ้นมาพร้อมกัน
สำหรับพวกนางแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากฟ้าผ่ายามกลางวันแสกๆ
เฟิงอู๋โยวที่นั่งแน่นิ่งอยู่บนพื้นก็พลอยตกตะลึงไปด้วย นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความฝัน
นางไม่คิดไม่ฝันว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อจะยอมเสียสละชื่อเสียงและหน้าตาของตัวเองเพื่อช่วยนาง ซ้ำยังพูดจาถึงความสัมพันธ์อันกำกวมต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
“ท่านราชครูคิดจะแย่งคนไปจากข้าอย่างนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันคลี่ยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววดูถูกอย่างไม่อาจปิดบัง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ซ้ำยังพูดเหน็บสวนกลับ “คนที่แย่งหาใช่กระหม่อมไม่ หากว่าด้วยผู้ใดก่อนหลัง ท่านใต้เท้าน่าจะเป็นฝ่ายที่ช้าไปหนึ่งก้าว”
“หื้ม? ไหนลองว่ามา” จวินมั่วหรันปริปากเอ่ย สายตาอันเฉียบคมดุจเหยี่ยวจ้องมองไปยังใบหน้าเยือกเย็นของไป๋หลี่เหอเจ๋อ
เขาสนใจ ‘อดีต’ ของไป๋หลี่เหอเจ๋อกับเฟิงอู๋โยวเป็นยิ่งนัก
“ก่อนหน้านี้ เฟิงอู๋โยวบุกเข้าเรือนของกระหม่อมด้วยเจตนามิดีมิร้าย เขาไม่เกรงกลัวกระหม่อม การกระทำบัดสีและช่วงชิงครั้งแรกของกระหม่อมไป” ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดจากเรียบนิ่งพลางพูดเรื่องช่วงชิงความบริสุทธิ์พรรค์นั้นขึ้นมาหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ
จุยเฟิงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบขยับเข้าไปยืนข้างๆจวินมั่วหรันพลางพูดเสียงต่ำ “ท่านใต้เท้าขอรับ เรื่องที่ท่านราชครูพูดไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะวันที่กระหม่อมตามหาแม่ทัพเฟิงวันนั้น กระหม่อมเห็นท่านราชครูถูกชายผู้หนึ่งกดอยู่บนเตียง เพียงแต่กระหม่อมไม่เห็นหน้าชายผู้นั้น”
จวินมั่วหรันที่ได้ยินเช่นนั้นจึงมองเหยียดเฟิงอู๋โยว “เจ้าทำเช่นนั้นจริงหรือ”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าระรัว “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ”
“ท่านใต้เท้า เฟิงอู๋โยวยอมรับกับปากตัวเองแล้วว่ากระทำมิดีมิร้ายกับกระหม่อม เช่นนั้นขอความกรุณามอบเขาให้กระหม่อมด้วยเถิด” ไป๋หลี่เหอเจ๋อยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เดินอ้อมจวินมั่วหรันมาโอบกอดเฟิงอู๋โยวเข้าไปในอ้อมอก
[1] เสี้ยวโมงยามแห่งคืนวสันต์มีค่าล้ำเท่าพันตำลึงทอง หมายถึงโมงยามแห่งความสุขมีค่ายิ่ง อย่าปล่อยให้สูญเปล่า