ตอนที่ 105 เสียงพร่ำถามจากจิตวิญญาณของจวินมั่วหรัน / ตอนที่ 106 จับสาวใช้เป็นตัวประกันไว้ข่มขู่นาง
ตอนที่ 105 เสียงพร่ำถามจากจิตวิญญาณของจวินมั่วหรัน
คู่สามีภรรยาผู้น่าสงสารที่อยู่ภายในเรือน หันกลับมามองจวินมั่วหรันผู้หล่อเหลาราวกับเทพบุตรท่ามกลางกองซากปรักหักพัง
“ตายแล้ว! อย่าบอกนะว่าเทพบุตรเหงาเปล่าเปลี่ยวถึงต้องลงมาบนโลกมนุษย์เพื่อเสพสุข”
สตรียื่นมือข้างหนึ่งออกไปปัดเศษฝุ่นที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาในอากาศ นางพูดพลางน้ำลายสอไปพลาง
“น่าไม่อาย ยังไม่หาอะไรมาปิดอีก!”
ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำ สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก
ดวงตาของจวินมั่วหรันแลดูงุนงง เขามองสตรีที่ทำท่าเย้ายวนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังอย่างนิ่งงัน
ดูเหมือนว่านางจะไม่เหมือนกับบรรดาสตรีที่เขาเคยพบเจอมาก่อน
ที่แท้หน้าอกของสตรีไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าหัวเด็กเหมือนกันทุกคน
“นี่! เจ้านั่นแหละ ขืนยังมองภรรยาของข้าอยู่อีก ข้าจะควักลูกนัยน์ตาเจ้าทิ้งเสีย” ชายหนุ่มตวาดสาดอารมณ์ใส่จวินมั่วหรันที่ยืนอึ้งงันอยู่
คิ้วทรงกระบี่ของจวินมั่วหรันย่นเข้าหากันเล็กน้อย เขาไม่เพียงผละสายตาออก แต่ยังยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในเรือน
สตรีภายในเรือนทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ นางค่อยๆ ปลดมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาปิดหน้าอกออก ถ้าผู้ชายของนางไม่จับแขนนางเอาไว้ ปานนี้นางคงพุ่งเข้าหาจวินมั่วหรันพร้อมกับอารมณ์อันพลุ่งพล่านเร่าร้อนไปแล้ว
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่” เสียงทุ้มต่ำของจวินมั่วหรันฟังรื่นหู คล้ายเสียงดนตรีที่ลอยมาจากสมัยโบราณ
เพียงแต่คำพูดเช่นนี้ของเขาไม่ถูกกาลเทศะ
หากเป็นคนทั่วไปที่พบเจอหนุ่มสาวกำลังพลอดรักกันอย่างดื่มด่ำ พวกเขาคงรีบหนีห่างและไม่กล้ามอง
แต่จวินมั่วหรันกลับต่างออกไป เขาจ้องมองว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง
ชายหนุ่มโกรธจัด ถลึงตาพลางตวาดใส่เขา “ไอ้หื่นกามนี่มาจากไหนกันวะ รีบๆ ไสหัวไปจากเรือนของข้าเดี๋ยวนี้”
“ไฉนเจ้าจะต้องใจดำโหดร้ายกับเขาแบบนี้ด้วย เขาแค่อาจหลงทาง” สตรีกระทุ้งศอกใส่ชายหนุ่ม จากนั้นก็หันมาส่งสายตาพราวเสน่ห์ให้จวินมั่วหรัน
แน่นอนว่าจวินมั่วหรันรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่เขาแค่อยากถามสามีภรรยาคู่นี้ว่าตอนนี้พวกเขารู้สึกอย่างไร
เพราะเขาไม่ค่อยแน่ใจความคิดของตัวเองที่มีต่อเฟิงอู๋โยว ดังนั้นถึงอยากถามคู่สามีภรรยาที่ดูเหมือนจะรักใคร่กันยิ่งนัก
พอคิดไปคิดมา ริมฝีปากเรียวบางของจวินมั่วหรันก็เผยอเอ่ยคำพูด “พวกเจ้ามีความสุขหรือไม่”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเปล่งออกไป สตรีก็มีท่าทีเขินอาย
สติของนางค่อยๆ กลับคืนมา นางพลางขยับไปพิงชายหนุ่มข้างๆ สายตาที่มองจวินมั่วหรันค่อยแปรเปลี่ยน จากชื่นชมเป็นเวทนา
ชายหนุ่มจนปัญญา ภายในใจคิดว่าสวรรค์ช่างอยุติธรรมเหลือเกินที่มอบใบหน้าอันหล่อเหลาและรูปร่างอันสวยงามให้กับผู้ชายด้านหน้า แต่กลับลดทอนคุณสมบัติด้านอื่นๆ ของเขาไป
อย่างเช่น…สติปัญญาไม่สมประกอบ!
ดวงตาของจวินมั่วหรันลุ่มลึกลงเรื่อยๆ ในหัวของเขาย้อนนึกถึงเมื่อหลายชั่วยามก่อนหน้านี้ นึกถึงเฟิงอู๋โยวในชุดกระโปรงสะสวยคนนั้น
ในเสี้ยวขณะ ณ ตอนนี้ ความใคร่อยากที่หลับใหลอยู่ใต้ก้นบึ้งของจิตใจเขาได้ฟุ้งตื่นขึ้นมา จนอยากบังคับฝืนใจนางให้รู้แล้วรู้รอด
ดังนั้น เขาคิดว่าสัมผัสอันชิดใกล้แบบเนื้อแนบเนื้อของคู่สามีภรรยาด้านหน้าคู่นี้ จึงมีความหมายต่อเขามาก เป็นความหมายที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน
ตึ่ง!
เขายกเท้าข้างหนึ่งขึ้นไปวางบนเตียง มือข้างหนึ่งบีบคางชายหนุ่มพลางพูดด้วยน้ำเสียงบีบเค้น “จะพูดหรือไม่พูด”
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงบีบเค้นอันน่าเกรงขามของจวินมั่วหรัน สีหน้าโมโหค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว “มี มีความสุขมาก”
เมื่อได้ยินคำตอบที่พอใจ จวินมั่วหรันก็หันไปมองตาของสตรี แววตามีความสุขค่อยๆ ผุดขึ้นมาท่ามกลางดวงตาที่ย้อมไปด้วยความกลัวและความตกใจ “แล้วเจ้าล่ะ”
“มีความสุขเจ้าค่ะ”
“ไม่รู้สึกฝืนใจอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ” สตรีพูดจบ ใบใหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมาจนไม่กล้าสบตาจวินมั่วหรันตรงๆ
เมื่อจวินมั่วหรันได้ยินเช่นนี้ มุมปากก็รั้งขึ้นมาเป็นมุมโค้ง
ในเมื่อไม่รู้สึกฝืนใจ หลังจากนี้ต่อไป หากมีโอกาสอีกครั้ง เขาจะต้องไม่ทำตัวโหดร้ายกับเฟิงอู๋โยวอีก
คู่สามีภรรยาคู่นี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่า “มีความสุขด้วยกันทั้งคู่” ต่อให้วิธีที่เขาใช้เค้นถามจะระห่ำไปหน่อยก็เถอะ
ตอนที่ 106 จับสาวใช้เป็นตัวประกันไว้ข่มขู่นาง
“ดีมาก”
สายตาเฉียบคมดุจเหยี่ยวของจวินมั่วหรันผุดแววชื่นชม
เขายกเท้าข้างหนึ่งลงจากเตียงเพื่อปล่อยชายหนุ่มที่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อจากไป
สตรีที่อยู่ข้างๆ กระซิบด้วยเสียงสั่นเครือ “หน้าตาชายคนนี้ดูเหมือนเซ่อเจิ้งหวางยิ่งนัก”
“งี่เง่า เซ่อเจิ้งหวางจะมาสนใจคนอย่างเจ้าได้อย่างไร” ชายหนุ่มหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นก็เปลี่ยนมากลุ้มใจเรื่องผนังดินของเรือนตัวเองแทน
ด้านนอกเรือน เฟิงอู๋โยวกับชิงหลวนช่วยกันลากศพของสตรีชุดดำอยู่บนถนนแห่งหนึ่ง
ชิงหลวนเหลือบมองภาพในเรือนดินไกลๆ พลางอุทานเสียงแผ่ว “ผู้คนที่แคว้นตงหลินใจกว้างกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
เฟิงอู๋โยวผินหน้ากลับไปมอง แต่ก็ต้องสบตาเข้ากับจวินมั่วหรันอย่างประจวบเหมาะ
นางกะพริบตาปริบๆ สายตาจ้องมองจวินมั่วหรันที่เพิ่งจะถอนสายตาออกจากคู่สามีภรรยาท่ามกลางซากปรักหักพัง
ตอนนี้จวินมั่วหรันถึงกับทำหน้าไม่ถูก ปากอยากพูดอธิบายแต่ก็ไม่อยากลดฐานะอันสูงส่งของตัวเองมาพูดคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกับคนป่าเถื่อนอย่างเฟิงอู๋โยว
นอกเหนือจากนี้ ชิงหลวนเด็กตาน่ารักที่อยู่ข้างๆ นาง กลับทำให้จิตใจเขาอยู่ไม่สุขเป็นยิ่งนัก
“เหอะๆ โรคจิต!”
เฟิงอู๋โยวแค่นเสียงอย่างดูถูก จากนั้นก็หันไปพูดกับชิงหลวน “ไปกันเถอะ ไปที่ศาลาว่าการกัน!”
ก่อนหน้านี้นางต้องการส่งศพสตรีชุดดำร่างนี้ให้จวินมั่วหรัน แต่เมื่อเห็นเขาใช้อำนาจกดขี่สามัญชน อยู่ๆ ก็นึกรังเกียจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และการไม่มีเรื่องกับเขาในช่วงเวลานี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ตอนนี้ วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือส่งศพสตรีร่างนี้ให้ศาลาว่าการ จากนั้นก็ให้ศาลาว่าการส่งคนไปแจ้งจวินมั่วหรันว่าจับสตรีหัวขโมยได้แล้ว
จวินมั่วหรันเม้มปากแน่น สายตาจ้องมองเฟิงอู๋โยวที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างเยือกเย็น กำลังภายในถูกรีดเร้นมารวมอยู่ที่ฝ่ามือ จากนั้นก็ตั้งท่าเตรียมโจมตีใส่เฟิงอู๋โยว
แต่ทันใดนั้น ทหารลาดตระเวนยามดึกก็พากันกรูเข้ามาหาเขา
พวกเขาขยี้ตาพลางยื่นตะเกียงไฟในมือออกไป และพบว่าเรือนดินหลังหนึ่งที่อยู่ในตรอกพังทลายลงไปเกินครึ่ง
แกรก!
ทหารลาดตระเวนวูบชาไปทั้งตัว ตะเกียงไปในมือร่วงหล่นพื้น
“หัวขโมยสารเลว ช่างกล้าบุกรุกบ้านเรือนยามวิกาล!” ทหารลาดตระเวนถกแขนเสื้อขึ้น เค้นพลังไปที่เท้าและกระโดดมาด้านหน้าจวินมั่วหรัน
เมื่อเฟิงอู๋โยวเห็นเช่นนั้นจึงรีบหามศพขึ้นบ่าและหลบหนีไปในเงามืดทันที
ชิงหลวนวิ่งตามหลังเฟิงอู๋โยวพลางเอ่ยถาม “นายหญิงเจ้าคะ ไหนบอกว่าจะนำศพไปส่งที่ศาลว่าการ พวกเราส่งศพไปให้ทหารพวกนี้ไม่หรือเจ้าคะ”
เฟิงอู๋โยวตอบกลับทันที “อยู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมใช้ผ้ารัดหน้าอกเอาไว้”
เดิมทีเฟิงอู๋โยวอยากเห็นจวินมั่วหรันในสภาพถูกบีบล้อม แต่สถานการณ์ของนางก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก อีกทั้งจวินมั่วหรันก็เป็นพวกมือเร็วและคาดเดาอารมณ์ไม่ค่อยได้ ดังนั้นนางไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแบบนี้แน่นอน ดีไม่ดีมีหวังความแตกอีกต่างหาก
จวินมั่วหรันมองเงาร่างของเฟิงอู๋โยวที่วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว กำลังภายในที่ฝ่ามือพลันสลายหายไปทันที
จากนั้นก็หันกลับไปมองทหารลาดตระเวนด้วยสายตาดุดัน ดวงตาผุดแววหยิ่งทระนงในแบบผู้มีอำนาจ เพียงแค่แววตาก็ทำเอาเหล่าทหารลาดตระเวนปลดอาวุธ ลดเกราะและเผ่นหนีได้เลย
หัวหน้าทหารลาดตระเวนที่ตกอยู่ใต้บรรยากาศอันบีบเค้นของจวินมั่วหรัน แม้จะรู้สึกหวั่นเกรง แต่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “บังอาจ ในที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ยังกล้าบุกเรือนฝืนใจสตรีที่มีคู่ครองแล้ว!”
“ไสหัวไป”
เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาที่ขมับทันที จวินมั่วหรันยิ่งโมโหขึ้นหนักกว่าเดิม
ฟิ้ว!
เหล่าทหารลาดตระเวนที่ทำตัวอวดเบ่งตามท้องถนนจนเคยชินเป็นนิสัย ไม่ค่อยได้พบเจอขุนนางชั้นสูงอย่างจวินมั่วหรันเท่าไหร่ เมื่อถูกพูดใส่เช่นนี้ก็รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทันที ครั้นแล้วจึงควักโซ่ออกมาจากที่เอวแล้วเหวี่ยงใส่ใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ที่ติของจวินมั่วหรันทันที
จวินมั่วหรันคว้าจับโซ่ที่ถูกเขวี้ยงเข้ามาได้อย่างสบายๆ
และแล้วทหารลาดตระเวนก็จำหน้าจวินมั่วหรันได้ เขาตกใจจนนั่งคุกเข่าลงไปที่พื้นและลนลานอย่างเสียอาการ
“ท่าน ท่านใต้เท้า?”
“เรื่องคืนนี้ ห้ามผู้ใดแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้นจะโดนฆ่าทิ้งสถานเดียว”
จวินมั่วหรันกวาดมองเหล่าทหารลาดตระเวนที่นั่งคุกเข่าก้มหน้ากันเป็นแถบหนึ่งรอบ ก่อนรีบกลับตำหนักไปด้วยสีหน้าอึมครึม
เขาในตอนนี้ ไม่ได้คิดถึงปัญหาที่จะกู้หน้าตาของตัวเองกลับคืนมาอย่างไร
เพราะปัญหานี้จัดว่าเป็นปัญหาไร้สาระสำหรับเขา
เขาคิดเพียงแค่ควรทำให้อารมณ์ดีขึ้นอย่างไร
จับเฟิงอู๋โยวมาขังไว้ที่เรือนด้านหลังเพื่อให้นางเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเขา
หรือว่าจับสาวรับใช้น่าตาจิ้มลิ้มข้างกายนางมาเป็นตัวประกันให้นางยอมจำนน
หรือว่าควรลดความเย่อหยิ่งของตัวเองเพื่อไปขอคืนดีกับนาง
แต่ว่าตัวเขาเป็นถึงเซ่อเจิ้งหวาง อยู่สูงส่งเหนือปวงประชา แล้วทำไมต้องมามัวคิดว่าจะขอคืนดีกับพลทหารผู้ตกอับแค่คนเดียวอย่างไรดี
ตั้งแต่เฟิงอู๋โยวโผล่มา นับวันอารมณ์ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งหวั่นไหวไม่มั่นคง
หรือว่าอาการเจ็บป่วยด้านจิตใจของเขาจะรุนแรงขึ้น?