ตอนที่ 160 ทรมานเพื่อเค้นคำสารภาพ
“ท่านราชครูกำลังเล่นงานข้า แล้วจะให้ข้าให้ความร่วมมือใส่ร้ายเซ่อเจิ้งหวาง?”
แม้ว่าเสียงของเฟิงอู๋โย่วจะแผ่วเบา แต่กลับแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด “แม้แต่หัวขโมยก็ยังมีจรรยาบรรณของตัวเอง ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ท่านหาคนผิดแล้ว”
ใบหน้าที่อ่อนโยนและงดงามของไป๋หลี่เหอเจ๋อบึ้งบูดด้วยความโกรธ
“จวินมั่วหรันมีดีอะไรนักหนา มันคุ้มที่จะปกป้องเขานักหรือ!” น้ำเสียงของเขาเย็นชา อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากจะบีบคอคนในอ้อมแขนให้ตายทันที
“ข้าบอกไม่ได้ว่าเขาดีตรงไหน แต่เขาดีกว่าเจ้าแน่นอน”
“ดี สักวันเจ้าจะเสียใจกับสิ่งที่พูดมาวันนี้”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อปล่อยมือออกและผลักเฟิงอู๋โย่วไปที่ฟู่เย่เฉิน “นำตัวไปเค้นความจริงอย่างไม่ต้องเกรงใจ”
ดวงตาฟู่เย่เฉินแวววาวเป็นประกาย ก่อนพูดติดตลก “ทนได้หรือ”
“…”
ทันทีที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดคำนั้นออก ภายในใจก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเวลาเดียวกัน
เขาแค่ทนเห็นท่าทางปกป้องจวินมั่วหรันของเฟิงอู๋โย่วไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากทำร้ายนาง
ทันใดนั้น มือของเฟิงอู๋โย่วก็ถูกมัดไพล่หลัง ฟู่เย่เฉินมองใบหน้าอันเคร่งขรึมของนางพลางอมยิ้ม “ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้ากลัวว่าจะเผลอทำลายใบหน้าเล็กๆ ที่น่ารักของเจ้าจริงๆ”
เฟิงอู๋โย่วเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เกรงกลัว
อสรพิษรูปงามที่แท้จริง คงมีหน้าตาเหมือนฟู่เย่เฉินผู้นี้สินะ
ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมอย่างไร้มนุษยธรรม
ครึ่งชั่วยามต่อมา ฟู่เย่เฉินใส่กุญแจมือไพล่หลังให้เฟิงอู๋โย่ว ก่อนถีบเข้าไปด้านในประตูศาลาว่าการ
เขาหันไปกระซิบกับไป๋หลี่เหอเจ๋อ “ถ้าทนเห็นไม่ได้ก็อย่ามอง”
ลำคอของไป๋หลี่เหอเจ๋อคล้ายมีก้อนหนาทึบจุกขึ้นมา เดิมทีเขาตั้งใจจะขอให้ฟู่เย่เฉินปล่อยนางไป แต่เมื่อเขาเห็นความโกรธในดวงตาของนาง จึงตัดใจเดินสะบัดแขนเสื้อจากไป
“เพี้ยะ!”
ทันทีที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อจากไป ฟู่เย่เฉินก็ตบหน้าเฟิงอู๋โย่ว อย่างแรง
คราบเลือดซึมออกมาเป็นรอยนิ้วทั้งห้าบนแก้มของนาง ดวงตาเกรี้ยวกราดของนางจ้องมองฟู่เย่เฉินปานจะกลืนกิน
“ช่างเป็นใบหน้าที่งดงามจริงๆ ข้ารู้สึกเสียดายมันเหลือเกิน” ฟู่เย่เฉินก้าวเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งจับคางของเฟิงอู๋โย่วแน่น ดวงตาเจ้าเล่ห์จ้องมองใบหน้าที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธของเฟิงอู๋โย่วอย่างชื่นชม
“ฟู่เย่เฉิน ตบของเจ้าในวันนี้ สักวันข้าจะเอาคืนเป็นสิบเท่า”
เฟิงอู๋โย่วกำหมัดแน่น ดวงตาคมของนางฉายแววกระหายเลือด
“จะเอาคืนแบบไหนกระนั้นหรือ จะร้องไห้วิ่งไปหาจวินมั่วหรันให้ล้างแค้นแทนเจ้าไหมนะ”
ฟู่เย่เฉินข่มนางด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่ง ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชั่วช้ามืดมน “ตบในวันนี้เป็นเพียงการสอนบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าเท่านั้น จำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ จงอยู่ห่างๆ อาเจ๋อ”
“หึ เห็นๆ อยู่ว่าเขาจงใจเข้าหาข้าเอง ตัวเองรั้งผู้ชายของตัวเองไว้ไม่อยู่ก็เที่ยวหาโทษคนอื่น ฟู่เย่เฉิน เจ้าไม่คิดว่าการกระทำของเจ้ามันดูน่าขำไปหน่อยหรือ”
เฟิงอู๋โย่วถอยหลังหนึ่งก้าว จากนั้นอาศัยช่วงที่อีกฝ่ายถูกด่าจนหน้าชาโปรยยาสลบที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อลงบนหน้าของฟู่เย่เฉิน
“แค่กๆ เฟิงอู๋โย่ว แกช่างบังอาจ!”
ฟู่เย่เฉินตวาดเสียงลั่น เขายกมือปิดปากและถอยหลังไปหลายก้าว
“สาม”
“สอง”
“หนึ่ง”
เฟิงอู๋โย่วนับเลขอย่างใจเย็น สายตาจ้องมองฟู่เย่เฉินในสภาพสายตาพร่ามัวอย่างเย็นชา จากนั้นก็ปริปากพูดเสียงแผ่ว “จงสลบ”
ตึ้ง!
ทันทีที่นางพูดจบ ฟู่เย่เฉินก็หลับตาลงและทรุดตัวนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“รู้อย่างนี้ ข้าควรเพิ่มส่วนผสมให้แรงกว่านี้ ไอ้สวะ!” เฟิงอู๋โย่วเตะเฟิงอู๋โย่วที่หมดสติอยู่อย่างแรง
เดิมทีผงยาสลบใต้แขนเสื้อนางมีไว้เพื่อป้องกันมือปลาไหลของจวินมั่วหรัน
ดังนั้น นอกจากส่วนผสมที่ทำให้สงบแล้ว นางไม่ได้ใส่ส่วนผสมที่เป็นพิษอื่นใดลงไป
โชคดีที่ปริมาณยาเพียงพอที่จะทำให้ฟู่เย่เฉินสลบไปสามถึงห้าชั่วยามอย่างไม่มีสติรู้ตัว
เฟิงอู๋โย่วแตะแก้มที่ร้อนผ่าวของนางเบาๆ ก่อนเตะไปที่ใบหน้าของฟู่เย่เฉินหลายครั้งอย่างโมโห “บังอาจตบหน้าข้า วันนี้ข้าจะทุบหน้าแกให้เละ”
ด้านนอกประตูศาลาว่าการ สุนัขล่าเนื้อพากันเห่าไม่หยุด เหล่าทหารเฝ้ายามมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
“เสียงอะไร”
“คงเป็นเสียงขุนนางฟู่สอบปากคำนักโทษอยู่”
“ขุนนางฟู่ไม่ค่อยใช้วิธีนี้เท่าไหร่!”
“ลองไปดูกันเถิด”
…
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอู๋โย่วก็กระแอมเลียนแบบเสียงของฟู่เย่เฉิน นางตะโกนพูดขึ้นกับทหารเฝ้ายามอย่างเย็นชา “ตรงนี้ปล่อยให้ข้าจัดการก็พอ จงปล่อยสุนัขล่าเนื้อไว้ที่นี่ แล้วพวกเจ้าไปพักผ่อนได้”
“ขอรับ”
ทหารเฝ้ายามด้านนอกประตูตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ
หลังจากทหารเฝ้ายามแยกย้ายกันไป เฟิงอู๋โย่วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
หากฟู่เย่เฉินเป็นแค่ขุนนางธรรมดา นางคงฆ่าเขาทันที แต่สถานะอีกตำแหน่งหนึ่งของเขาคือขุนนางชันสูตรศพมือหนึ่งแห่งแคว้นตงหลิน
การฆ่าขุนนางชั้นสูงของราชสำนักถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้มีจวินมั่วหรันออกโรงปกป้อง นางก็ไม่อาจรอดพ้นจากโทษสถานนี้ได้อยู่ดี
แต่ว่า ถ้าฆ่าเองไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยืมมือคนอื่นฆ่าไม่ได้
ดวงตาของเฟิงอู๋โย่วผุดแววอำมหิตเล็กน้อย ครั้นแล้วนางจึงเอนตัวไปข้างหน้า จากนั้นใช้เข็มเงินยาวหนึ่งนิ้วแทงไปที่แขนของฟู่เย่เฉินนับครั้งไม่ถ้วน
จนกระทั่งกลิ่นคาวเลือดจางๆ แผ่ซ่านออกมาจากแขนของฟู่เย่เฉิน ต่อมานางค่อยๆ เปิดประตูออกและปาเข็มตัดเชือกที่ล่ามสุนัขล่าเนื้อไว้กับโขดหินออก
เหล่าสุนัขล่าเนื้อพากันวิ่งกรูเข้ามาเห่าใส่นางไม่หยุด
เฟิงอู๋โย่วยิ้มมุมปากก่อนกระโดดขึ้นเกาะบนกำแพง นางผิวปากเสียงใสและซ่อนตัวไปในคืนหมอกหนา
สุนัขล่าเนื้อเดินวนอยู่ตามมุมห้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนเป้าหมาย พวกมันวิ่งไปที่ห้องโถงศาลาว่าการและรุมกัดฟู่เย่เฉินที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอย่างเมามัน
ค่ำคืนที่มืดมิด แสงไฟจากโคมลอยอันสว่างไสวเมื่อหลายชั่วยามก่อนดับมอดเหลือเพียงไอควันจางๆ
ภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง เฟิงอู๋โย่วยืนเอามีไพล่หลังครุ่นคิดอย่างลังเล
นางควรกลับไปนอนพักผ่อนที่เรือนแพทย์หรือควรรีบไปที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวางเพื่อรอจวินมั่วหรันกลับมาอย่างปลอดภัย
ไป?
ไม่ไป?
“เห้อ น่าหงุดหงิดชะมัด” เฟิงอู๋โย่วบ่นเสียงเบา
“นายหญิงไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ ชิงหลวนเป็นห่วงนายหญิงมากๆ เจ้าค่ะ”
ชิงหลวนร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดและกำลังเดินไปตามถนนอันว่างเปล่า เมื่อเห็นเฟิงอู๋โย่วปรากฏตัวต่อหน้าอย่างปลอดภัย นางก็พุ่งเข้ากอดเฟิงอู๋โย่วอย่างดีใจทันที
เฟิงอู๋โย่วค่อยๆ เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนางออก “เจ้าเด็กขี้แย ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น”
“ฮือๆ นายหญิงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟิงอู๋โย่วก็เลิกกังวลเรื่องจวินมั่วหรันไม่ได้ จึงถามชิงหลวนเสียงทุ้ม “ท่านใต้เท้ากลับตำหนักหรือยัง”
ชิงหลวนส่ายหน้า “เมื่อเห็นว่านายหญิงถูกพาตัวไป ชิงหลวนก็รีบไปที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวางเพื่อขอกำลังเสริม แต่เหล่าทหารที่ตำหนักบอกว่าเซ่อเจิ้งหวางยังไม่กลับมาตลอดทั้งคืน เหล่าทหารองครักษ์ในตำหนักจึงออกตามหาทั่วเขตชานเมืองของแคว้นตงหลิน”
“ไม่กลับมาตลอดทั้งคืน?”
เฟิงอู๋โย่วตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป ก่อนรีบหันหลังกลับและรีบตามไปที่ชานเมือง
บนถนนที่หนาวเย็น ดวงตาเป็นประกายของเฟิงอู๋โย่วเหลือบเห็นชายคนหนึ่งบนหลังม้าพอดี ครั้นแล้วจึงพุ่งเข้าไปปล้นม้าของเขามาทันที
“พี่ชาย ข้าขอยืมม้าใช้หน่อย! พรุ่งนี้ค่อยไปเอาคืนที่เรือนแพทย์พยากรณ์”
“เรือนแพทย์พยากรณ์?”
กู่หนานเฟิงมุมปากเกร็งกระตุก เขารับรู้ได้ทันทีว่าการที่จวินมั่วหรันขอให้เขาไปช่วยเหลือที่เรือนแพทย์พยากรณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
นี่ขนาดยังไปไม่ถึงเรือนแพทย์พยากรณ์ อาชาชั้นเลิศที่เขาขี่มาหลายปียังถูก ‘หัวขโมย’ จากเรือนแพทย์เอาไปเลย
“แบบนี้ยังจะเป็นเรือนแพทย์ได้เยี่ยงไร นี่มันแหล่งโจรชัดๆ”
กู่หนานเฟิงถอนหายใจกับตัวเอง “รู้แบบนี้ ข้าจัดการเจ้าเด็กที่ชื่อเถี่ยโส่วนั่นไปตั้งนานแล้ว ดูสิ ตอนนี้เขาหลับสบายอยู่ที่หมู่บ้านหนานเฟิงของข้า ส่วนข้าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ที่นี่”