ตอนที่ 168 เจ้ากินทู่ทู่ได้เยี่ยงไร
แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องเล็ดรอดตามใบไม้ ขับให้เรือนมั่วหรันดูแลสวยงามเงียบสงบ
จวินมั่วหรันนั่งอยู่ในราชรถหยก ดวงตาปิดลงเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหน่อย อาทิตย์อ่อนจางส่องทาบลงบนแก้มสีซีดของเขา
เวลานี้เขาแลดูเหมือนภาพวาดวิจิตรด้วยหมึกสีฟ้าอ่อนและสีเหลืองอ่อน
“เจ้าหมอนี่น่าสนใจจริงๆ” เขาพูดพึมพำพลางอมยิ้ม
“ฮัดชิ้ว!”
เฟิงอู๋โยวจามหลายครั้งติดต่อกันก่อนบ่นอุบ “ไอ้สารเลวจวินมั่วหรันกำลังนินทาข้าอยู่แหงๆ”
นางยกมือขึ้นสั่งน้ำมูก แล้วนวดแขนที่เจ็บตึงๆ พลางเดินกลับไปที่เรือนแพทย์พยากรณ์อย่างเร่งรีบ
ในเวลานั้น กู่หนานเฟิงกำลังนอนเอาเท้าไขว้ ยกมือช้อนศีรษะ เขาฮัมเพลงเบาๆ เป็นจังหวะและนอนนิ่งๆ อยู่หน้าเรือนแพทย์พยากรณ์
เมื่อเห็นเขา เฟิงอู๋โยวก็หยุดชะงัก
นางจ้องมองเสื้อผ้า หน้าผมและท่าทางที่ดูมีการศึกษาของกู่หนานเฟิงที่นอนอยู่หน้าประตูเรือนแพทย์พยากรณ์อย่างตื่นตะลึง ครั้นแล้วดวงตาก็เป็นประกายและสีหน้าก็ร่าเริงขึ้นทันที “พ่อหนุ่มรูปงาม เจ้าต้องการอะไรที่นี่”
เมื่อกู่หนานเฟิงได้ยินเสียงเช่นนั้นก็สะดุ้งโหยงขึ้นทันที
เขาชักมีดพร้าออกมาและฟันแฉลบใบหน้าเฟิงอู๋โยวไป “ม้าของข้าอยู่ที่ไหน”
เฟิงอู๋โยวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จากนั้นนางก็นึกออกว่ากู่หนานเฟิงเป็นผู้ให้ยืมม้าเมื่อคืนนี้เอง
เมื่อกู่หนานเฟิงเห็น เฟิงอู๋โยวอยู่คนเดียวโดยไม่มีอะไรอยู่ข้างหลัง เขาก็กัดฟัน “ม้าแสนรักของข้าอยู่ที่ไหน”
เฟิงอู๋โยวผายมือออกและพูดอย่างเคร่งขรึม “ฆ่าทิ้ง แล้วจับกินมันกินไปแล้ว”
เคล้ง!
มีดพร้าในมือของกู่หนานเฟิงร่วงลงพื้นทันที ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอ จ้องมองที่เฟิงอู๋โยวอย่างขุ่นเคือง “ยังเหลือบางส่วนให้ข้าบ้างหรือไม่”
“มีอยู่ ข้ากินเนื้อม้าส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว เหลือแต่ตูดม้า”
เมื่อพูดจบ เฟิงอู๋โยวก็สะบัดแขนเสื้อและถามเขา “เจ้าได้กลิ่นหรือไม่”
“ฮือๆๆ”
กู่หนานเฟิงน้ำตาไหลพราก
เขาทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องลั่น “ข้าไปสร้างเวรสร้างกรรมกับใครมา ทู่ทู่น่ารักขนาดนั้น เจ้ากินมันได้ลงคอได้เยี่ยงไร”
ชิงหลวนที่ได้ยินเสียงร้องไห้รีบวิ่งออกมาดู เมื่อเห็นว่ากู่หนานเฟิงกำลังร้องไห้อย่างเศร้าใจ น้ำตาของนางก็ไหลตาม “ทู่ทู่ของใครตายเจ้าคะ ฮือๆๆ”
เฟิงอู๋โยวมุมปากเกร็งกระตุก นางไม่ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้ ดังนั้นจึงเข้าไปปลอบ ชิงหลวนและกู่หนานเฟิงที่ไร้แววลูกผู้ชายด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “ทู่ทู่ยังไม่ตาย ข้าแค่ทำมันหายไปก็เท่านั้น”
“เฟิงอู๋โยวเจ้ากล้าโกหกข้าได้เยี่ยงไร!” กู่หนานเฟิงโกรธจัด เขาหยิบมีดพร้าขึ้นมาจากพื้นอีกครั้งและทำท่าตวัดใส่เฟิงอู๋โยว
แต่เฟิงอู๋โยวก็พูดขึ้นอย่างมีเหตุผล “ข้าโกหกก็เพื่อเจ้า ลองคิดดู หากบอกเจ้าว่าทู่ทู่ถูกข้ากินแล้วค่อยบอกมันยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าแค่ทำมันหาย เจ้าก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่หรือไม่”
“ใช่บ้านแม่แกสิ!”
กู่หนานเฟิงสบถด่าออกมา พลางเดินเข้าไปในเรือนแพทย์พยากรณ์
อันที่จริง ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นและถึงแม้เฟิงอู๋โยวจะทำทู่ทู่ของเขาหายไป แต่เขาก็ไม่ได้มีอารมณ์ขนาดนั้น ตรงกันข้ามกลับรู้สึกดีใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ตราบใดที่มันยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีโอกาสหาเจอ บางทีเขาอาจจะได้ทู่ทู่ของกลับมาเหมือนเดิมก็ได้
ทันใดนั้น เฟิงอู๋โยวก็กระชากคอเสื้อของเขาด้วยมือข้างหนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “นี่คือถิ่นของข้า ออกไปเสีย”
“เจ้าทำทู่ทู่ของข้าหาย ข้าจึงตั้งใจจะอยู่ก่อกวนที่เรือนแพทย์พยากรณ์ของเจ้าและจะทำให้กิจการของเจ้ายุ่งเหยิง คอยดู” กู่หนานเฟิงพูดอย่างมั่นใจ
“ทำตัวอวดดีจริงๆ!”
เฟิงอู๋โยวถลกแขนเสื้อขึ้นและกำลังจะต่อยออกไป เถี่ยโส่ววิ่งเข้ามาขว้าง
“แม่ทัพเฟิง โปรดเมตตาด้วย!” เถี่ยโส่วลูบแก้มของเขาที่บวมเหมือนถูกแตนต่อยของตัวเองพลางพูดขึ้นอย่างร้อนรนใจ
“เถี่ยโส่ว? นี่เจ้าไปแหย่รังแตนมาหรือ” เฟิงอู๋โยวมองเถี่ยโส่วที่มีริมฝีปากเหมือนไส้กรอกและแก้มที่บวมฉึ่งเหมือนซาลาเปาจนหลุดขำออกมา
เถี่ยโส่วเม้มริมฝีปากของเขาแล้วชี้ไปที่กู่หนานเฟิง “ไม่ใช่ นี่เป็นฝีมือของกู่หนานเฟิง! ท่านใต้เท้า สั่งให้ข้าไปที่หมู่บ้านหนานเฟิงเพื่อเชิญหมอวิเศษกู่ผู้นี้มาที่นี่ แต่หมอวิเศษกู่ต่อต้านโดยการสาดผงพิษใส่หน้าข้า”
“หมายความว่าท่านใต้เท้าเป็นคนออกสั่งให้เจ้าไปที่หมู่บ้านหนานเฟิงเพื่อเชิญหมออัจฉริยะที่เข้าใจยากคนนี้มาช่วยงานที่เรือนแพทย์พยากรณ์ของข้าใช่หรือไม่” เฟิงอู๋โยวรู้สึกท่วมท้น หลังจากถามเสร็จก็ยืนนิ่งอยู่นาน
นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจวินมั่วหรันที่ดูเหมือนจะนิสัยเสีย ก็เป็นคนมีน้ำใจและละเอียดอ่อนเหมือนกัน! อย่างแรก เขาสกัดลูกธนูหลายดอกเพื่อปกป้องนางในยามสิ้นหวัง และตอนนี้ก็เชิญหมออัจฉริยะผู้ลึกลับมาช่วยงานนางอีก
หรือว่าจวินมั่วหรันจะตกหลุมรักข้าจริงๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฟิงอู๋โยวก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
เวลานี้กู่หนานเฟิงได้เดินเข้าไปในห้องโถงเรือนแพทย์ แล้วหยิบรากแห้งหวงฉี[1]ใส่ปากและเคี้ยวเล่น “เฟิงอู๋โยวฟังให้ดี! หลังจากนี้ ข้าเป็นใหญ่ในเรือนแพทย์พยากรณ์แห่งนี้”
เฟิงอู๋โยวตั้งสติกลับมา แต่นางกลับไม่ต่อต้านเขาในทันที
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางจึงพูดขึ้นช้าๆ “กู่หนานเฟิงใช่หรือไม่ ชื่อนี้ฟังดูอ่อนแอปวกเปียกเกินไป จากนี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่ากู่เวยเหมิ่งแล้วกัน”
“ฮ่าๆๆ”
กู่หนานเฟิงหัวเราะเสียงดังพลางส่ายหน้าเอ่ย “เฟิงอู๋โยว จวินมั่วหรันรู้ว่าเจ้าทะเล้นกวนประสาทขนาดนี้หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวไม่ได้ยินน้ำเสียงของกู่หนานเฟิงที่ฟังดูไม่ชอบจวินมั่วหรัน “เจ้าหัวเราะอะไร ดูสภาพเจ้าสิ ดูปวกเปียกอ่อนต่อโลกยิ่งนัก!”
“เฟิงอู๋โยว หากเจ้ากล้าดีดูถูกข้าอีก ข้าจะวางยาเจ้า!”
“ข้ายิ่งใหญ่แข็งแกร่งขนาดนี้ กู่เวยเหมิ่งอย่างเจ้ายังไม่รู้จักเจียมตัวเองอีก!” เฟิงอู๋โยวใช้วิชาก้าวไร้เงาเคลื่อนตัวไปด้านหลังกู่หนานเฟิงอย่างเงียบๆ และรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้เข็มเงินในแขนเสื้อของนางเจาะเข้าไปที่ต่อมขำของกู่เวยเหมิ่ง
“ฮ่าๆๆ”
กู่หนานเฟิงไม่คิดว่า เฟิงอู๋โยวจะรวดเร็วขนาดนี้ ยังไม่ทันใช้ผงยาใต้แขนเสื้อก็ถูกนางเล่นงานแล้ว และตอนนี้ต่อมคุมควบการหัวเราะของเขาก็ควบคุมไม่ได้แล้ว
เฟิงอู๋โยวยิ้มอย่างชั่วช้า “เจ้ายังจะต่อต้านข้าอีกหรือไม่”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่แล้ว!” กู่หนานเฟิงหัวเราะอย่างหนักจนน้ำตาไหล เขาหยุดไม่ได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เถี่ยโส่วก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
เขามองเฟิงอู๋โยวด้วยความชื่นชม “แม่ทัพเฟิง ทำไมเจ้าถึงแข็งแกร่งนัก”
เฟิงอู๋โยวเลิกคิ้วอย่างมีชัย ขณะกำลังจะบอกเถี่ยโส่วเกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของนาง ทันใดนั้น ทหารหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนก็ไม่รู้และบุกเข้าไปในห้องโถงเรือนแพทย์ทันที
“คนไหนคือเฟิงอู๋โยว”
หัวหน้าทหารมองไปรอบๆ
เมื่อเห็นเหล่าทหารกลุ่มนี้บุกเข้ามาอย่างโฉ่งฉ่าง เฟิงอู๋โยวจึงชี้ไปที่กู่หนานเฟิงที่หยุดหัวเราะไม่ได้ “หมอวิเศษเฟิงของข้าป่วยเป็นโรคหัวเราะอยู่”
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่าทหารก็พยักหน้าให้กันแล้วรีบเข้าไปลากแขนของกู่หนานเฟิงออกไป
“ขอถามได้หรือไม่ หมอวิเศษของข้าทำอะไรผิด” เฟิงอู๋โยวเดินตามหลังทหารพลางถามด้วยรอยยิ้ม
“เฟิงอู๋โยวเป็นฆาตกรในคดีฆาตรกรรมหมู่ที่ศาลเจ้าหงเย่ และเมื่อคืนเขาปล่อยให้สุนัขกัดขุนนางชั้นสูงที่ศาลาว่าการ ตอนนี้ข้าได้รับหมายนำจับมาจากกรมราชทัณฑ์ให้นำตัวเขาไปรับโทษ” หัวหน้าทหารพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็นึกในใจ…การที่เหล่าทหารบุกเข้ามาพร้อมกองกำลังครบครันแบบนี้ โทษที่ตัวเองจะได้รับต้องไม่เบาแน่นอน คงถูกทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่
เมื่อนึกได้เช่นนี้นี้ นางจึงไม่มีทางเลือกอื่น นางโบกมือให้เหล่าทหาร “กลับดีๆ”
เมื่อเหล่าทหารจับกู่หนานเฟิงที่หัวเราะไม่หยุดมัดและพาจากไป เฟิงอู๋โยวก็รีบสั่งเถี่ยโส่ว “รีบไปบอกท่านใต้เท้าว่ากู่หนานเฟิงถูกจับไป ให้เขารีบไปช่วย”
เถี่ยโส่วเกาหน้าผากของเขาอย่างงุนงง “แม่ทัพเฟิง ทำไมเจ้าไม่อธิบายให้เหล่าทหารฟังอย่างชัดเจน”
“ข้าต้องพยายามเลี่ยง”
พูดจบนางก็หันหลังกลับเข้าไปในเรือนแพทย์และรีบเก็บสัมภาระ
เมื่อคืนที่ผ่านมา นางเป็นคนปล่อยสุนัขล่าเนื้อให้กัดฟู่เย่เฉินอย่างบ้าคลั่ง หากศาลาว่าการสืบเรื่องนี้ได้แล้ว จุดจบของนางไม่สวยแน่
เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว วิธีที่ดีที่สุดคือการหลีกหนี
แต่ก่อนที่นางจะออกจากเรือนแพทย์พยากรณ์ นางถูกขวางโดยทหารที่ถูกศาลต้าหลี่[2]ส่งมา
“เฟิงอู๋โยว เจ้าถูกสงสัยว่าเป็นผู้ลงมือทำร้ายฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ข้ามาจับเจ้าตามหมายจับของศาลต้าหลี่ โปรดมากับเราด้วย” หัวหน้าทหารพูดอย่างเคร่งขรึม
“…”
เฟิงอู๋โยวนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนยื่นถุงที่เต็มไปด้วยเงินให้ชิงหลวน “อย่ากลัวเลย เอาไว้ข้าจะกลับมากินข้าวเที่ยง”
ชิงหลวนปากสั่นเล็กน้อย นางอยากจะร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องออกมา
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เฟิงอู๋โยวก็ถูกนำตัวไปที่ห้องโถงว่าการของศาลต้าหลี่
“เข้าไป!” เจ้าหน้าที่ตะโกนสั่ง
เฟิงอู๋โยวเม้มปากพลางก้าวเข้าไปในห้องโถงว่าการอย่างช้าๆ สายตาพลางกวาดมองบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่ทั้งสองด้านในห้องโถงว่าการอย่างอยากรู้อยากเห็น
นางอุทานขึ้นมาในใจ ว่ากันว่าแคล้วคงหลินเป็นแหล่งรวมของอสรพิษรูปงาม ดูเหมือนว่าที่เขาลือกันจะเป็นเรื่องจริง!
นอกจากจี้มั่วอิ้นเหรินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว ก็ยังมีไป๋หลี่เหอเจ๋อที่นั่งถัดลงมาจากบัลลังก์ ถัดไปก็คือจี้มั่วจื่อเฉินที่กำลังมองนางอย่างงุนงง สองข้างเต็มไปด้วยชายรูปงามคนอื่นๆ
เพียงแต่ แค่มองพวกเขาแค่แวบเดียวก็รู้สึกรังเกียจแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
ในห้องโถงว่าการตอนนี้มีขุนนางยู่ชิน ขุนนางหรงชิน ขุนนางเต๋อชิน ขุนนางหยง และขุนนางจิ้นที่กำลังมองดูเฟิงอู๋โยวอยู่อย่างสงบ
เนื่องจากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นกับจี้มั่วอิ้นเหริน เหล่าขุนนางระดับสูงทั้งหกแห่งแคว้นตงหลินจึงอยู่รอ เฟิงอู๋โยวอยู่ในท้องพระโรงแห่งแคว้นตงหลิน
พวกเขาต่างได้ยินมาว่าจวินมั่วหรันหลงใหลนางมาก แค่ไม่รู้ว่าจวินมั่วหรันจะกล้าเผชิญหน้ากับไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างซึ่งๆ หน้าเพื่อช่วยเหลือนางหรือไม่
เฟิงอู๋โยวชำเลืองมองเหล่าชายแปลกหน้าจนสายตาไปหยุดอยู่ที่ฟู่เย่เฉินที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลทั่วร่างกาย
“ขุนนางฟู่ ท่านรอดมาได้ถือเป็นเรื่องดี”
ทันใดนั้น ดวงตาลึกล้ำของฟู่เย่เฉินก็ผุดแววอาฆาตแค้นขึ้นมาทันที เขามองเฟิงอู๋โยวที่กำลังยิ้มอ่อนๆ ด้วยสายตาเคียดแค้น
เมื่อจี้มั่วจื่อเฉินสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของเฟิงอู๋โยวก็รีบลุกพูดอย่างไม่พอใจ “ใครบังอาจทุบตีผู้มีพระคุณของข้า”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเงยหน้าขึ้นมามองที่รอยแดงบนใบหน้าของ เฟิงอู๋โยวที่ยังไม่จางหายไป ภายในใจรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที
แต่เขาไม่อาจล้มเลิกแผนการเพียงเพราะเฟิงอู๋โยวได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็วางถ้วยชาในมือลงเบาๆ และเบนหน้าไปกระซิบจี้มั่วอิ้นเหริน “ฝ่าบาท มาเริ่มกันเถิด”
สีหน้าของจี้มั่วอิ้นเหรินดูเซื่องซึม ดวงตาหมองคล้ำ เขาเหม่อลอยอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะตอบสนอง
เขาถือค้อนไว้ในมือและทุบมันลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฟิงอู๋โยว จงบอกข้ามาว่าเจ้าคือไส้ศึกที่แคว้นเป่ยหลีส่งมาใช่หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วแน่น นางไม่นึกว่าจี้มั่วอิ้นเหรินจะทำตัวเหินห่างแบบนี้
อันที่จริง เขาไม่ใช่คนแบบนี้
หรือว่า…ตัวอ่อนหนอนพิษในร่างกายของเขาเข้าควบคุมจิตใจของเขาแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้เฟิงอู๋โยวก็ตอบอย่างหนักแน่น “ไม่ใช่”
[1] หวงฉี คือสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ใช้ยาบำรุงร่างกายและยาบรรเทาโรคเบาหวาน รากของมันใช้ทำยาสมานแผล
[2] ศาลต้าหลี่ คือศาลอัยการสูงสุดของวังหลวง