ตอนที่ 169 ฉู่อีอีตายอย่างกะทันหัน
จี้มั่วอิ้นเหรินนั่งอยู่บนบัลลังก์อันสูงส่งและสง่างาม มือข้างหนึ่งจับค้อน ดวงตาหม่นหมอง และได้แต่พูดซ้ำประโยคเดิม “บอกมาว่าเจ้าเป็นไส้ศึกที่แคว้นเป่ยหลีส่งมาใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นเช่นนั้นเฟิงอู๋โยวก็แน่ใจว่าจี้มั่วอิ้นเหรินกำลังถูกพิษของตัวอ่อนหนอนกู่เล่นงาน
แต่แค่มองดูท่าทางมึนงงของเขาแล้ว ก็สามารถดูออกว่าผู้ที่บงการเบื้องหลังยังไม่สามารถควบคุมจิตใจได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อคิดได้เช่นนี้ คิ้วของนางก็พลันขมวดเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปถามไป๋หลี่เหอเจ๋อที่นั่งหน้าตาหล่อเหลาอย่างสบายใจ ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับสายลมชมจันทร์ “ท่านราชครู องค์ฮ่องเต้ประชวรหรือขอรับ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเหมือนลำธารที่ใสกระจ่าง หน้าตาก็หล่อเหลาเหมือนกับภาพวาด
แววห่างเหินฉายขึ้นบนใบหน้าเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจกลบร่องรอยโหดร้ายซ่อนอยู่ในดวงตาสีเข้มของเขาลงได้
ไม่นาน ริมฝีปากบางๆ ของไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ปริเอ่ยออกมา “ความชั่วร้ายเข้าครอบงำสุขภาพของฝ่าบาท ดังนั้นข้าจะจัดการเรื่องนี้แทน”
รอยยิ้มคลุมเครือผุดขึ้นที่มุมปากของเฟิงอู๋โยวทันที น้ำเสียงของนางเยือกเย็นขึ้น “บอกข้ามาว่าตัวข้าก่ออาชญากรรมชั่วร้ายอะไรอีก แล้วมันรุนแรงจนท่านราชครูผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาว่าการเองขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าโยนชามขี้ใส่หน้าท่าน? หรือว่าเป็นคดีฆาตรกรรมที่ศาลเจ้าหงเย่ หรือว่าเป็นเหตุที่องค์ฮ่องเต้ถูกลอบทำร้ายเมื่อคืนวาน”
ทันทีที่นางพูดแบบนี้ออกไป ขุนนางยู่ชินและคนอื่นๆ ก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมา
ขุนนางหรงชินและขุนนางเต๋อชินพากันกระซิบข้างหูขึ้น “เฟิงอู๋โยวผู้นี้พูดจาหยาบคายจนเข้าตาเซ่อเจิ้งหวางกระนั้นหรือ”
เจ้าชายเต๋อชินยิ้มเย้ยหยัน “สงสัยเบื่ออาหารโอชะเลยอยากเปลี่ยนมาเคี้ยวก้านผักป่า คงเป็นรสชาติที่แปลกใหม่สำหรับเขา”
ด้านนอกห้องโถงของศาลต้าหลี่ ผู้คนที่ได้ยินข่าวนี้ต่างพากันมาอออยู่หน้าประตูกันอย่างเนืองแน่น
กู่หนานเฟิงก็อยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน เขาพยายามใช้มือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้พร้อมกับพยายามชะเง้อมองเฟิงอู๋โยวที่ตกอยู่ในดงหมาป่าและเสือดาวด้านใน
ไป๋หลี่เหอเจ๋อส่งสายตาให้ฟู่เย่เฉินฟู่เย่เฉินเข้าใจทันที จากนั้นจึงสั่งให้คนหามศพของนักบวชในศาลเจ้าหงเย่ที่ถูกสังหารไปไม่นานเข้ามาที่ห้องโถง
ทันใดนั้น ทั่วทั้งห้องโถงก็คลุ้งตลบไปด้วยกลิ่นของซากศพที่เน่าเปื่อย
หนอนแมลงวันสีขาวจำนวนมากกำลังชอนไชยั้วเยี้ยตามใบหน้าที่เปื้อนเลือดและหนอง แค่เห็นก็สะอิดสะเอียนชวนคลื่นไส้
เหล่าขุนนางพากันยกแขนเสื้อปิดจมูกและเบนหน้าหนี แต่สายตาก็ยังชำเลืองมองซากศพอยู่
“ฟู่เย่เฉิน ทำไมเจ้าถึงเอาศพเข้ามามาที่นี่”
จี้มั่วจื่อเฉินยืนขึ้นและมองฟู่เย่เฉินอย่างไม่พอใจ ตอนนี้ฟู่เย่เฉินใช้ผ้าขาวบางกึ่งโปร่งคลุมใบหน้าเอาไว้
ร่องรอยบาดแผลลึกจากการถูกกัดบนใบหน้าของฟู่เย่เฉิน ดำเหมือนก้นหม้อ เขาเป็นคนที่เกลียดพวกที่หลงระเริงทำตัวรักสนุกไปวันๆ อย่างจี้มั่วจื่อเฉิน จึงรำคาญที่จะเสวนาด้วย
แต่เนื่องจากจี้มั่วจื่อเฉินเป็นองค์ชาย
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนแบบนี้ ฟู่เย่เฉินจึงไม่สามารถแสดงอาการอย่างออกนอกหน้าได้
เขาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนอธิบายด้วยความอดทน “เหล่านักบวชที่เสียชีวิตอย่างอนาถในศาลเจ้าหงเย่ ล้วนถูกฆ่าด้วยการทึ้งกัดด้วยเขี้ยว จากกลิ่นที่ลงเหลืออยู่ตามบาดแผล พวกสุนัขล่าเนื้อได้ระบุมือสังหารแล้ว”
“ศพเหม็นเหมือนปลาเน่าแบบนี้ จมูกของสุนัขล่าสัตว์ช่างดีเสียจริง” จี้มั่วจื่อเฉินถามพลางเดินเข้าไปด้านหน้าเฟิงอู๋โยว ก่อนกระซิบเบาๆ “มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องตกใจไป ถ้าเจ้าไม่อยากเห็นก็จงหลับตา หรือจะซบไหล่ข้าก็ได้”
แต่จี้มั่วจื่อเฉินถึงกลับประหลาดใจ เพราะเฟิงอู๋โยวไม่เพียงแต่ไม่กลัวซากศพที่เน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น แต่นางยังก้มลงตรวจสอบสภาพศพด้วยมือของนางเอง
นางใช้เข็มเงินเขี่ยเศษเนื้อชิ้นเล็กๆ จากบาดแผลบนซากศพขึ้นมาดู ก่อนดมมัน
ทันใดนั้น ไม่เพียงแต่เหล่าขุนนางระดับสูงที่เบิกตากว้างอย่างตกใจ แม้แต่ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอกก็ต่างกรีดร้องด้วยความตกใจด้วยเช่นกัน
“พระเจ้า! เขาจะกินศพดิบๆ อย่างนั้นหรือ”
“คนป่าเถื่อนจากแคว้นเป่ยหลีช่างน่ากลัวจริงๆ!”
“คดีฆาตกรรมต้องแลกด้วยชีวิต! คนที่สนับสนุนเขาก็ต้องโดนไปด้วย!”
…
จี้มั่วจื่อเฉินมองเฟิงอู๋โยวที่ทำตัวแปลกๆ พลางพูดตะกุกตะกัก “อู๋โยว เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
เฟิงอู๋โยวหลับตาและสูดกลิ่นซากศพชิ้นเล็กๆ บนเข็มเงิน ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น “บาดแผลที่คอของนักบวช นอกจากกลิ่นซากไม้ผุตามธรรมชาติแล้ว ยังมีกลิ่นไขมันที่ใช้ทาริมฝีปากและแป้งหอมปนอยู่จางๆ”
“สิ่งที่เจ้าพูดไม่มีหลักฐาน”
ฟู่เย่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเย็นชาเรียบนิ่ง แต่ภายในใจของเขาเริ่มสงสัยถึงต้นกำเนิดของเฟิงอู๋โยว
นางดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับมีทักษะความสามารถโดดเด่นหลายด้าน และมันก็ทำให้เปล่งประกายเวลาที่นางแสดงความสามารถเหล่านั้นออกมา
เฟิงอู๋โยวไม่สนใจคำพูดของฟู่เย่เฉิน นางหันไปมองทหารที่จับสายจูงสุนัขไว้แน่น “มัวยืนทื่ออะไรอยู่ รีบๆ พาเจ้าหมาน้อยเข้ามาดมกลิ่นที่มือสังหารทิ้งไว้สิ”
เวลานี้ ทหารไม่รู้ว่าควรฟังคำพูดของเฟิงอู๋โยวหรือไม่ ดังนั้นจึงมองไปหาไป๋หลี่เหอเจ๋อ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ทำตามที่เขาต้องการ”
“ขอรับ”
เมื่อได้รับคำสั่ง ทหารก็รีบลากสุนัขล่าเนื้อเก้าตัวไปกลางห้องโถง
สุนัขล่าเนื้อเหล่านี้ผ่านการฝึกพิเศษมา มันสามารถแยกแยะกลิ่นแปลกปลอมของศพได้ ทำให้สามารถหาตัวมือสังหารได้ค่อนข้างแม่นยำ
อย่างไรก็ตาม สุนัขล่าเนื้อก็มีข้อเสียเช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถโกหกได้ แต่พวกมันสามารถถูกหลอกได้ง่ายโดยเบาะแสเท็จ ดังนั้นจึงใช้พวกมันเป็นแค่ข้อสนับสนุนในการตรวจสอบเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการใช้สุนัขล่าเนื้อในคดีของที่นี่
เมื่อเฟิงอู๋โยวตรวจสอบซากศพ นางพบว่ามีกลิ่นดอกกล้วยไม้จางๆ แทรกอยู่ด้วย
และบนตัวนางก็มีถุงเครื่องหอมจากดอกกล้วยไม้ที่ชิงหลวนให้ติดตัวเอาไว้
ในคืนที่นางพักแรมอยู่ที่ศาลเจ้าหงเย่ ผ้าห่มที่นางใช้คงจะปนกับกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ ดังนั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสามารถปลอมแปลงหลักฐานเท็จได้อย่างง่ายดายโดยการคลุมร่างศพด้วยผ้าห่มที่มีกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้
ขณะนั้นสุนัขล่าเนื้อเดินวนรอบซากศพอยู่ครู่หนึ่ง
สุนัขล่าเนื้อทั้งเก้าตัวเห่าใส่เฟิงอู๋โยวทันที
ท่าทางของพวกมันดุร้ายมาก
ทหารที่จับเชือกคล้องคอมันอยู่ไม่ทันระวังจึงเผลอปล่อยเชือก
ในชั่วพริบตาถัดมา สุนัขล่าเนื้อเก้าตัวก็หลุดจากเชือกและพุ่งเจ้าโจมตีเฟิงอู๋โยว
“อย่ากลัว มาหลบหลังข้าเร็วเข้า!”
เมื่อจี้มั่วจื่อเฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็เข้ามายืนบังหน้าเฟิงอู๋โยวอย่างห้าวหาญ
แต่ทว่า ไป๋หลี่เหอเจ๋อกลับพุ่งมาข้างหน้าและคว้านางมาไว้ในอ้อมแขนของเขาทันที
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วและผลักเขาออกไปด้วยความขยะแขยง “ท่านราชครูคิดจะทำอะไร”
ลำคอของไป๋หลี่เหอเจ๋อแห้งผากลงเล็กน้อย เขาพูดขึ้นเสียงแผ่ว “แค่ทำตัวมีน้ำใจก็เท่านั้น”
“ท่านมีหัวใจด้วยหรือ”
เฟิงอู๋โยวแสยะยิ้มมุมปาก ดวงตาเฉียบคมของนางจ้องไป๋หลี่เหอเจ๋อเขม็ง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเกลียดรอยยิ้มเหยียดหยามของเฟิงอู๋โยวมาก เหมือนจะดูดี แต่ให้ความรู้สึกเกลียดชัง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อหายใจเข้าลึกๆ ก่อนหันกลับไปพูดกับ จี้มั่วอิ้นเหรินที่มีศักดิ์สูงกว่าอย่างเรียบนิ่ง “ข้อเท็จจริงได้ปรากฏแล้ว มีหลักฐานเอาผิดชัดเจนว่าเฟิงอู๋โยวเป็นมือสังหารในคดีฆาตรกรรมในศาลเจ้าหงเย่”
เสียงยืนยันของไป๋หลี่เหอเจ๋อดังขึ้น ดวงตาเหม่อลอย จี้มั่วอิ้นเหรินพลันขยับเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ทุบค้อนและเปล่งเสียงตะโกนอย่างดุดัน “เฟิงอู๋โยว เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ”
เฟิงอู๋โยวหยิบถุงเครื่องหอมจากดอกกล้วยไม้ของนางออกมาและโยนไปที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อ “ท่านราชครูไขคดีเป็นหรือไม่ ไฉนสรุปคดีอย่างลวกๆ เหมือนมือสมัครเล่นแบบนี้ ท่านก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือว่า ยิ่งปกปิดยิ่งฉาวโฉ่”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อรู้ว่าถุงเครื่องหอมจะล่อสุนัขล่าเนื้อเขาหาตัวเขา แต่เขาปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
เขากำถุงเครื่องหอมที่ปักด้วยลายดอกกล้วยไม้ในมือแน่น ก่อนค่อยๆ แย้มริมฝีปากบางๆ ขึ้น “ข้าจะเก็บถุงเครื่องหอมที่แม่ทัพเฟิงมอบให้ไว้อย่างดีแล้วกัน”
ก่อนที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อจะพูดจบ สุนัขล่าเนื้อก็พุ่งเข้ามาหาเขา
เขามองทหารที่พยายามจับสายจูงสุนัขจนจับได้ แล้วพูดอย่างเย็นชา “เอาพวกมันออกไป”
“ขอรับ”
ทหารรีบพาพวกสุนัขออกไปทันที
เมื่อจี้มั่วจื่อเฉินสติกลับมาได้ ก็ทุบโต๊ะพูดขึ้นอย่างมีเหตุผล “ไป๋หลี่เหอเจ๋อ หากเจ้าคิดจะใช้สัตว์ไม่กี่ตัวมายืนยันว่าเฟิงอู๋โยวเป็นมือสังหารโดยการให้พวกมันเห่าใส่ เช่นนั้นการที่สุนัขเห่าใส่เจ้าด้วยก็หมายความว่าเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยสินะ”
ก่อนที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อจะตอบกลับ ทหารสองคนรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงศาลต้าหลี่ “รายงานฝ่าบาทและท่านราชครู พบศพผู้หญิงบนหน้าผาในเขตชานเมืองทางตะวันออก ตามคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ประมาณเที่ยงคืนของคืนที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นเฟิงอู๋โยวกับเซ่อเจิ้งหวางที่สถานที่แห่งนี้ขอรับ”
“นำศพเข้ามา” ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดเสียงขรึม
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อนึกถึงศพบนหน้าผาในเขตชานเมืองทางตะวันออก มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นฉู่อีอี
ถ้าหากฉู่อีอีเสียชีวิต หนอนพิษนางพญาในร่างของนางก็จะตายไปไปด้วย
หากเป็นแบบนี้ หนอนพิษตัวอ่อนในร่างของจี้มั่วอิ้นเหรินก็จะกัดกินร่างของจี้มั่วอิ้นเหรินจากภายใน
“ทำไมคนผู้นี้ถึงเลวทรามขนาดนี้”
“พระเจ้า! ทำไมฆาตรกรถึงโรคจิตแบบนี้”
“จำเป็นต้องโทษประหารเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับคนตาย”
…
ผู้คนที่รุมดูอยู่รอบๆ ศาลต้าหลี่ เห็นทหารที่แบกศพหญิงสาวเข้าไปในห้องโถง ต่างก็พากันอุทานขึ้นมา
ตั้งแต่เซ่อเจิ้งหวางขึ้นมาสำเร็จราชการแผ่นดิน แคว้นตงหลินก็ไม่เคยมีคดีสะเทือนขวัญเช่นนี้มาก่อน
ดังนั้น ผู้คนจึงให้ความสนใจและหวาดผวากับเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
เฟิงอู๋โยวมองไปด้านข้างศพหญิงที่เพิ่งถูกหามเข้ามา พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
ร่างของศพหญิงสาวผู้นี้คล้ายกับฉู่อีอีมาก แต่กระโปรงดอกโบตั๋นสีแดงน้ำตาลบนร่างศพ ค่อนข้างแตกต่างจากเสื้อชุดที่ฉู่อีอีสวมใส่เมื่อวานนี้
แค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าฉู่อีอีตัวจริงยังมีชีวิตอยู่
ขุนนางจิ้นลุกขึ้นพรวดและรีบเข้าไปดูร่างของหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับน้ำตาไหลหลั่งริน “อีอี! ทำไมเจ้าถึงตายอย่างอนาถแบบนี้”
ฟู่เย่เฉินทำหน้าคล้ายกึ่งยิ้ม แววเย็นผุดขึ้นในดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขา “ขุนนางจิ้นจำนางได้หรือไม่”
“พูดจาเหลวไหล อีอีเป็นนางสนมของข้า ข้าจะจำผิดได้เยี่ยงไร”
ขุนนางจิ้นพูดอย่างโมโหและหันไปมองเฟิงอู๋โยวที่ยืนนิ่งสงบอยู่ข้างๆ
เขาก้าวไปหาเฟิงอู๋โยวแล้วกระชากสาบเสื้อเข้ามาเพื่อตะโกนใส่หน้า “พูดสิ! ว่าเจ้าเป็นคนฆ่า”
“ขุนนางจิ้น ขออย่าได้พูดจาหลักลอย เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ถอยไป อย่ายืนต่อหน้าเจ้านาย อย่ามาทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าข้า มันรบกวนสมาธิในการสะสางคดีของท่านราชครูผู้ยิ่งใหญ่ แต่สมองน้อยไม่พอใช้งาน” เฟิงอู๋โยวพูดตอกกลับอย่างไม่เกรงใจ
หน้าของขุนนางจิ้นแดงก่ำ ก่อนหน้านี้เฟิงอู๋โยวเคยขโมยชุดว่าราชกิจของเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง ความเกลียดชังของทั้งเก่าและใหม่ปะทุขึ้นรวมกันทันที
“เจ้ายังกล้าเล่นลิ้นอีกหรือ สุนัขล่าเนื้อระบุว่าเจ้าเป็นมือสังหาร นอกจากนี้ มีคนจำนวนมากเห็นเจ้าและเซ่อเจิ้งหวางปรากฏตัวบนหน้าผาในเขตชานเมืองทางตะวันออกเมื่อคืนนี้ เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือว่านางสนมของข้าถูกเจ้าฆ่า หรือว่า…เซ่อเจิ้งหวางเป็นผู้สั่งให้เจ้าทำแบบนั้น”
ขุนนางจิ้นพูดระรัวอย่างไม่มีช่องไฟ เมื่อได้พูดแล้วก็ไม่ยอมหยุด เขามองไปที่จี้มั่วอิ้นเหรินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์พลางพูดเสริม “ไหนจะเมื่อคืนตอนที่องค์ฮ่องเต้ถูกโจมตี เจ้าและเซ่อเจิ้งหวางก็อยู่ในสถานการณ์ ยังจะมาบอกว่าเจ้ากับเซ่อเจิ้งหวางไม่ข้องเกี่ยวอีกหรือ”
เฟิงอู๋โยวปัดมือของขุนนางจิ้นที่จับสาบเสื้อของนาง ก่อนกลับผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำลายขุนนางจิ้นที่กระเด็นใส่หน้า
นางมองไปที่จี้มั่วอิ้นเหรินที่สีหน้าหมองคล้ำ จากนั้นก็ถามไป๋หลี่เหอเจ๋อด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “ท่านราชครูแน่ใจหรือว่าไม่มีพิษของหนอนพิษอยู่ในร่างกายฮ่องเต้”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ตอบ แต่หันไปมองข้ารับใช้ที่อยู่ในห้องโถง “ไปตามแพทย์หลวงซูมา”
ไม่นานนัก แพทย์หลวงซูก็ถูกนำตัวเข้ามาในห้องโถงศาลต้าหลี่
เขาก้มหัวทำความเคารพจี้มั่วอิ้นเหริน
“แพทย์หลวงซู รบกวนรายงานผลการวินิจฉัยอีกครั้ง” ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดเสียงเรียบ
“ขอรับ”
แพทย์หลวงซูหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเริ่มรายงานผลการวินิจฉัยของจี้มั่วอิ้นเหรินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เนื่องจากเมื่อคืนนี้องค์ฮ่องเต้ถูกจู่โจมอย่างฉับพลันและยังตกอยู่ในภาวะตกใจเสียขวัญ เป็นเหตุทำให้ภาษาท่าทางของฮ่องเต้ทำงานผิดปกติ แต่ฮ่องเต้ทรงมีพลานามัยแข็งแรงดี คาดว่าอีกครึ่งเดือนก็หายเป็นปกติ”
“จริงหรือ” เฟิงอู๋โยวคลี่ยิ้มเอ่ยถามแพทย์หลวงซู “จับสัญญาณชีพจรของฮ่องเต้แล้วหรือ”
“เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“จากมุมมองของข้า สีหน้าของฮ่องเต้ดูไม่ดีนัก ดูเหมือนไม่ได้เกิดจากความตื่นตระหนก แต่เหมือนเกิดจากเลือดลมไหลเวียนติดขัดมากกว่า” เฟิงอู๋โยวพูดขึ้น
แพทย์หลวงซูขมวดคิ้วแน่น เพราะก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยว่าจี้มั่วอิ้นเหรินคงทุกข์ทรมานจากอาการอย่างอื่นที่ซ่อนอยู่เหมือนกัน แต่ที่น่าแปลกก็คือสัญญาณชีพจรของจี้มั่วอิ้นเหรินปกติมาก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็แนะนำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เพื่อเห็นแก่สุขภาพพลานามัยขององค์ฮ่องเต้ ข้าอยากจะรบกวนให้แพทย์หลวงซูตรวจชีพจรอีกครั้ง”
“เอ่อ…คือว่า…”
แพทย์หลวงซูลำบากใจและแน่นิ่งอยู่เป็นเวลานาน
“แพทย์หลวงซูรีบเข้าไปตรวจดูสิ” เมื่อเห็นแพทย์หลวงซูชะงักอยู่กับ จี้มั่วจื่อเฉินจึงเร่งเร้าขึ้น
“ขอรับ”
แพทย์หลวงซูเดินเข้าตามคำสั่งของจี้มั่วจื่อเฉินเพื่อวินิจฉัยสัญญาณชีพจรของจี้มั่วอิ้นเหรินอีกครั้ง
เฟิงอู๋โยวคิดว่าสาเหตุที่แพทย์หลวงซูไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติจากสัญญาณชีพจรของจี้มั่วอิ้นเหรินได้ เป็นเพราะตัวอ่อนหนอนพิษได้ปรับตัวให้เข้ากับร่างกายของจี้มั่วอิ้นเหรินแล้ว จึงทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดและชีพจรเป็นปกติ
ดังนั้นนางจึงใช้โอกาสช่วงที่แพทย์หลวงซูวินิจฉัยชีพจรของจี้มั่วอิ้นเหรินใหม่ เดินเข้าไปและแทงเข็มเงินที่หลังมือของจี้มัวอิ้นเหรินโดยไม่สนใจสายตาของเหล่าขุนนางที่อยู่ตรงนั้น
“ซื้ด…”
จี้มั่วอิ้นเหรินกลับมามีสติอีกครั้ง ดวงตาเหม่อลอยของเขาขยับมองเฟิงอู๋โยวอย่างยากลำบาก เขาร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ขุนนางทั้งหลายก็ลุกขึ้นทีละคนและกล่าวประณามเฟิงอู๋โยว “เจ้าบังอาจทำร้ายองค์ฮ่องเต้แบบนี้ สมควรถูกลงโทษ!”
“ช้าก่อน…”
แพทย์หลวงซูรีบพูดขึ้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “หลังจากฮ่องเต้ถูกแทงด้วยเข็ม ได้ตรวจพบว่าฮ่องเต้มีอาการหวาดกลัว และยังตรวจพบสัญญาณชีพจรของสิ่งมีชีวิตทับซ้อนอยู่ในร่างกาย”
“ในเมื่อฮ่องเต้ทรงมีพลานามัยแข็งแรง ไฉนถึงตรวจพบสัญญาณชีพจรซ้อนทับ” เฟิงอู๋โยวจงใจถามแพทย์หลวงซูกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แพทย์หลวงซูก็คุกเข่าลงบนเชิงบันไดหินเย็นเฉียบ พร้อมกับพูดกับตัวเองอย่างรู้สึกผิด “ข้าสมควรตายเป็นความผิดของข้าเองที่ตรวจไม่พบสิ่งแปลกปลอมในร่างกายขององค์ฮ่องเต้ แต่เมื่อครู่ หลังจากองค์ฮ่องเต้ตกใจกลัวเพราะความเจ็บ ทำให้จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้น เป็นเหตุให้ตัวอ่อนหนอนพิษตามจังหวะการเต้นของหัวใจไม่ทันชั่วขณะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้องค์ฮ่องเต้จะต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการเส้นเลือดตีบ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เหล่าขุนนางก็พากันแตกตื่น
ขุนนางทุกคนมองไปที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อซึ่งนั่งอยู่หน้าบัลลังก์อย่างไม่สะทกสะท้าน
ผู้คนที่อยู่ด้านศาลต้าหลี่ได้ยินว่าคำว่าตัวอ่อนหนอนพิษก็ต่างพากันกังวลหนักกว่าเดิม
“แล้วแบบนี้ สุขภาพขององค์ฮ่องเต้ยังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ ท่านราชครู”
เฟิงอู๋โยวเข้าใจในสิ่งที่แพทย์หลวงซูพูด ก่อนหันไปไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างมั่นใจ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อไร้แววตื่นตระหนก เขารู้ดีว่าต่อให้ฉู่อีอีตายไป เฟิงอู๋โยวก็ยังเป็นคนที่รับมือยากอยู่ดี
นางสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างชาญฉลาด
ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น เขาหันไปสั่งทหารที่อยู่ข้างๆ อย่างแผ่วเบา “จับเฟิงอู๋โยวเข้าคุกแล้วค่อยทำการพิจารณาใหม่วันหลัง”
“ช้าก่อน”
ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำอันน่าฟังของจวินมั่วหรันก็ดังมาจากด้านนอกศาลต้าหลี่
ไม่นานนักเขาก็ลงจากราชรถหยกและเดินเข้ามาในห้องโถง
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขา
จวินมั่วหรันลูบไล้รอยแดงบนใบหน้าของนางราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น “มีใครรังแกเขาหรือเปล่า”
เฟิงอู๋โยวส่ายหัว “มีสายตาหลายคู่จ้องมองมาจากด้านนอกศาลต้าหลี่ จะเกิดอะไรขึ้นกับกระหม่อมได้เยี่ยงไร”
หลังจากได้ยินคำเช่นนั้น จวินมั่วหรันก็เดินไปทางด้านขวาของจี้มั่วอิ้นเหรินและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเองช้าๆ “นำฉู่อีอีเข้ามา”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่ฟู่เย่เฉินอย่างสงสัย
เขากำชับกับฟู่เย่เฉินว่าให้รอบคอบและลงมือฆ่าฉู่อีอีด้วยมือเพื่อให้แน่ใจ
ฟู่เย่เฉินมองไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างสงสัยเช่นกัน เมื่อคืนหลังจากที่เขาถูกปลุกให้ตื่นจากการถูกสุนัขล่าเนื้อกัด คนรับใช้คนหนึ่งก็รีบเรายงานเขาว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อได้ฆ่าฉู่อีอีด้วยมือของเขาเอง เขาไม่จำเป็นต้องทำแล้ว
เมื่อดวงตาทั้งสี่สบกัน พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติกั้นอยู่ตรงกลาง