ตอนที่ 173 เข้าล้อมไป๋หลี่เหอเจ๋อ
เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็เกิดสนใจมากขึ้น ก่อนกลับไปนั่งที่นั่งของตนเอง และมองดูจวินมั่วหรันและไป๋หลี่เหอเจ๋อที่ชักกระบี่ออกมา
เสียงของไป๋หลี่เหอเจ๋อสงบนิ่ง “ท่านใต้เท้ามีธุระอันใดอีก”
จวินมั่วหรันชี้ไปที่รอยแดงช้ำบนแก้มของเฟิงอู๋โยว พลางถามด้วยเสียงแข็งกร้าว “เมื่อคืนฟู่เย่เฉินตบหน้าคนของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างเด็ดขาด”
เฟิงอู๋โยวปิดใบหน้าของนางด้วยความอับอาย นางอยากให้คนอื่นคิดว่ารอยแดงบนใบหน้าของนางถูกผู้หญิงข่วนมากกว่าปล่อยให้คนอื่นรู้ว่านางถูกไอ้สารเลวฟู่เย่เฉินตบหน้า
น่าอายจริงๆ ที่โดนตบหน้า
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยังชี้ไปที่ฟู่เย่เฉินที่มีผ้าพันแผลพันทั่วตัว “เฟิงอู๋โยวปล่อยสุนัขกัดขุนนางชั้นสูง ความผิดนี้จะบันทึกว่าเยี่ยงไร”
จวินมั่วหรันพูดเสียงเย็น “สุนัขล่าเนื้อของฟู่เย่เฉินจะฟังคำสั่งของเฟิงอู๋โยวได้เยี่ยงไร ตอนนี้ข้ารู้แค่ว่าฟู่เย่เฉินทุบตีคนรักของข้า ดังนั้นต้องเอาคืนอย่างสาสม”
ทันทีที่เขาพูดประโยคพวกนี้ออกจากปาก ทุกคนก็อ้าปากค้างกันถ้วนหน้า
แม้แต่ดวงตาของเฟิงอู๋โยวก็เบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
จวินมั่วหรันเรียกนางว่า ‘คนรัก’ จริงๆ อย่างนั้นหรือ!!
นางตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก จิตใจว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะตอบสนองเยี่ยงไร สิ่งเดียวที่นางรู้ตอนนี้คือแก้มของนางร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นรัวเหมือนกลองลั่น
การที่จวินมั่วหรันยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเฟิงอู๋โยวอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ทำเอาไป๋หลี่เหอเจ๋อรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
เขาหวังให้เฟิงอู๋โยวกลายเป็นจุดอ่อนของจวินมั่วหรัน แต่เขากลับไม่ต้องการเห็นความรักที่เพิ่มพูนขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง
ฟู่เย่เฉินไม่อยากทำให้ไป๋หลี่เหอเจ๋อต้องอับอาย ครั้นแล้วจึงพูดอย่างมีหลักการ “กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา เอาไว้ข้าจะจัดการเรื่องทุกอย่างเอง”
จวินมั่วหรันขี้เกียจใส่ใจฟู่เย่เฉินผู้นี้ เขาคิดว่าฟู่เย่เฉินเป็นพวกน่ารำคาญมาโดยตลอด ครั้นแล้วจึงมองใบหน้าบึ้งตึงของไป๋หลี่เหอเจ๋อ “เมื่อวานราชครูอย่างเจ้าส่งทหารไปรุมโจมตีข้า เจ้าเล่นสนุกจนหนำใจหรือยัง”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อดูสงบผิดปกติ เขาตอบอย่างใจเย็น “ข้าได้รับคำสั่งให้จับกุมมือสังหาร แต่ไม่คาดคิดว่าข้าจะระบุคนผิดและทำให้เซ่อเจิ้งหวางได้รับบาดเจ็บ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าท่านใต้เท้าอยากจะทำร้ายหรือฆ่าข้าเพื่อลงโทษก็ย่อมได้”
“ถือเป็นคำแนะนำที่ดี”
มุมปากจวินมั่วหรันรั้งขึ้นพลางหันไปมองฟู่เย่เฉินอีกครั้ง “ในเมื่อท่านราชครูเสนอขึ้นมาแบบนี้แล้ว ไฉนมือชันสูตรฟู่อย่างเจ้าไม่คิดจะทำให้เรื่องมันถูกต้องหน่อยหรือ”
“แก…”
ฟู่เย่เฉินโกรธจัด ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเขามีประกายไฟร้อนแรงลุกโหม “จวินมั่วหรัน เจ้ากำลังเอาเรื่องส่วนตัวมาปนอย่างเห็นได้ชัด”
จวินมั่วหรันมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา เมื่อเขานึกใบหน้าเฟิงอู๋โยวที่ถูกฟู่เย่เฉินตบ เขาก็รู้สึกเจ็บใจแทน “นี่ถือว่าเป็นคดีเช่นกัน ข้อหาทำร้ายร่างกายคนใต้บังคับบัญชาเซ่อเจิ้งหวาง เจ้าทำเอาเขาร้องไห้ทั้งคืน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกละอายใจระคนความขุ่นเคือง ก่อนหันหลังกลับและจากไป
นางรู้อยู่แก่ใจว่าการกระทำของจวินมั่วหรันเป็นเพียงการระบายความโกรธแทนนางเท่านั้น
แต่จวินมั่วหรันดันไปบอกว่านางร้องไห้ทั้งคืนต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้ เรื่องนี้ทำนางอับอายเอามากๆ
เมื่อจวินมั่วหรันสัมผัสได้ถึงความโกรธของเฟิงอู๋โยว หัวใจก็เริ่มเต้นระส่ำระสาย
เขาลุกขึ้นพรวด สะบัดแขนเสื้อและเดินตามหลังเฟิงอู๋โยวไปทันที
เหล่าขุนนางที่เห็นเช่นนั้นก็พากันตะลึงลานไปตามๆ กัน
พวกเขาล้วนคิดว่าจะได้เห็นจวินมั่วหรันกับไป๋หลี่เหอเจ๋อจะต่อสู้กันจนตายกันไปข้าง แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจวินมั่วหรันจะยอมถอดใจเพื่อไล่ตามชายคนหนึ่ง ไป และปล่อยให้ไป๋หลี่เหอเจ๋อยืนหน้าแตกอยู่แบบนี้
ฟู่เย่เฉินกับไป๋หลี่เหอเจ๋อถูกปั่นประสาทเข้าให้แล้ว พวกเขาพากันเดินออกจากห้องโถงศาลต้าหลี่
พวกเขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจวินมั่วหรันรับมือยาก
แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเขาจะแพ้อย่างราบคาบแบบนี้
“อาเจ๋อ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไร”
ฟู่เย่เฉินมองตามแผ่นหลังของเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนพูดเสียงขรึม “บางทีเฟิงอู๋โยวอาจไม่ใช่จุดอ่อนของจวินมั่วหรันก็ได้”
“เขาอาจกลายเป็นดาบที่คมที่สุดในมือจวินมั่วหรัน” ไป๋หลี่เหอเจ๋อตระหนักได้ว่าเขาประเมินเฟิงอู๋โยวต่ำเกินไป จึงล้มเลิกแผนเดิมทิ้งทันที
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว บางทีเขาอาจจะต้องลดศักดิ์ศรีของตัวเองลงมาและพยายามหลอกล่อเฟิงอู๋โยวให้ตายใจ
เมื่อถึงเวลานั้น วันที่เฟิงอู๋โยวยอมเชื่อใจเขาแล้ว เขาค่อยใช้เฟิงอู๋โยวเป็นเครื่องมือทรมานจวินมั่วหรัน
“เฉิน ช่วงนี้อย่าเพิ่งลงมือกับเฟิงอู๋โยว”
ฟู่เย่เฉินอ่านความคิดของไป๋หลี่เหอเจ๋อออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “อาเจ๋อกำลังวางแผนแย่งเขามาจากจวินมั่วหรันอยู่อย่างนั้นหรือ”
“ใช่” ไป๋หลี่เหอเจ๋อตอบเสียงเรียบ
ฟู่เย่เฉินส่ายหน้า “อาเจ๋อ ระวังอย่าปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองถลำลึกเกินไป ไม่เช่นนั้นคนที่ต้องเสียใจจะกลายเป็นเจ้าแทน และผลลัพธ์มันจะยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าอดีตที่เจ้าประสบพบเจอมาก่อนเสียอีก”
“ถึงอย่างไร ข้าก็ตกนรกอยู่ดี”
หลังจากพูดจบ ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็มุ่งหน้าไปที่เรือนแพทย์พยากรณ์ทันที
เป็นเวลาเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์ช่างร้อนแรงแผดเผา
ไป๋หลี่เหอเจ๋อสวมชุดสีขาวดูเหมือนเทพบุตรที่ถูกเนรเทศ เดินผ่านถนนและตรอกซอกซอยอันว่างเปล่า
เขามองสองข้างทางด้วยมุมหางตาอย่างระวัง
ที่ผ่านมา เมืองหลวงไม่เคยมีวันที่สงบ
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ฝีเท้าของเขาก็หยุดลงเล็กน้อย ริมฝีปากบางๆ เอ่ยเสียงขึ้น “ใครอยู่ที่นี่”
ต่อมา ตรงทางเข้าตรอกที่ห่างจากไป๋หลี่เหอเจ๋อไปราวหนึ่งร้อยก้าว จุยเฟิงได้เดินออกมาและพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้ามาที่นี่เพื่อปิดล้อมและปราบปรามท่านราชครู ภายใต้คำสั่งของเซ่อเจิ้งหวางขอรับ”