ตอนที่ 183 เซ่อเจิ้งหวางพกกระบี่ตามมา
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ในเมื่อเจ้ามีเวลาและเรี่ยวแรงพูดคุยเรื่องไร้สาระ ทำไมเจ้าไม่ใช้เวลารักษาตัวเอง แล้วเอาเงินเจ้าคืนไป”
ทันใดนั้น ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ยื่นมือออกไปจู่โจมที่หน้าอกของนาง
เฟิงอู๋โยวเอี่ยวตัวหลบอย่างว่องไว จากนั้นก็จ่อเข็มเงินที่ลูกกระเดือกที่กระเพื่อมขึ้นลงของเขาอย่างแม่นยำ “ไร้ยางอาย”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาจ้องมองนางอย่างแน่วแน่และพูดเน้นทีละคำ “เฟิงอู๋โยว ครั้งนี้ข้าต้องการจะขอโทษเจ้าจากใจจริง”
“โดยการใช้ลูกธนูแทงตัวเองเพื่อไถ่โทษ หลอกให้ตายใจ ทำเป็นถอยเพื่อเตรียมบุกและใช้ความลับของข้ามาบีบบังคับข่มขู่งั้นหรือ”
เฟิงอู๋โยวเปิดประเด็นพูดขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา
“เดิมที่ข้าไม่คิดจะบังคับข่มขู่เจ้า ข้าแค่อยากชดเชยความผิดที่ทำกับเจ้าเท่านั้น”
“วันนั้นเจ้าทำอะไรกับข้าที่จื่อหยางกันแน่” เฟิงอู๋โยวสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ก่อนรวบรวมความกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยากลำบากนี้
“ข้ามีนิสัยรักษาความสะอาดที่เข้มงวดมาก หากจะหลับนอนกับผู้หญิงสาวที่หมายปอง ข้าต้องตรวจสอบด้วยตัวเองก่อนว่าผู้หญิงสวยคนนั้นผ่านชายอื่นมาแล้วหรือไม่”
เฟิงอู๋โยวนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่ดวงตาเริ่มฉายแววรังเกียจออกมาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
แรกเริ่มเดิมที ไป๋หลี่เหอเจ๋อควรสวมหน้ากากเพื่อแสร้งทำเป็นคนจิตใจอบอุ่นและทำให้นางรู้ว่าเขาน่าเชื่อถือมากกว่าจวินมั่วหรัน
แต่ทุกครั้งที่เขาสัมผัสกับแววตารังเกียจของนาง ความสามารถในการควบคุมตนเองที่เขาเคยภาคภูมิใจมาตลอดก็สูญสมดุลไปในทันที
เสี้ยวพริบตาต่อมา อยู่ๆ เขาก็ดึงลูกธนูออกจากหน้าอกและปล่อยให้เลือดอุ่นผ่าวไหลออกมาราวกับน้ำตก
ในตอนนี้เขาแทบจะเป็นบ้า
ส่งผลให้ความปรารถนาดีที่มีต่อนางถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง
เขาสบถด่าทอนางด้วยถ้อยคำรุนแรงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “ข้าสำรวจร่างกายของเจ้าจริงๆ ข้าผิดหวังเหลือเกิน เจ้ามันไม่สะอาด ไหนบอกมาสิว่าเจ้าผ่านผู้ชายมากี่คนแล้วในช่วงที่ผ่านมา หรือว่าต้องหลับนอนกับใครเพื่อได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสามของกองทัพเป่ยหลี”
“ปล่อยข้าไปได้หรือยัง”
เฟิงอู๋โยวไม่อยากเผชิญหน้ากับเขา ท้ายที่สุดฟู่เย่เฉินต้องการจะเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณะอยู่ดี อย่าว่าแต่จวินมั่วหรันจะสำเร็จโทษนางเลย อันดับแรกนางควรเอาตัวให้รอดจากฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลีให้ได้ก่อน ในโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้
“เฟิงอู๋โยว บอกมาสิว่าเจ้าผ่านผู้ชายมากี่คนแล้ว”
“เรื่องของข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“ไม่เกี่ยว? ช่างไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อโกรธมากจนลืมความตั้งใจเดิมไปสนิท
เขาเค้นกำลังภายในตามร่างกายและเข้าจับตัวเฟิงอู๋โยวที่กำลังตัวสั่นด้วยความโมโหไปที่เตียงรักษา ก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงแข็งกร้าว “รักษาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
“ในเมื่อเจ้ารักษาให้จวินมั่วหรันได้ ไฉนถึงรักษาให้ข้าไม่ได้” ไป๋หลี่เหอเจ๋อกดศีรษะของเฟิงอู๋โยวด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อบังคับให้นางคุกเข่าลงกับพื้น
“จะรักษาหรือไม่”
“ฝันไปเถิด” เฟิงอู๋โยวเป็นคนดื้อรั้นและก็เกลียดการถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่นางไม่อยากทำเข้ากระดูกดำ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าวาดภาพเสมือนตัวเองให้จวินมั่วหรันด้วยอย่างนั้นหรือ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อจับคางของนางด้วยมือข้างหนึ่งและพูดทีละคำ “จะบอกเจ้าเอาไว้อีกอย่าง ข้าก็ได้วาดภาพเสมือนของเจ้าเอาไว้เหมือนกัน วาดเอาไว้ทุกระเบียดนิ้วเลยล่ะ”
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ สักวันเวรกรรมจะตอบสนอง”
“เท้าของข้าเหยียบลงไปในนรกที่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้วครึ่งหนึ่ง คิดว่าข้าจะกลัวเวรกรรมอย่างนั้นหรือ จงเชื่อฟังข้าแต่โดยดี แล้วข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า มิฉะนั้นข้าก็จะเผยแพร่ภาพวาดเหล่านั้นให้ทั่วสารทิศ ถึงตอนนั้นจวินมั่วหรันมันยังต้องการเจ้าอีกหรือไม่”
เมื่อเห็นว่านางเงียบ ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ปล่อยนาง
จากนั้นเขาก็นอนตะแคงบนเตียง หลับตาลงพลางเอ่ย “รักษาให้ข้า อย่าคิดเล่นแง่ตุกติก หากข้าเป็นอะไรขึ้นมา คนที่เรือนจื่อหยางก็พร้อมที่จะเผยแพร่ภาพเปลือยกายของเจ้าทุกเมื่อ”
อันที่จริง ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่เคยเห็นเรือนร่างของนางทั้งหมดและก็ไม่มีภาพวาดเสมือนตามที่เขาบอก ทั้งหมดที่เขาทำไปก็เพราะเขาแค่ไม่ชอบท่าทีเมินเฉยของเฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างหมดหวัง นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรักษาบาดแผลให้เขา
แปะ!
แปะๆๆ
น้ำตาใสๆ ไหลเป็นทาง ดวงตาของนางพร่ามัวเพราะน้ำตาคลอ
ยิ่งมองไป๋หลี่เหอเจ๋อ นางก็ยิ่งรู้สึกคลื่นไส้
ไป๋หลี่เหอเจ๋อลืมตาขึ้นมาเห็นนางร้องไห้ก็ใจหวิวขึ้นมาอีกระลอก
แต่เขากลับไม่หยุด
เขาหยิกแก้มนางอย่างแรง ก่อนพูดด้วยเสียงที่เย็นชากว่าเดิม “แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรกับเจ้าก่อนที่จะโยนไปที่ถ้ำขอทาน…จะบอกอะไรให้ เรื่องที่ควรทำและเรื่องที่ไม่ควรทำกับเจ้า ข้าทำไปหมดแล้ว”
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ทำไมเจ้าถึงชั่วช้าขนาดนี้ เจ้าเป็นราชครูที่ผู้คนหลายพันหลายหมื่นทั่วแคว้นตงหลินต่างชื่นชมยอมรับ ไฉนเจ้าไม่จึงใช้ชีวิตอย่างผาสุกตามที่ควรจะเป็น”
“นี่เป็นวิธีที่เจ้าใช้ยั่วยวนอย่างนั้นหรือ ก้าวร้าวแต่สวยงามอย่างยากจะหักห้ามใจจริงๆ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อมองใบหน้าสวยงามที่ต่อต้านสุดฤทธิ์ของนาง มันช่างดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก ทันใดนั้นก็รู้สึกอยากทำให้นางกลายเป็นของเขาเสียตอนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บ ป่านนี้เขาไม่ปล่อยนางเอาไว้แบบนี้หรอก
ปั้ง!
ทันใดนั้น จวินมั่วหรันก็พังประตูเข้ามา รังสีอำมหิตปะทุออกมาจากทั่วทั้งตัวเขาอย่างล้นหลาม
ท่ามกลางฝุ่นควันคลุ้งตลบ จวินมั่วหรันเดินย้อนแสงเข้ามา
“เฟิงอู๋โยว ข้าจะให้โอกาสเจ้าอธิบาย”
ดวงตาสีดำของเขาจ้องมองไปที่คนนั่งหันหลังให้เขา นางดูเหมือนกำลังรักษาบาดแผลให้ไป๋หลี่เหอเจ๋ออยู่
แม้จะโกรธขึ้นหน้า แต่จวินมั่วหรันก็ยังพยายามยับยั้งความโกรธของเขาไว้
ไป๋หลี่เหอเจ๋อคลี่ยิ้มเล็กน้อยและพูดเสียงเบา “เฟิงอู๋โยว เจ้าคิดให้ดีๆ ชะตากรรมของภาพวาดเหล่านั้นขึ้นอยู่กับท่าทีของเจ้า”
เมื่อสัมผัสได้ว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อกำลังคุกคามนาง จวินมั่วหรันก็พุ่งเข้าไปข้างหน้าและฟันกระบี่สะบั้นมังกรลงบนหน้าอกไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างไม่ยั้งมือ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อกระโดดหลบไปด้านข้าง บาดแผลปริแตกอีกครั้งจนเลือดไหลพราก
เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีก็รีบเพ่นหนีจากไป
เคล้ง!
จวินมั่วหรันโยนกระบี่สะบั้นมังกรไปข้างๆ ก่อนหันมาถามเฟิงอู๋โยวที่นั่งหันหลังให้เขา “ทำไมต้องวางยาสลบข้า”
นางกัดปากแน่นเพื่อไม่อยากให้จวินมั่วหรันรู้ว่าเสียงของนางกำลังสั่น
จวินมั่วหรันเห็นนางไม่ยอมตอบกก็ร้อนใจขึ้นมาทันที เขาพุ่งเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างเพื่อบังคับให้นางหันกลับมา
“ท่านใต้เท้า ปล่อยให้กระหม่อมอยู่เงียบๆ หน่อยได้หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวนั่งก้มหน้าน้ำตาหลั่งริน พลางพูดขึ้นเสียงอู้อี้
จวินมั่วหรันนึกไม่ถึงว่าสภาพเฟิงอู๋โยวตอนร้องไห้จะน่าปวดใจเช่นนี้ เขาลนลานและไม่รู้ว่าควรจะรับมือเยี่ยงไร
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อมันทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่” ไฟโทสะลุกโหมดั่งเพลิงผลาญ เขาหมดสติไปแต่ครู่เดียว แม่ทูนหัวของเขากลับถูกรังแกจนร้องไห้เชียวหรือ!
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าและใช้ชายแขนเสื้อของจวินมั่วหรันปาดน้ำตา
เมื่อนึกถึงคำพูดของไป๋หลี่เหอเจ๋อ นางก็รีบชักมือกลับไปทันที
นางรับไม่ได้ที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อกระทำมิดีมิชอบกับตัวนางตอนที่หมดสติ
จวินมั่วหรันรีบคว้านางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด คำพูดมากมายติดอยู่ที่คอจนไม่รู้จะเริ่มจากคำไหน
นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ถ้ามันเป็นเรื่องไม่ดีที่ทำให้เสียใจ ก็ไม่ต้องนึกถึงมัน”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกดีเมื่ออยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของจวินมั่วหรันในวันที่ตัวเองมีสภาพจิตใจเช่นนี้ แต่นางก็รู้ดีว่าความอบอุ่นนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวเวลาสั้นๆ เท่านั้น
หากจวินมั่วหรันรู้ว่านางโกหกเขามาโดยตลอด นางไม่รู้ว่าเขายังจะทำแบบนี้กับนางอยู่หรือไม่
หากจวินมั่วหรันรู้เรื่องที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อกระทำกับนางไปทั้งหมด นางไม่รู้ว่า…ไม่รู้ว่าเขายังอยากจะปกป้องดูแลคนที่สกปรกอย่างนางอยู่อีกหรือไม่
เวลานี้จวินมั่วหรันรู้สึกปวดใจไม่แพ้กัน
เขารู้ดีว่าเฟิงอู๋โยวเป็นคนแข็งแกร่งอดทนแค่ไหน คำพูดหรือการโจมตีธรรมดาๆ ไม่มีทางทำอะไรนางได้
ต่อให้จะถูกเขาแกล้งมาหลายต่อหลายครั้ง นางก็ไม่เคยมีสภาพเหมือนในตอนนี้มาก่อน
หรือว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อบังคับให้นางทำในเรื่องที่นางไม่ยินยอม
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเคียดแค้นเจือความรังเกียจที่มีต่อไป๋หลี่เหอเจ๋อก็เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
“ใจเย็นๆ อย่าร้องไห้เลย คืนนี้ข้าจะพาเจ้าไปเผาเรือนจือหยางของเขาเป็นเยี่ยงไร”
“ไม่”
เฟิงอู๋โยวส่ายหัวปฏิเสธ
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น มีข้าอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไรไป”
เฟิงอู๋โยวสูดจมูกก่อนพูดเสียงอู้อี้ “การปรากฏตัวของเขาในครั้งนี้ทำให้กระหม่อมรู้สึกว่าการมีอยู่ของกระหม่อมเป็นเรื่องที่ด่างพร้อยโสมม”
“มันจะด่างพร้อยโสมมได้เยี่ยงไร แม้ว่าเจ้าจะหัวแข็งไปหน่อย แต่เจ้าก็เป็นที่รักของผู้คนรอบข้างเจ้า” จวินมั่วหรันขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยายามตีความคำว่า ‘ด่างพร้อยโสมม’
แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ไป๋หลี่เหอเจ๋อทำเรื่องอย่างว่ากับนางจริงๆ หรือ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตบต้นขาของเขาด้วยความโกรธและพูดขึ้นเสียงขรึม “จากนี้ไป จงโปรยผงยาสลบใส่ข้าทุกวัน เป็นไปได้ว่าหากข้าได้รับผงยาสงบติดต่อกัน ร่างกายของข้าอาจเริ่มเรียนรู้วิธียับยั้งฤทธิ์ของมันก็เป็นได้”
เขาไม่ได้โกรธเฟิงอู๋โยวที่โปรยผงยาสลบใส่เขา เขาแค่โทษตัวเองที่ต้านทานฤทธิ์ของผงยาสลบไม่ได้
เฟิงอู๋โยว ยิ้มทั้งน้ำตา ทำไมนางไม่รู้มาก่อนว่าจวินมั่วหรันก็เป็นคนตลกและอบอุ่นอยู่เหมือน
“เฟิงอู๋โยว เจ้าต้องพึงตระหนักเอาไว้เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรขอรับ”
“ข้าเคยบอกกับเจ้าไปแล้วว่า ข้าไม่ถือสาอดีตของเจ้า เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจและข้าจะจัดการเรื่องของไป๋หลี่เหอเจ๋อเอง”