ตอนที่ 207 ลงโทษ / ตอนที่ 208 การเตือนของเซ่อเจิ้งหวาง
ตอนที่ 207 ลงโทษ
“ท่านใต้เท้ามาได้เยี่ยงไร”
เฟิงอู๋โยวกำเชือกกุมบังเหียนควบม้าแน่น ใบหน้าฉายแววเป็นสุขขึ้นมารำไร
จวินมั่วหรันมองใบหน้าเจื่อแววยิ้มแย้มของนาง ความโกรธที่ผุดขึ้นมาในใจเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง
เขาเดินออกจากราชรถหยก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเฉียบคมจับจ้องที่แขนเสื้อที่เหนียวและเปียกอย่างเป็นห่วง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรขอรับ”
เฟิงอู๋โยวรีบซ่อนแขนของนางไว้ด้านหลัง เพราะกลัวว่าจวินมั่วหรันจะโกรธและดุนางหากเห็นบาดแผลบนมือของนาง
จวินมั่วหรันแค่นเสียงหึในลำคอ ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดีของเขา
เขาอยากจะกระโดดขึ้นหลังม้าและจัดการเจ้าคนอวดนี้คนนี้บนหลังม้าให้รู้แล้วรู้รอด!
ครั้งนี้ เฟิงอู๋โยวต้องบาดเจ็บมากแน่ๆ เพราะอย่างนั้นเลยไม่กล้าแสดงให้ดู!
ช่างกล้าดี!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จวินมั่วหรันก็ก้าวไปข้างหน้าและกระชากเฟิงอู๋โยวลงจากหลังม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นก็จับนางยัดเข้าไปในราชรถหยก
มือพลันเอื้อมปิดม่านบนราชรถหยกทันที
“ท่านใต้เท้าคิดจะทำอะไร” เฟิงอู๋โยวถามอย่างกังวล มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าอกแน่น
“ยื่นมือออกมา”
“มันเป็นแค่แผลที่โดนโจ๊กร้อนๆ ลวก ไม่เป็นอะไรขอรับ” เฟิงอู๋โยวพยายามเบี่ยงแขนที่พองของนางหลบเพื่อไม่ให้เขาเห็น
แคว่ก!
เมื่อเห็นเฟิงอู๋โยวต่อต้าน จวินมั่วหรันก็ฉีกแขนเสื้อที่เปียกและเหนียวของนางทันที
“ทำไมท่านถึงมีปัญหากับเสื้อผ้าของข้าบ่อยนัก”
เฟิงอู๋โยวมองไปที่แขนเสื้อที่ขาดของตัวเอง พร้อมกับพึมพำอย่างไม่พอใจ
แต่จวินมั่วหรันรู้สึกปวดใจเมื่อเห็นแผลพุพองที่แขนของนาง “เฟิงอู๋โยว เกิดอะไรขึ้น”
ปลายนิ้วที่หยาบกร้านเล็กน้อยของเขาสัมผัสโดนแขนที่แดงเรื่อของนางเบาๆ แค่ทำเอานางสูดปากด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเห็นเช่นนี้ จวินมั่วหรันก็ตื่นตระหนกเกินทน เขาวางมือของนางไว้บนตักของนางเบาๆ และรีบตะโกนถามเถี่ยโส่วที่อยู่ด้านนอกราชรถหยก “มียาทาแผลหรือไม่”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เถี่ยโส่วจึงรีบโผล่หัวครึ่งหนึ่งเข้ามาในราชรถหยกและพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านใต้เท้า มือของท่านล้ำค่ากว่าของกระหม่อม กระหม่อมไม่คู่ควรที่จะทายาให้แม่ทัพเฟิงหรอกขอรับ”
“อย่ามากวนประสาทตอนนี้”
จวินมั่วหรันจนปัญญา ช่วงหลังมานี้เขารู้สึกไม่ไว้ใจเถี่ยโส่วมากขึ้นเรื่อยๆ
“ขอรับ”
เถี่ยโส่วมองไปที่แขนของเฟิงอู๋โยวอย่างขวยเขิน ก่อนรีบปิดม่านลงทันที
มุมปากซือมิ่งเกร็งกระตุก เขารีบดึงเถี่ยโส่วไปข้างๆ ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าโง่เถี่ยโส่ว ไฉนถึงทำหน้าขวยเขินเช่นนั้น”
เถี่ยโส่วทำเป็นไม่ได้ยิน มือข้างหนึ่งถือกระปุกยาทาแผลพุพองแน่น ใบหน้ายับยู่ยี่ “ผิวพรรณของแม่ทัพเฟิงแลดูบอบบางและนุ่มนิ่มยิ่งนัก แขนของเขาเต็มไปด้วยแผลพุพองจากความร้อน ข้ากังวลเหลือเกินว่าจะทิ้งรอยแผลเป็น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซือมิ่งก็ถึงกับตกใจยกมือปิดปากปิดจมูกของเถี่ยโส่วในบัดดล ก่อนกระซิบเอ่ย “เจ้าอยากตายนักหรือไร แขนของแม่ทัพเฟิงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเที่ยวมองและแสดงความคิดเห็นได้นะ”
“เป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ใช่หรือ แค่ดูแขนเขานิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป”
เถี่ยโส่วไม่เข้าใจ หากมีโอกาส เขายังคิดว่าจะชวนเฟิงอู๋โยวอาบน้ำด้วยกันอยู่!
“คนของท่านใต้เท้า เจ้ายังกล้ามองอยู่อีกหรือ”
ซือมิ่งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ก่อนคว้ากระปุกยาทาแผลสีทองในมือเถี่ยโส่วมาและยื่นส่งให้จวินมั่วหรันที่อยู่ข้างในราชรถหยกทันที
จวินมั่วหรันรับมา สายตามองลงไปที่แขนของเฟิงอู๋โยวที่เต็มไปด้วยแผล
มือของเขาดูหนาใหญ่ไปอย่างถนัดตาเมื่อเทียบกับแขนเล็กเรียวของนาง
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วและพยายามทายาให้นางอย่างเงอะงะ “เจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บขอรับ เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ท่านใต้เท้าไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ” เฟิงอู๋โยวไม่คิดว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส จริงๆ ไม่ต้องทายาก็สามารถฟื้นตัวให้หายเองได้ในเวลาไม่กี่วัน
แต่หารู้ไม่ว่าอาการบาดเจ็บขนาดเท่าเม็ดงาบนร่างกายของนาง ดูเหมือนจะร้ายแรงมากในสายตาของจวินมั่วหรัน
เขาค่อยๆ ทายาลงบนแผลของเฟิงอู๋โยวอย่างระมัดระวัง พลางพร่ำถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เป็นฝีมือของเจ้าเองกระนั้นหรือ”
“มันเป็นแค่อุบัติเหตุก็เท่านั้น”
“เฟิงอู๋โยว ฟังให้ดี จากนี้ไป ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลหรือข้อแก้ตัวมากมายเพียงใด เจ้าห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามจนตัวเองได้รับบาดเจ็บหรือต้องอยู่ในอันตรายเด็ดขาด”
“ขอรับ”
“เฟิงอู๋โยว เจ้าอย่าทำเป็นเล่นไป”
เมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของนาง จวินมั่วหรันก็โน้มตัวไปข้างหน้า แต่ก็พยายามเลี่ยงไม่ให้ร่างกายของเขาสัมผัสโดนแผลของนาง จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปใช้ริมฝีปากตัวเองขบงับริมฝีปากของนางเพื่อลงโทษ
ตอนที่ 208 การเตือนของเซ่อเจิ้งหวาง
เฟิงอู๋โยวถูกจวินมั่วหรันกัดแบบนี้จนชินแล้ว จนไม่รู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่แปลกใหม่อะไร
ถ้าเขาจูบแย่ นางคงผลักเขาออกไปทันทีที่ประกบริมฝีปากแน่นอน
“ท่านใต้เท้าเกิดปีจอหรือ ไฉนถึงชอบกัดปากกระหม่อมนัก”
จวินมั่วหรันพูดอย่างมั่นใจ “ข้ากำลังจูบเจ้าอยู่ ไม่ใช่กัด”
หลังจากพยายามดิ้นรนต่อต้านกับความรู้สึกที่ว่าตัวเองชอบผู้ชาย
ในที่สุด เขาก็ยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้
เมื่อได้ยินเข้าแบบนี้ เฟิงอู๋โยวก็อารมณ์ปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ “ไฉนท่านต้องมาจูบกระหม่อมด้วย กระหม่อมเป็นลูกผู้ชายจริงๆ นะ”
“ข้าทำกับเจ้าได้แต่เพียงผู้เดียว”
จวินมั่วหรันยกมือแตะริมฝีปากของเฟิงอู๋โยวเบาๆ สัมผัสที่ปลายนิ้วหยาบกร้านเล็กน้อย “เฟิงอู๋โยว ไฉนพวกเราถึงไม่สานต่อเรื่องที่พวกเรายังทำไม่เสร็จเมื่อคืนนี้ให้เสร็จก่อน”
“เรื่องอะไร”
“เจ้าคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะ” ดวงตาของจวินมั่วหรันลุ่มลึกและน้ำเสียงก็เริ่มแหบพร่า
“ไม่! ไม่ได้!”
เฟิงอู๋โยวส่ายหัวเหมือนเขย่าตะแกรงและผลักเขาออกไปทันที “องค์ชายท่านใต้เท้า ขืนทำแบบนั้นขึ้นมา ข้าจะ…”
“จะสัญญาด้วยร่างกายของเจ้า?” จวินมั่วหรันเอนตัวเข้ามาหานาง ดวงตาสีดำจ้องมองจนนางหน้าแดงเรื่อ
“ขืนท่านทำไปมากกว่านี้ ข้าจะตัดตอนท่านให้ดู!”
เฟิงอู๋โยวทำมือเหมือนกรรไกรและขยับมือเหมือนทำท่าจะตัดต่อหน้าเขา
เมื่อเห็นแบบนั้น จวินมั่วหรันก็สงบลงเล็กน้อย
บางทีเขาเผลอทำไปโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของนาง แต่ลึกๆ เขาก็หวังว่าสักวันหนึ่ง เฟิงอู๋โยวจะสมยอมเขาด้วยความเต็มใจ
“เฟิงอู๋โยว จำไว้ให้ดี ถ้าข้ายังไม่ได้ตัดสินใจจะปล่อยเจ้าไปไหน หากเจ้ากล้ามีสัมพันธ์อันใดกับชายหรือหญิงอื่น เจ้าจะต้องรับผลที่ตามมา”
“ผลที่ตามมา?”
เฟิงอู๋โยวเป็นพวกหัวรั้นจอมต่อต้าน เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวกึ่งบังคับและขู่ขวัญของเขา นางก็คิดอยากจะโต้กลับทันที
“หากเจ้ากล้าหนีออกนอกกำแพง ข้าคนนี้จะจับเจ้าด้วยมือของข้าเองแล้วขังเจ้าไว้ในกรง เป็นสัตว์เลี้ยงของข้าตลอดชีวิต”
“ไม่ออกข้างนอกขอรับ! ไม่ออก!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็ตัวสั่นทันที ในใจพลางคิดว่า ผู้ชายยืดได้หดได้ รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ดูจากรูปการณ์ตอนนี้ห้ามต่อต้านขัดใจเขาเด็ดขาด ดังนั้นปล่อยเขาไปสักครั้งคงไม่เป็นไร
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นางพูดจบ ภาพของเย่เชี่ยวผู้บอบบางและอู๋ฉิงผู้เยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นในหัวของนางทันที
อยู่ๆ ความหงุดหงิดก็ผุดพุ่งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นนางจึงคิดที่จะต่อรองกับจวินมั่วหรัน”ท่านใต้เท้า กระหม่อมคิดว่าท่านกำลังใช้อำนาจข่ม ไฉนกระหม่อมถึงไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนตามใจชอบ แต่ท่านกลับมีเหล่าสาวงามรอบตัว ก่อนหน้านี้ก็มีเย่เชี่ยวที่ทำแกงตุ๋นไก่มาให้อย่างเป็นห่วง ต่อมาก็มีอู๋ฉิงที่ยอมก้มหน้าทำงานให้ท่านอย่างไม่คิดชีวิต ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าระหว่างท่านกับพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
จวินมั่วหรันรู้สึกราวกับว่าเฟิงอู๋โยวกำลังคิดไปเอง ก่อนหน้านี้เขามัวแต่สงสัยในรสนิยมความชอบของตัวเองว่าตัวเขาสนใจผู้หญิงหรือไม่ ในทางตรงกันข้าม นางกลับมาสงสัยว่าเขาคิดอะไรกับเย่เชี่ยวและอู๋ฉิง
เขาบ่นอุบในใจ บางทีเขาอาจจะตามใจนางมากไป ทำให้นางทำตัวแบบนี้จนติดเป็นนิสัย
ครั้นแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงและดุนางเสียงเรียบ “เฟิงอู๋โยว เจ้าอย่าได้สร้างปัญหาที่มันไม่เคยมีมาก่อนเสียดีกว่า”
เมื่อเห็นท่าทางของจวินมั่วหรันไม่เต็มใจจะอธิบายความสัมพันธ์ของเขากับอู๋ฉิง เฟิงอู๋โยวก็พลันขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย “คนปลิ้นปล้อน! ท่านไม่ชอบกระหม่อม ท่านแค่ต้องการร่างกายของกระหม่อมเท่านั้น!”
“อย่ามาล้อเล่น ข้าผู้นี้กระหายในตัวเจ้าแค่ไหน อยากได้เจ้าแค่ไหน เจ้าก็รู้ เจ้าต่างหากที่ไม่ต้องการข้า!”
จวินมั่วหรันโกรธมาก เขาคิดว่าตัวเองสามารถอดทนกับนิสัยของเฟิงอู๋โยวได้ แต่แล้วเขากลับถูกนางกวนประสาทจนตบะแตกทุกครั้งไป
เดิมทีเขาอยากจะบอกนางว่าตัวเขาไม่ใช่พวกลามกจนขึ้นสมอง การที่เขาใคร่อยากให้ตัวนางนั้น เป็นเพราะเขาชอบคนอย่างนาง ดังนั้นจึงรู้สึกอยากเป็นเจ้าของนางทุกครั้งที่เข้าใกล้
แต่จวินมั่วหรันเป็นพวกแสดงออกไม่ค่อยเก่ง
การที่เฟิงอู๋โยวไม่เปิดโอกาสให้แบบนี้ นิสัยเย่อหยิ่งในตัวเขา ไม่ยอมให้เขาลดตัวเองลงไปเกลี้ยกล่อมนางให้เสียภาพลักษณ์แน่นอน
ใบหน้าของจวินมั่วหรันเริ่มมืดมนลงเรื่อยๆ ก่อนนั่งยืดตัวตรง
สายตาของเขาจ้องมองไปที่วิวทิวทัศน์ที่เคลื่อนคล้อยผ่านช่องหน้าต่างไป ทว่าหางตากลับแอบชำเลืองมองเฟิงอู๋โยวอยู่อย่างใส่ใจ
เฟิงอู๋โยวนั่งกอดเข่าตัวสั่นระริกที่มุมราชรถหยก
นางคิดในใจ คงเป็นเพราะเคยมีสัมพันธ์ใกลชิดกับจวินมั่วหรันมาก่อน ทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของขึ้นมา
แต่สุดท้าย จวินมั่วหรันก็ทนไม่ไหว เข้าหันกลับมาและพุ่งเข้าหาเฟิงอู๋โยวจนหลังชิดผนังราชรถหยก “เฟิงอู๋โยว เชื่อหรือไม่ว่าข้าจัดการ จ้าบนราชรถหยกได้ตอนนี้เลย”
สายตาเฉียบคมของเฟิงอู๋โยวหรี่ลง “ในเมื่อท่านอ่อนโยนกับอู๋ฉิงขนาดนั้น ไฉนจึงไม่ไปหานางเล่า”
“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับอู๋ฉิง”
จวินมั่วหรันรู้สึกปวดขมับ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฟิงอู๋โยวต้องสนใจเรื่องของอู๋ฉิงขนาดนั้น
แต่เมื่อสังเกตเห็นท่าทางผิดปกติของนางแล้ว เขาจึงสูดลมหายเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ก่อนจะยอมรับผิดออกมา “ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรทำให้เจ้าตกใจ”
เฟิงอู๋โยวไม่คิดไม่ฝันว่าคนนิสัยเย่อหยิ่งอย่างจวินมั่วหรันจะเป็นฝ่ายยอมรับผิดด้วยตัวเองแบบนี้ ภายในใจพลันชื่นมื่นขึ้นมาทันที ความอึมครึมในใจเมื่อครู่สลายไปเป็นปลิดทิ้ง
“หนูน้อยขี้งอน!”
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยวที่ผุดยิ้มมุปากอย่างโล่งใจ
เขากังวลว่าเฟิงอู๋โยวจะแผงฤทธิ์และพูดถึงอู๋ฉิงขึ้นมาอีกครั้ง ครั้นแล้วจึงพยายามเปลี่ยนประเด็น “ไหนบอกข้ามาสิว่าเจ้าไปทำอะไรที่หมู่บ้านหลิวเจีย”
เฟิงอู๋โยวทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “อันที่จริง หมู่บ้านหลิวเจียไม่ได้มีโรคระบาดตามธรรมชาติแม้แต่น้อย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเกิดจากฝีมือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ฝังหนอนโลหิตลงบนร่างกายชาวบ้านที่นั่น ทำให้พวกเขาเสียการควบคุมและขาดสติ เจอคนเมื่อไหร่และจะวิ่งเข้ากัดทันที และคนที่ถูกกัดก็จะกลายเป็นแบบพวกนั้นสืบต่อไป เมื่อถูกหนอนโลหิตเข้ายึดร่าง เจ้าของร่างจะไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ หนอนโลหิตที่ว่านั้นมีลักษณะเหมือนพวกสัตว์ปรสิต หากไม่มีเลือดคอยหล่อเลี้ยงมันก็จะตาย ดังนั้น คนที่ถูกหนอนโลหิตเข้ายึดร่างจะมีอาการขาดเลือดอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้ผิวซีดขาว”
หลายปีมาแล้ว จวินมั่วหรันได้ยินมาจากกู่หนานเฟิงเกี่ยวกับวิชาหนอนปรสิตอันเลื่องชื่อของแคว้นหนานเจียง
เขารู้จักหนอนโลหิตก็จริง
แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ ทั้งที่เฟิงอู๋โยวเป็นคนจากแคว้นเป่ยหลี่ แต่ทำไมถึงรู้จักวิชาหนอนปรสิตของแคว้นหนานเจียงได้
จะว่าไป หลายปีก่อนหน้านี้ นางได้แต่ออกทำศึก แล้วนางไปเอาเวลาที่ไหนมาเรียนรู้วิชาการแพทย์
แววสงสัยผุดขึ้นในดวงตาจวินมั่วหรันรำไร เขารู้สึกว่าในตัวเฟิงอู๋โยวมีความลับบางอย่างที่ไม่อยากบอกให้ใครรู้ซ่อนอยู่
“นี่! ท่านใต้เท้าอย่ามองกระหม่อมแบบนั้นสิ”
เฟิงอู๋โยวเห็นท่าทีแน่นิ่งของจวินมั่วหรันก็เข้าใจผิดคิดว่าเขาคล้อยตามคำพูดของนาง จึงยักคิ้วอย่างได้ใจ
จวินมั่วหรันตั้งสติกลับมาได้ก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ชาวบ้านทั่วไปที่เริ่มรู้ข่าวโรคระบาดที่เปลี่ยนชาวบ้านจากหมู่บ้านหลิวเจียเป็นผีดูดเลือด ก็ต่างพากันเสียขวัญและหลีกหนี แต่เจ้ากลับกระโจนเข้ามาในหมู่บ้านอันตรายแบบนั้นโดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเองแม้แต่น้อย ช่างทำได้ดีเหลือเกิน!”
เฟิงอู๋โยวตอบกลับ “ชาวบ้านในหมู่บ้านหลิวเจียล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบเพราะฝีมือใครบางคน หลังจากที่กระหม่อมมาถึงและตรวจสอบบางอย่างไปก็ พอพบเบาะแสมาบ้าง กระหม่อมตั้งใจอยากรักษาพวกเขาให้เป็นปกติ อันที่จริงพวกเขาไม่ได้ป่วยหนักจนเกินเยียวยา ผิวหนังที่แห้งกรอบแตกง่ายและผิวที่ซีดขาวก็ล้วนมาจากหนอนโลหิตที่อยู่ในตัวพวกเขาดูดเลือดในร่างกายไปมาก พวกหนอนโลหิตไม่ใช่หนอนธรรมดา พวกมันก้าวร้าวและไม่เชื่อฟังใคร แต่ถ้าใครให้เลือดเป็นอาหารแก่มัน พวกมันก็เชื่อฟังผู้นั้น”
“ดังนั้น เพื่อควบคุมหนอนโลหิต เจ้าจึงใช้เข็มเงินแทงแขนตัวเองและจุ่มไปในโจ๊กร้อนๆ ลวกแขนเพื่อรีดเลือดเลือดออกมากระนั้นหรือ” คิ้วจวินมั่วหรันขมวดเล็กน้อย
เฟิงอู๋โยวมักมีเรื่องทำให้เขาแปลกใจอยู่เสมอ
แต่เขาอยากให้นางอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขามากกว่า เพราะเขาไม่อยากให้นางบาดเจ็บหรือมีโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีเรื่องกังวลใจใดๆ
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองแผลบนแขนของตัวเองอย่างไม่สนใจ “มันเป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นอกจากนี้ ยาทาแผลของท่านก็ดีมาก อีกสักครู่ก็น่าจะหายเป็นปกติ”
“ห้ามทำแบบนี้อีกเด็ดขาด”
“แล้วจะพยายาม”
เฟิงอู๋โยวตอบโต้อย่างลวกๆ เปิดม่านรถอย่างสบายใจ และรอคอยยามยามราตรีที่กำลังมาเยือน
นางไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่สำหรับไป๋หลี่เหอเจ๋อที่เคยทำเรื่องเลวทรามกับนาง นางอภัยให้ไม่ได้จริงๆ
…
เวลากลางดึก ณ ทางเข้าหมู่บ้านหลิวเจีย
เฟิงอู๋โยวในชุดสีแดงนั่งไขว่ห้างบนคันนา นางถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น
“เจ้าไป๋หลี่เหอเจ๋อเคลื่อนไหวช้าเหลือเกิน! ทำไมยังไม่โผล่หน้ามาอีก!”
จวินมั่วหรันชำเลืองมองท่าของเฟิงอู๋โยว อยู่ๆ ก็ รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “นั่งดีๆ ไม่ได้หรือ”
เฟิงอู๋โยวไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรให้จวินมั่วหรันเคืองใจ แต่กระนั้นก็หันไปมองท่านั่งของเขา
แต่เขากลับนั่งไขว่ห้างเหมือนนางไม่มีผิด
“ไฉนท่านใต้เท้าถึงกล้าพูดกับกระหม่อมเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ท่านใต้เท้าก็นั่งในท่าเดียวกันกับกระหม่อม”
“พวกเราเหมือนกันกระนั้นหรือ” จวินมั่วหรันถามเฟิงอู๋โยว เพราะตอนนี้เขาคิดว่าผู้ชายบอบบางอย่างนางไม่ควรนั่งไขว่ห้าง
“อะไรคือความแตกต่างไม่ทราบ”
เฟิงอู๋โยวบ่นอุบ แต่กระนั้นก็ยอมปรับท่านั่งของตัวเองให้ดูสำรวมมากขึ้น
จวินมั่วหรันเป็นคนอารมณ์ร้ายและมีกฎเกณฑ์มากมาย ดังนั้น หากนางพอยอมอะไรเขาได้ก็ควรยอมๆ ไปหน่อย ถือว่าเป็นผลดีที่สุด