ตอนที่ 235 ฟู่เย่บุกเข้าเรือนแพทย์ยามวิกาล
ณ ห้องโถงท้ายเรือนแพทย์พยากรณ์
ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่อง เฟิงอู๋โยวกำลังยืนอยู่ด้านในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนผ้าขี่ม้า
แต่โชคไม่ดีที่ฟู่เย่เฉินสังเกตเห็นเงาร่างเล็กๆ วิบไหวอยู่ในห้องน้ำอยู่คนเดียว
เขายืนอยู่บนขอบหลังคา และมองผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ เข้าไปด้านในห้องน้ำ
อย่าบอกนะว่าเฟิงอู๋โยวปัสสาวะในท่าของผู้ชาย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฟู่เย่เฉินก็ยิ่งรู้สึกสนใจในตัวเฟิงอู๋โยวมากขึ้น เขากระโดดลงมาจากหลังคามายืนอยู่ด้านนอกห้องน้ำ ก่อนยื่นมือลอดผ่านช่องหน้าต่างไปจับท้ายทอยของนางอย่างนึกสนุก “เฟิงอู๋โยว นี่เจ้ายืนปัสสาวะกระนั้นหรือ”
เฟิงอู๋โยวตกใจจนหัวใจแทบร่วงไปที่ตาตุ่ม นางรีบเปิดประตูออกมาข้างนอกอย่างโมโห
นางถลึงตาใส่ใบหน้าทะเล้นของฟู่เย่เฉิน ก่อนกัดฟันพูด “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า!”
ฟู่เย่เฉินถูจมูกตัวเองไปมา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ “ยืนปัสสาวะก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ดูน่ารักดีออก”
“มาหาข้ายามวิกาล ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร” เฟิงอู๋โยวไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับฟู่เย่เฉิน ดังนั้นจึงถามออกไปตรงๆ
ฟู่เย่เฉินเห็นว่าเฟิงอู๋โยวดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจต้อนรับเขาเท่าไร แต่กระนั้นก็เอ่ยปากพูดออกไปตรงๆ “อู๋โยว แม้ว่าข้าจะสนิทกับอาเจ๋อ แต่ข้ากับเขาเป็นคนละคนกัน เขาก็คือเขา ข้าก็คือข้า ดังนั้นอย่ามองข้าเป็นคนประเภทเดียวกับเขาได้หรือไม่”
“ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำ[1]“
“ในเมื่อเจ้าไม่เข้าใจความเจ็บปวดของอาเจ๋อที่ผ่านมา เช่นนั้นมันก็ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมอาเจ๋อถึงเกลียดจวินมั่วหรันมากนัก ชีวิตของเขาถูกทำลายโดยจวินมั่วหรัน และตัวเขาต้องนอนอยู่ในเรือนแพทย์หลวงอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง”
เฟิงอู๋โยวขี้เกียจฟังเรื่องไร้สาระของเขา นางจึงขัดจังหวะเขา “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อได้รับความเจ็บปวดแบบไหนมา แต่ข้าเชื่อในสิ่งตาของข้าเห็นเท่านั้น การฆ่าฉู่สือซื่อทั้งที่เป็นแค่เด็กแบบนั้น เขาทำได้อย่างไร เขายังมีจิตสำนึกความเป็นคนอยู่หรือไม่”
เดิมทีฟู่เย่เฉิน คิดว่าเฟิงอู๋โยว เป็นเหมือนกับพวกเขา คล้ายกับอาชูร่ากระหายเลือดที่พร้อมจะเข่นฆ่าทุกชีวิตเพื่อสังเวยให้กับอนาคตที่สดใสใของตัวเอง
แต่นางที่อยู่ต่อหน้าตอนนี้ กลับเปี่ยมไปด้วยดวงตาแห่งความเที่ยงธรรมและมนุษยธรรม ความจริงข้อนี้ทำให้นางดูใสสะอาดและสวยงามเพิ่มขึ้นเป็นกอง
เฟิงอู๋โยวไม่อยากพาลใส่ฟู่เย่เฉินเพียงเพราะเรื่องของไป๋หลี่เหอเจ๋อ หลังจากสงบลงเล็กน้อย นางก็ถามช้าๆ “ทำไมเจ้าถึงบินเหาะเหินกระโดดข้ามกำแพงไปมากลางดึก”
เฟิงอู๋โยวเดินไปข้างหน้า ชุดสีแดงฉานโบกสะบัด ขับสีสันของเขาให้ดูเหมือนสัตว์ประหลาดแห่งโลกโลกีย์ที่มาเยือนยังมนุษย์
เขาพับพัดด้ามจิ้วในมือและพูดอย่างจริงจัง”ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกเป่ยถางหลงถิงทำร้าย”
“มันเป็นแค่ข่าวลือ! ข้าแข็งแกร่งจะตาย จะถูกสุนัขอย่างตระกูลเป่ยถางทำร้ายได้อย่างไร”
เฟิงอู๋โยวไม่คาดคิดว่าฟู่เย่เฉินจะรู้เรื่องว่านางถูกทำร้ายเร็วขนาดนี้
“ปากแข็ง”
ฟู่เย่เฉินส่ายหัว แค่มองท่าทางเลิ่กลั่กของเฟิงอู๋โยว ก็รู้แล้วว่าว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง
เฟิงอู๋โยวปฏิเสธเสียงเรียบ “สรุปสั้นๆ เจ้าพวกหมาบ้าจากตระกูลเป่ยถางทำอะไรข้าไม่ได้และถูกสั่งสอนโดยเซ่อเจิ้งหวางจนหนีตะเพิดไปแล้ว”
ฟู่เย่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เฟิงอู๋โยวพูดมาแปลกๆ ชอบกล ตามหลักแล้ว จวินมั่วหรันไม่มีทางปล่อยคนที่ทำร้ายเฟิงอู๋โยวอย่างเป่ยถางหลงถิงไปง่ายๆ แบบนี้แน่นอน
อีกอย่าง ลูกสาวคนสำคัญของเป่ยถางหลงถิงเป็นต้นเหตุที่ทำลายชื่อเสียงของเฟิงอู๋โยว จนทำให้เฟิงอู๋โยวหนีลี้ภัยมาที่แคว้นตงหลินด้วยความสิ้นหวัง แน่นอนว่า ถ้าจวินมั่วหรันเจอตัวเข้า พวกเขาสองพ่อลูกไม่มีทางรอดไปได้แน่นอน
“ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปทวงคืนความยุติธรรม”
ขณะที่ฟู่เย่เฉินพูดขึ้น เขาก็จับข้อมือของนางและคว้านางเข้ามาในอ้อมแขน
“ไม่จำเป็น” เฟิงอู๋โยวปฏิเสธเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
นางรู้ว่าฟู่เย่เฉินนั้นไร้ความปราณี แต่นางไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเขา และยิ่งไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณกับเขา
แต่ในช่วงที่นางไม่ทันตั้งตัว ฟู่เย่เฉินอาศัยจังหวะนั้นกระชับกอดเอวของนางก่อนกระโดดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และบินข้ามชายคาภายใต้ท้องฟ้าราตรี
เฟิงอู๋โยวที่ใช้วิชาตัวเบาไม่เป็น จึงเกิดกลัวความสูงขึ้นมา
ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางทำได้แต่กำสาบเสื้อคลุมด้านหน้าของเขาแน่น “มันสูงเกินไปแล้ว ห้ามปล่อยข้าลงเชียวนะ!”
ฟู่เย่เฉิน หัวเราะ เขาชอบท่าทางดื้อรั้นที่เจอแววความกลัวบางๆ แบบนี้ของ เฟิงอู๋โยว จริงๆ
ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดู
เวลาโมโหก็ดูดุเหมือนหมาแม่ลูกอ่อน
เวลากลัวก็มีความน่ารักน่าหลงใหล ชวนเข้าหา
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นและเห็นรอยยิ้มกระหย่อมของฟู่เย่เฉิน ครั้นจึงกัดฟันด้วยความโกรธ “ฟู่เย่เฉิน เจ้าจงใจทำให้ข้ากลัวกระนั้นหรือ”
“ไฉนเจ้าทำตัวไม่สมกับที่เป็นเจ้าเลย เจ้าเป็นถึงแม่ทัพฝีมือดีจากแคว้นเป่ยหลีที่มีชื่อเสียง ไฉนถึงไม่คุ้นชินกับวิชาตัวเบา”
เฟิงอู๋โยว หน้าซีดลงเพราะรู้สึกว่าท้องเริ่มปั่นป่วน
เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิงอู๋โยว ไม่ค่อยสู้ดีนัก ฟู่เย่เฉินจึงลดระดับความสูงลงและวางนางในสภาพตัวสั่นลงมุมชายคาก่อนถึงที่พักของเป่ยถางหลงถิง
“บินเร็วเกินไปใช่หรือไม่ หูของเจ้าเจ็บเพราะถูกลมโกรกกระนั้นหรือ”
เขายื่นผ้าเช็ดหน้าผ้าให้นางและพูดเบาๆ “ตอนที่ข้าเรียนวิชาตัวเบาเป็นครั้งแรก ก็มักจะรู้สึกวิงเวียนและไม่สบายตัวแบบนี้อยู่เป็นประจำ พี่ชายของข้ามักจะเตรียมผ้าเช็ดหน้าแช่ในน้ำผิวเปลือกส้ม เมื่อได้กลิ่น ความรู้สึกไม่สบายตัวก็จะบรรเทาลงอย่างมาก”
เฟิงอู๋โยว คิดในใจ…ฟู่เย่เฉินคงคิดถึงพี่ชายผู้ล่วงลับของเขามากๆ เป็นแน่
มิฉะนั้น เขาคงไม่พกผ้าเช็ดหน้าแช่ในน้ำผิวเปลือกส้มติดตัวอยู่ตลอดแบบนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้นช้าๆ “ถ้าเจ้าคิดถึงพี่ชายของเจ้ามาก ทำไมไม่ไปจุดโคมลอยให้กับญาติผู้ล่วงลับในช่วงเทศกาลโคมไฟเพื่อแสดงความเสียใจล่ะ”
ฟู่เย่เฉินไม่ค่อยพูดถึงการสังหารหมู่ในครอบครัวของเขาเองเท่าไร หากเขานึกถึงเรื่องนี้ ยามเขามีเวลาว่างก็มักจะดื่มสุราเพื่อบรรเทาอาการเศร้าโศกในใจตน
เมื่อเห็นดวงตาของเฟิงอู๋โยวที่ส่องประกายราวกับดวงดาว หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนถามเบาๆ “เจ้าพอจะไปจุดโคมลอยเป็นเพื่อนข้าในปีหน้าได้หรือไม่”
“ถ้าข้ายังอยู่ที่แคว้นตงหลินอยู่ ข้าจะไปกับเจ้าอย่างแน่นอน”
เฟิงอู๋โยวตกลงอย่างง่ายดาย
ตอนแรกนางเกลียดฟู่เย่เฉินมาก แต่ไม่นานมานี้ นางพบว่าเขาไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่คาดไว้
จากการวิเคราะห์ของนาง ฟู่เย่เฉินเป็นเพียงชายผู้ขาดความรักที่ใช้เวลาครึ่งชีวิตไปกับการแก้แค้น
ตรงจุดนี้ เขาดูคล้ายกับไป๋หลี่เหอเจ๋อมาก
“ข้ากลัวว่าเมื่อยามดอกท้อผลิบาน จิตวิญญาณของข้าจะลอยไปที่ใดหารู้ไม่”
ฟู่เย่เฉินยิ้มอย่างลุ่มลึก ดวงตาของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นแววเป็นสุขอยู่รำไร
หลังจากขบคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ อยู่ๆ เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกว่าคำพูดที่ดูเหมือนจะติดตลกของฟู่เย่เฉินนั้นแฝงไปด้วยลางร้ายแปลกๆ ชอบกล
[1]ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำ หมายถึงเมื่ออยู่คลุกคลีกับบุคคลหรือสภาพแวดล้อมแบบใดก็จะเอนเอียงคล้อยตามไปเช่นนั้น คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล