ตอนที่ 242 เซียนแห่งห้วงนิทรา / ตอนที่ 243 ถูกความหล่อปลุกจนตื่น
ตอนที่ 242 เซียนแห่งห้วงนิทรา
จวินมั่วหรันเกาหัวอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนตั้งสติพูดอย่างใจเย็น “เจ้าลองดูคำสำนึกผิดของข้าและสลับกลับไปดูของเจ้า ลำพังแค่จำนวนตัวอักษรก็เทียบกันไม่ติดแล้ว แล้วเจ้ายังมีเวลามาแต่งเรื่องคำแก้ตัวพวกนี้อีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็บ่นอย่างหงุดหงิด “ดอกไม้ในบ้านหอมไม่เท่าดอกไม้ป่า[1] มันน่ารำคาญจริงๆ”
จวินมั่วหรันโกรธจนกือบจะเขกหัวนางไปแล้ว แต่พอย้อนนึกว่านางเรียกตัวเองว่า ‘ดอกไม้ในบ้าน’ มุมปากทั้งสองข้างก็ยกขึ้นอย่างดีใจ
เขานั่งลงข้างๆ นาง เหยียดขายาวๆ ออกไปข้างหน้า และเลื่อนมือมาวางไว้บนหน้าท้องอย่างคุ้นเคย “เจ้าเริ่มกล้าดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!”
บางทีฝ่ามือของเขาอาจอุ่นสบายเกินไป ไม่นานนางล้มฟุบลงนอนบนโต๊ะทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ จวินมั่วหรันก็ยกมือขึ้นแตะแก้มของนางเบาๆ แล้วกระซิบเอ่ย “เมื่อไหร่เจ้าจะเปิดใจได้สักที”
ฟุบ!
นางสะบัดมือขึ้นมาปัดมือของเขาออก ทำให้ขวดแก้วใต้แขนเสื้อร่วงลงมา
จวินมั่วหรันหยิบขวดแก้วขึ้นมา ภายในบรรจุยาบางอย่างเอาไว้อยู่ เขาเพียงยกขึ้นมาสูดดมอยู่ห่างๆ
เขามีประสาทรับกลิ่นที่เฉียบแหลมเป็นพิเศษ แม้ว่าเขาอาจไม่คุ้นเคยกับยาสมุนไพรเท่าไร แต่เขาก็พอแยกแยะสมุนไพรบางชนิดได้อย่างแม่นยำ
ผงชะมดกับว่านพร้าว…
สิ่งเหล่านี้ใช้กับผู้หญิงได้อย่างไร
เขาลุกขึ้นพรวด อุ้มเฟิงอู๋โยวที่หลับไว้ในอ้อมแขนและเดินไปที่ห้องนอนของกู่หนานเฟิง
ในเวลานั้น กู่หนานเฟิงกำลังนอนอยู่บนหลังม้าอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ทู่ทู่น่ารักขนาดนี้ รังแกทู่ทู่ได้อย่างไร”
เขาละเมอพึมพำ จากนั้นก็สัปหงกตกจากหลังม้า ก่อนที่เขาจะลืมตาตื่น ก็ไม่วายสบถทิ้งท้าย “เฮงซวย ไอ้หมาระย่ำ บังอาจย่ำยีบั้นท้ายแน่นๆ ของทู่ทู่”
จวินมั่วหรันหมดคำจะพูด ตั้งแต่กู่หนานเฟิงมาอยู่ที่นี่ นิสัยเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
กู่หนานเฟิงยืนขึ้นอย่างสะลึมสะลือและกำลังฟุบหลับบนหลังม้าอีกครั้ง แต่ก็สังเกตเห็นจวินมั่วหรันยืนอยู่ตรงหน้าเขา ต่อมาก็ผละถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างตกใจ “ตกใจหมดเลย!”
จวินมั่วหรันขี้เกียจอธิบายให้เขาฟัง จึงรับโยนขวดแก้วของเฟิงอู๋โยวไปให้กู่หนานเฟิงทันที “ยานี้มีฤทธิ์อะไรบ้าง”
ฟึบ!
กู่หนานเฟิงจุดตะเกียงน้ำมันขึ้น จากนั้นก็เทยาสมุนไพรที่ในขวดแก้วใส่ลงในครกหินแล้วบดให้เป็นผงละเอียด
เขาแตะผงยาเบาๆ ขยี้ด้วยปลายนิ้ว ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนหน้าไปมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังหลับสบายในอ้อมแขนของจวินมั่วหรันอย่างตกใจ “มีคนวางยานาง” จวินมั่วหรันขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นสุดขั้วหัว “ยาพิษ?”
กู่หนานเฟิงพูดอย่างดูเคร่งขรึม “ มันเป็นพิษเรื้อรังที่ค่อยๆ ทำลายร่างกายของนางจากภายใน สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือส่วนผสมขอยาที่มีชื่อเล่นว่า ‘เม่ยเซียน’ หรืออีกฉายาหนึ่งก็คือ ‘เซียนแห่งห้วงนิทรา’ จัดเป็นสมุนไพรลึกลับหายาก มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับบางๆ แต่หากใช้มันเป็นเวลานานติดต่อกันอาจทำให้เข้าสู่ภาวะนอนหลับใหลจนตายได้”
“ภาวะนอนหลับใหลจนตาย?”
“ตามหลักแล้ว ผู้ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตลอดหลายปีไม่มีทางหลับไหลจนตายได้ หรืออาจส่งผลให้นางหลับไม่ตื่นจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราก็เป็นได้”
“แล้วจะถอนพิษได้เยี่ยงไร”
ดวงตาของจวินมั่วหรันค่อยๆ มืดมนลง ในใจกระวนกระวายเป็นที่สุด
กู่หนานเฟิงส่ายหน้า “ไม่มียาถอนพิษขอรับ กระหม่อมทำอะไรไม่ได้จริงๆ พึงจำเอาไว้ว่า ห้ามใช้ยาพรรค์นี้อีก ไม่เช่นนั้นได้นอนหลับไม่ตื่นไปตลอดกาลแน่นอน”
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยว อยู่ๆ ก็รู้สึกว่านางช่างน่าสงสารจับใจและไร้ที่พึ่งพิง
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าลำพังแค่เขาคนเดียวก็น่าจะสามารถปกป้องนางได้อย่างทุกวิถีทาง
แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่อาจปกป้องนางได้จากทุกสิ่ง
ทวนเปิดเผย หลบหลีกง่ายจากเบื้องหน้า เกาทัณฑ์ลับหลัง ยากระวังจากเบื้องหลัง
ตอนที่ 243 ถูกความหล่อปลุกจนตื่น
ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบเข้าใกล้มาเรื่อยๆ
ขณะที่จวินมั่วหรันกำลังจะพาเฟิงอู๋โยวกลับไปที่ห้องนอน หัวหน้าขันทีแห่งราชสำนักวังหลวงก็นำขันทีหนุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา
เมื่อเห็นเฟิงอู๋โยวที่งดงามราวกับหยกในอ้อมแขนของจวินมั่วหรัน ซูเต๋อไห่ก็ตกใจขึ้นเล็กน้อย
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เขาก็ละสายตาออกมาและกล่าวด้วยความเคารพ “กระหม่อมขอเรียนเชิญท่านใต้เท้าด้วยขอรับ”
“เรียนเชิญเรื่องอะไร”
ซูเต๋อไห่คลี่ยิ้ม “ขอเรียนท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมได้รับบัญชามาจากฮ่องเต้ให้มาอ่านราชโองการและประทานรางวัล ให้กับ หมอวิเศษแซ่เฟิงในฐานะที่เขาสร้างคุณงามความดีแก่แคว้น”
“อ่านมา”
“ด้วยพระบัญชา ฮ่องเต้ทรงตรัสว่า ด้วยความฉลาดและไหวพริบของแม่ทัพเฟิง ทำให้คลี่คลายคดีหมู่บ้านหลิวเจียได้อย่างชาญฉลาด ทำให้ช่วยชีวิตชาวบ้านได้มากกว่าหกร้อยคน นับเป็นการกระทำที่กล้าหาญ นับเป็นวีรกรรมอันสูงส่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีที่มีต่อประชาชนและแคว้น ข้าขอประกาศความชอบธรรม ขอแต่งตั้งให้เฟิงอู๋โยวเป็นทหารองครักษ์พกดาบส่วนพระองค์ลำดับสาม ไม่ว่าข้าไปว่าราชกิจที่แห่งหนใด เฟิงอู๋โยวต้องติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่ง ข้าหวังว่ารางวัลที่ข้ามอบให้จะคู่ควรแก่วีรกรรมอันน่าชื่นชมของเจ้า…ด้วยความนับถือ จี้มั่วอิ้นเหริน”
“ไปให้พ้น!”
จวินมั่วหรันแผดร้องตวาดอย่างโมโห
ซูเต๋อไห่ตัวสั่นเพราะกลัวจากรังสีกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากรอบๆ ตัวจวินมั่วหรัน ก่อนพูดขึ้นเสียงสั่น “ท่านใต้เท้าโปรดใจเย็น”
จวินมั่วหรันไม่คิดว่าจี้มั่วอิ้นเหรินจะกล้าทำถึงขนาดนี้
เดิมทีเขาวางแผนยื่นข้อเสนอให้เฟิงอู๋โยวเป็นแม่ทัพสูงสุดแห่งกองกำลังปกป้องแคว้น แต่จี้มั่วอิ้นเหรินกลับมอบตำแหน่งอีกอย่างให้กับนาง
องครักษ์พกดาบส่วนพระองค์บ้าบออะไร
จี้มั่วอิ้นเหรินทำแบบนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเก็บนางไว้ข้างกาย!
จวินมั่วหรันโกรธมาก กระชากซูเต๋อไห่เข้ามาก่อนเหวี่ยงกระเด็น จากนั้นก็อุ้มเฟิงอู๋โยวที่กำลังนอนหลับสนิทขึ้นราชรถและมุ่งหน้าไปที่วังหลวงทันที
ซูเต๋อไห่ปาดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก เขาเดินโซเซออกจากเรือนแพทย์พยากรณ์ ก่อนพบว่าราชรถของตัวเองถูกจวินมั่วหรันเอาไปแล้ว
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสะบัดผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมแล้ววิ่งตามราชรถไปอย่างอ้อนแอ้น
แสงอรุณนวลผ่องทอแสงมาจากทิศตะวันออก ยังมีม่านน้ำค้างล่องลอยในอากาศให้เห็นเบาบาง
เมื่อจวินมั่วหรันก้าวเข้าสู่วังหลวงในขณะที่อุ้มเฟิงอู๋โยวไว้ในอ้อมแขน เหล่าขุนนางพลเรือนและทหารทั้งหมดต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ทุกคู่สายตามองไปที่ใบหน้าฟกช้ำของจวินมั่วหรันอย่างตกใจ
ไม่นาน ข่าวลือเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่ว
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเซ่อเจิ้งหวางจะถูกตีจนสมองกลับแล้ว ไม่นึกว่าเขาจะอุ้มหนุ่มหน้าสวยบุกเข้าวังหลวงแบบนั้น”
“คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาคือแม่ทัพเฟิงจากแคว้นเป่ยหลี่ไม่ใช่หรือ”
“การกระทำของเซ่อเจิ้งหวางช่างผิดจารีตและยังเป็นการดูหมิ่นฮ่องเต้ แคว้นตงหลินต้องมีอันเป็นไปแน่ๆ”
…
จี้มั่วอิ้นเหรินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เขาลุกขึ้นพรวดก่อนพูดขึ้นอย่างลังเล “เซ่อเจิ้งหวาง นี่มันอะไรกัน”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จี้มั่วจื่อเฉินจึงพูดขึ้น “อาหรัน ไฉนถึงพาอู๋โยวมาว่าราชกิจด้วย”
จวินมั่วหรันพูดช้าๆ “เรื่องของข้า”
ทันใดนั้น เปลือกตาของเฟิงอู๋โยวก็ขยับเล็กน้อย นางยกมือขึ้นจับหน้าจวินมั่วหรันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนพูดงึมงำขึ้นมา “ท่านใต้เท้าเงียบหน่อยได้หรือไม่ เสียงท่านมันหนวกหูจนข้านอนไม่หลับ”
ทันทีที่นางพูดคำเหล่านั้น ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจเป็นเสียงเดียว
ทุกคนตกตะลึงราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ
สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางประหลาดใจก็คือคำว่าสั้นๆ แต่อ่อนโยนของจวินมั่วหรันว่า “ได้ๆ”
มุมปากฟู่เย่เฉินเกร็งกระตุก เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นด้านนี้ของจวินมั่วหรัน
เมื่อเห็นจวินมั่วหรันผ่อนเสียงลง เหล่าขุนนางก็ไม่กล้าพูดเสียงดังตามไปด้วย
จี้มั่วอิ้นเหรินมองไปที่ขุนนางผู้ทำหน้าที่จดบันทึก เพราะเขาอยู่ไกลกว่าจะได้ยินว่าเฟิงอู๋โยวกับจวินมั่วหรันพูดอะไรกัน เขาทำได้เพียงเดาจากรูปปากเท่านั้น
เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ก่อนปัดมืออย่างหงุดหงิด ทำให้ขันทีที่อยู่ข้างหลังเขาเปล่งพูดเสียงดัง “ถ้ามีอะไรก็ออกไปจากท้องพระโรงว่าราชกิจเสีย”
ทันใดนั้น เฟิงอู๋โยวก็เหยียดแขนขาของนางเหมือนแมวยืดเส้นอยู่ในอ้อมแขนของจวินมั่วหรัน
นางลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมาและเผลอกอดคอของจวินมั่วหรันอย่างไม่รู้ตัว ภายในเสี้ยวเวลาเพียงประกายแสง ปากของนางก็ประกบกับริมฝีปากบางๆ ของเขา “ท่านใตเท้าหล่อมาก!”
ใบหน้าที่แข็งทื่อราวกับภูเขาน้ำแข็งจวินมั่วหรันที่ไม่เคยสะทกสะท้าน ฉายแววแห่งความสุขไปทุกอณู มุมปากของเขายกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีดำวาวประกายมองใบหน้าไม่พอใจของฟู่เย่เฉินอย่างสะใจ
ในเวลาต่อมา เฟิงอู๋โยวตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ วันนี้ดูแปลกๆ ชอบกล
นางหันศีรษะทันที กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็ว เห็นเพียงขุนนางชั้นสูงและทหารที่กำลังมองมาที่นางอย่างประหลาดใจ
ทันใดนั้น นางตกใจกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าจนแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
นางรีบผละออกจากอ้อมกอดของจวินมั่วหรันและถามเขาเสียงแผ่ว “ท่านใต้เท้ายังสติดีอยู่หรือไม่ ไฉนถึงพากระหม่อมมาท้องพระโรงสำหรับว่าราชกิจ”
จวินมั่วหรันพูดขึ้นเสียงเรียบ “จากนี้ไป เจ้าจะกลายเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแคว้นตงหลิน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่างชู[2]แห่งกรมขุนนางก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “เซ่อเจิ้งหวาง เฟิงอู๋โยวไม่ใช่ประชาชนจากแคว้นตงหลินของพวกเรา ดังนั้น เกรงว่าข้าคงไม่สามารถปรับตำแหน่งให้เขาเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุดได้”
ขุนนางหรงชินเห็นด้วยเช่นกัน “สิ่งที่ซ่างชูแห่งกรมขุนนางพูดมีเหตุผล”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เหล่าขุนนางอีกหลายคนก็พูดขึ้นเสริม “ขอให้เซ่อเจิ้งหวางถอนคำพูดด้วย”
ตอนนี้ ขุนนางยู่ชินที่อยู่ใกล้ๆ บัลลังก์ของจี้มั่วอิ้นเหรินก็เงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาททรงคิดว่าเยี่ยงไร”
จี้มั่วอิ้นเหรินรู้สึกลำบากใจ แม้ว่าเขาจะชอบเฟิงอู๋โยว แต่เขาก็เป็นฮ่องเต้ของแคว้น ดังนั้นเขาต้องยุติธรรมและเข้มงวด
นอกจากนี้ อำนาจและวุฒิภาวะของเขายังไม่มั่นคงมากพอ ดังนั้นเขาไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาดเหมือนจวินมั่วหรัน
และที่ยิ่งยากกว่านั้นก็คือ ต่อให้เขามาความกล้ามากกว่านี้สักสิบเท่า เขาก็ยังไม่กล้าที่จะหักหน้าจวินมั่วหรันต่อหน้าสาธารณะแบบนี้
พระเจ้ารู้ดีว่า หากจวินมั่วหรันโมโหขึ้นมาจริงๆ จะไม่มีใครหน้าไหนสามารถสยบเขาลงได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำลังหรือมันสมอง ก็ไม่อาจมีใครเอาชนะเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
[1]ดอกไม้ในบ้านหอมไม่เท่าดอกไม้ป่า หมายถึงหญิงสาวนอกบ้าน บางครั้งย่อมสดใหม่เย้ายวนกว่าภรรยาในบ้านที่แต่งงานกันมาเป็นเวลานาน
[2]ซ่างชู คือตำแหน่งเสนาบดี