ตอนที่ 251 รุมแย่ง / ตอนที่ 252 คนป่าเถื่อนที่อีตัวอย่างเจ้าห้ามแตะต้อง
ตอนที่ 251 รุมแย่ง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็คว้าเอวของเขา ออกแรงดึงเขาขึ้นมา หมุนตัวทิ้งก้นนั่งลงบนเก้าอี้และดึงเขาขึ้นมานั่งบนตักอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้น เสียงสูดลมหายใจและเสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
ทุกคนไม่คิดว่าสตรีท่าทีสวยงามคนนี้จะทำตัวหยาบกระด้างเช่นนี้!
ต้องเป็นคนแบบไหนถึงสามารถสยบเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลินได้
สูงส่ง ต้องเป็นคนที่สูงส่งเป็นแน่!
สีหน้าของจวินมั่วหรันบึ้งตึงขึ้นมาทันที เขายืนขึ้น มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าเอวและพยายามดึงนางออกมาจากที่นั่งของตัวเอง
เขากระชากนางขึ้นมาสวมกอดเอาไว้แน่นอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางขัดขืน
สายตาเจือแววสงสัยของจี้มั่วจื่อเฉินมองพินิจเฟิงอู๋โยวที่ดูแลแมวน้อยแยกเขี้ยวในอ้อมกอดจวินมั่วหรันก่อนถามเสียงขรึม “อาหรัน ถึงไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลย ไฉนกลับมาแล้ว”
เขาคิดในใจ แม้ร่างกายของจวินมั่วหรันจะกำยำน่าดู แต่ไม่อึดไม่ทนจริงๆ เห็นแล้วรู้สึกเสียของแทนจริงๆ
ถึงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ไม่ไหวเสียแล้ว
ในเวลาเดียวกัน และแล้วจี้มั่วจื่อหยวนก็ระงับความขมขื่นภายในใจลงได้ ครั้นจึงหันไปยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเฟิงอู๋โยว “แม่หญิงอยู่ที่ใดหรือ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินเซ่อเจิ้งหวางเอ่ยถึงมาก่อน”
“แน่นอนว่าสตรีของข้าก็ต้องอยู่กับข้า”
เมื่อเขาพูดออกไปเช่นนี้ จี้มั่วจื่อหยวนก็ไม่อาจปั้นหน้าเป็นมิตรได้อีกต่อไป
นางผละสายตาของจากเฟิงอู๋โยวทันทีและย้ายไปมองบนเวทีเพื่อพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ฉายออกมาอย่างเด่นชัดในดวงตาของนาง
ด้านหลังเวที เย่เชี่ยวแหวกผ้าม่านแอบมองเฟิงอู๋โยว
นางโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม หากไม่มีสาวรับใช้อย่างชิวเซียงห้ามเอาไว้ ป่านนี้นางคงพุ่งออกไปตบหน้าเฟิงอู๋โยวต่อหน้าจวินมั่วหรันไปแล้ว
“นี่มันอะไรกัน! สตรีในอ้อมกอดของเซ่อเจิ้งหวางคือใครกัน”
ชิวเซียงรับเอามือปิดปากเย่เชี่ยวทันที จากนั้นก็พูดเตือนเสียงแผ่ว “องค์หญิงอย่าได้ตื่นตระหนกเกินเหตุเลยเจ้าค่ะ บางทีท่านเซ่อเจิ้งหวางอาจจะแค่สนใจเพียงชั่ววูบและแค่เล่นสนุกไปเท่านั้น มีเพียงองค์หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีศักดิ์คู่ควรกับเซ่อเจิ้งหวาง”
“ที่พูดมาก็จริง”
เย่เชี่ยวบ่นอุบอย่างไม่พอใจ “เอาไว้องค์หญิงอย่างข้าแต่งเข้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวางให้ได้ก่อน ข้าจะกอดเซ่อเจิ้งหวางเข้านอนทุกวันเลยคอยดู!”
แต่นางแอบบ่นเสียงดังไปหน่อย ทำเอาหลังจากพูดออกไปก็มีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้น
เป่ยถางหลีอินกวาดมองเย่เชี่ยวอย่างดูถูก ก่อนแค่นเสียงในลำคอ “ดูเหมือนแคว้นซีเยว่เป็นแคว้นบ้านนอกจริงๆ ด้วย”
ชุนเซี่ยพูดเสริม “องค์หญิงพูดถูกเจ้าค่ะ”
ข้างๆ เป่ยถางหลีอินคือมู่ลั่วเหยียนที่เป็นลูกสาวของมหาปราชญ์ประจำสำนักเน่ยเก๋อ[1] นางแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ อยู่คนเดียว
ในสายตาของนาง องค์หญิงแห่งแคว้นเป่ยหลีคนนี้นิสัยดูไม่ชื่อตรงและเปิดเผยเท่าองค์หญิงจากแคว้นซีเยว่
สาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเป่ยหลีอะไรกัน เหลวไหลสิ้นดี แถมนิสัยเสียอีกต่างหาก
อีกคนที่นิสัยคล้ายเป่ยถางหลีอินก็คือจวินฝูในชุดบุรุษ ตอนนี้นางกำลังมองเย่เชี่ยวที่พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เท่าไร
แต่จวินฝูไม่ได้ใส่ใจเย่เชี่ยวเท่าไรนัก เพราะตอนนี้นางมั่วแต่สนใจสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดจวินมั่วหรัน
นางนั่นเป็นใครกันแน่
นางเดินไปที่หลังผ้าม่าน จากนั้นก็พยายามเขย่งเท้าเพ่งมองไป
ทว่ากลับมองเห็นหยุนเฟยไป๋ที่กำลังนั่งอยู่หน้าเวทีอยู่เช่นกัน ทำเอานางตกใจจนหน้าซีดตัวสั่นทันที
หรงชุ่ยรีบเดินเข้ามาประคองจวินฝู “ท่านหญิง โปรดระวังด้วยเจ้าค่ะ”
จวินฝูยังคงมองดูหยุนเฟยไป๋ แล้วอยู่ๆ ความอับอายด้อยค่าก็ผุดขึ้นมาในใจ
“ท่านหญิงเจ้าคะ อย่าทำอะไรเกินตัวเลยเจ้าค่ะ” หรงชุ่ยพูดขึ้น
ในเสี้ยวเวลานั้น จวินฝูอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
เพราะว่านางเขาสภาบุหงานี้มาในฐานะน้องสาวของจวินมั่วหรัน แต่ถึงต่อให้นางได้เป็นผู้ชนะในการแสดงและได้สิทธิ์เลือกว่าที่สามี นางก็ไม่สามารถเลือกจวินมั่วหรันที่เป็นพี่ชายตัวเองต่อหน้าทุกคนได้
นางรู้ดีว่านางกำลังทำอะไรเกินตัว แต่การที่นางพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงของสภาบุหงา เหตุผลสำคัญหลักๆ ก็คืออยากให้จวินมั่วหรันรู้ว่าคนอย่างจวินฝูก็ไม่ได้เป็นรองใคร
ตอนที่ 252 คนป่าเถื่อนที่อีตัวอย่างเจ้าห้ามแตะต้อง
ด้านหน้าเวที เสียงฆ้องลั่นกลองบรรเลงขึ้น
ท่ามกลางเสียงบรรเลงปรากฏสาวงามใส่ผ้าปิดหน้าครึ่งใบหน้า ถือพิณผีผาที่เดินนวยนาดขึ้นมาบนเวที
บรรดาผู้ชมแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่สาวงามที่ขึ้นเวทีมาวาดลวดลายแสดงความสามารถ
จวินมั่วหรันทำเหมือนไม่ได้เห็น เพียงแค่หลุบตาต่ำและทาบฝ่ามือหนาใหญ่อันอุ่นผ่าวลงไปที่หน้าท้องของเฟิงอู๋โยว
สายตาของเขาจ้องมองเอวเล็กคอดอันสมส่วนกับรูปร่างของนางอยู่พักหนึ่ง ความสามารถในการควบคุมตัวเองที่เขาแสนจะภาคภูมิใจเริ่มจางหาย
“เจ้ามันเครื่องมือทรมานใจคนชัดๆ !” เสียงพร่าแหบเจือความปรารถนาใคร่อยาก
เฟิงอู๋โยวอึ้งไปเล็กน้อย เพราะนางไม่คิดมาก่อนว่าจวินมั่วหรันจะกล้าแสดงอารมณ์ของมาต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้
นางตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา แน่นิ่งไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า แม้แต่หายใจยังต้องระวัง
“จวินมั่วหรัน เจ้าควบคุมตัวเองหน่อยได้หรือไม่”
“เจ้าดูไม่ออกหรือไร ข้าอดกลั้นจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
เฟิงอู๋โยวมุ้ยปากบ่นอุบ “ผิดที่ข้าสาวสวยน่าหลงใหลเกินไป! แต่ก็ช่างเถิด ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ วันนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน”
นางรีบลุกขึ้น ก่อนจากไปทันที
เถาหงที่นั่งอยู่ข้างๆ หยุนเฟยไป๋จ้องมองเงาร่างสละสวยของเฟิงอู๋โยวพลางบ่นพึมพำ “ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเคยเห็นสตรีปิดใบหน้าที่อยู่กับเซ่อเจิ้งหวางเมื่อครู่ที่ใดมาก่อน”
“หืม?”
หยุนเฟยไป๋รู้สึกสนจใจขึ้นมาทันที “เจ้า ลองนึกดูดีๆ ว่าเคยเจอนางที่ใดมาก่อน”
เถาหงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “ฝ่าบาทเจ้าคะ หม่อมฉันนึกออกแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไหนว่ามา”
“แม่หญิงที่ปิดหน้าคนนี้น่าจะเป็นแม่ทัพเฟิงจากแคว้นเป่ยหลี! หม่อมฉันไม่มีความสามารถใดเป็นพิเศษ แต่มีสายตาเฉียบคมและแยกแยะใบหน้าผู้คนได้อย่างแม่นยำมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าคนทั่วไปจะปลอมตัวเนียนแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นสายตาของหม่อมฉันเจ้าค่ะ” เถาสหงพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“เป็นไป ได้เยี่ยงไร”
หยุนเฟยไป๋ไม่เชื่อคำพูดของเถาหงอย่างเห็นได้ชัด
เฟิงอู๋โยวเป็นถึงแม่ทัพอายุน้อยที่ผ่านการคัดเลือกจากทั้งสามเหล่าทัพแห่งแคว้นเป่ยหลีและมีเชื่อเสียงดังกระฉอดไปทั่วทุกแคว้น!
คนที่ช่ำชองศึกการทหารคนหนึ่งจะกลายมาเป็นสตรีผู้งดงามจับใจเช่นนี้ได้เยี่ยงไร
ยิ่งไปกว่านั้น สวดทรงองค์เอวของสตรีด้านหน้าผู้นี้ถือว่าเป็นรูปร่างที่เย้ายวนชนิดที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือกวนใจปั่นหัวฮ่องเต้แห่งแคว้นให้บ้านเมืองปั่นป่วนได้เลย
เขาเคยเจอเฟิงอู๋โยวมาก่อน แต่เจอในคราบดุดันป่าเถื่อน ดูไม่เหมือนสตรีเลยสักนิด!
และที่สำคัญเฟิงอู๋โยวมีลูกกระเดือก แต่สตรีที่อยู่ข้างด้านกลับไม่มี
ไม่ใช่!
อยู่ๆ หยุนเฟยไป๋ก็เหมือนจะนึกอะไรออก สตรีที่อยู่ด้านหน้ามีผ้าคลุมบางๆ ปิดอยู่ ไม่เพียงแต่ปิดบังใบหน้า แต่มันยังยาวลงมาปิดบริเวณลำคอของนางพอดี
ดังนั้น เขาให้เขามองไม่เห็นว่านางมีลูกกระเดือกหรือไม่
ดวงตาสีม่วงอ่อนของหยุนเฟยไป๋ลุกวาวขึ้นเล็กน้อยและจ้องมองเฟิงอู๋โยวอย่างไม่ละสายอยู่เป็นเวลานาน
เฟิงอู๋โยวสัมผัสได้ถึงสายตาคู่นั้นทันที มันเป็นสายตาที่แฝงความชั่วแรงและไม่เป็นมิตรที่กำลังจ้องมองนางอยู่
ทำเอานางเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
นางหันขวับกลับมา สายตาเฉียบคมกลับจ้องกลับไปที่หยุนเฟยไป๋
ทว่าหยุนเฟยไป๋ผละสายตาออกไปแล้วและกำลังดื่มกินกับเถาหงอย่างสุขอุรา
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวก็วางใจลงหนึ่งเปราะ ก่อนเปิดผ้าม่านหลังเวลาทีและหายเข้าไปด้านใน
สถานการณ์ด้านหลังเวทีประหนึ่งเป็นอีกโลก
สตรีอย่างมู่ลั่วเหยียนผู้ที่ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งใดๆ ได้แต่นั่งหลบมุมดูสถานการณ์อย่างสนุกอยู่คนเดียว
สตรีอย่างเย่เชี่ยวที่พูดจาโผงผางและเปิดเผย ไม่ว่าจะเอ่ยปากคุยกับใครและสามารถโต้ตอบได้อย่างไม่เกรงใจใคร
ครั้นจวินฝูเห็นเฟิงอู๋โยวเดินเข้ามาก็ยื่นขาออกมาด้านหน้าหมายจะสกัดขานางให้สะดุดล้ม
เฟิงอู๋โยวไม่เกรงใจจวินฝูเช่นกัน นางยกเท้าขึ้นเหยียบลงไปบนหลังฝ่าเท้าของจวินฝูและขยี้อย่างไม่เกรงใจ
จวินฝูโกรธขึ้นหน้าขึ้นพลันง้างมือจะตบเฟิงอู๋โยว “บังอาจ! หากท่านพี่เห็นหน้าตาอุบาทว์และกริยาอวดดีของเจ้าแบบนี้ เจ้าจะต้องถูกบดขยี้เป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน”
เฟิงอู๋โยวคว้าข้อมือของจวินฝูเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนพูดเสียงเย็นชา “ท่านพี่ของข้าหลงใบหน้าอันสะสวยของข้าอย่างหัวปักหัวปำ แต่ถ้าเขาเห็นกริยาหยาบโลนของเจ้า ไม่แน่เขาอาจโมโหจนไล่เจ้าออกจากตำหนักก็เป็นได้”
“แก! เป็นใครกันแน่ กล้าดีเยี่ยงไรมาทำตัวอวดเบ่งต่อหน้าข้า อยากตายนักหรือ”
จวินฝูไม่คิดว่าแรงที่มือของเฟิงอู๋โยวจะเยอะขนาดนี้ นางพยายามสลัดอยู่นาน แต่ก็ไม่หลุดเสียที จึงได้แต่หันไปเรียกหรงชุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ “นางสาวใช้ไร้ประโยชน์! ยังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าอีก”
“ห้ามใครเข้าไปช่วยนางทั้งนั้น!” เย่เชี่ยวถลกแขนเสื้อขึ้นมาอย่างห้าวหาญ
เฟิงอู๋โยวคิดว่าเย่เชี่ยวจะเข้ามาช่วยจวินฝู แต่นึกไม่ถึงว่าเย่เชี่ยวจะเข้ามาขวางข้างหน้านางไว้ จากนั้นก็ผลักจวินฝูล้มลงไปกองที่พื้นทันที
“ทั้งที่เจ้าเป็นฝ่ายคิดสกัดขาของนางก่อน แล้วยังมีหน้ามาโทษนางอีกหรือ ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลินจะมีน้องสาวไม่เอาไหนอย่างเจ้า”
เย่เชี่ยวยกมือเท้าสะเอวพลางด่าๆ จวินฝูเป็นฉอดๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวก็ได้แต่ดูอย่างครึ้มใจและขี้เกียจยื่นมือเข้าไปสอด
ต่อมาเฟิงอู๋โยวก็เดินมาด้านหน้าเป่ยถางหลีอิน ก่อนเหลือบมองนางด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
นางแอบหยิบเอาผงแป้งจากใต้แขนเสื้อออกมาและโรยใส่ในถ้วยชาของเป่ยถางหลีอินจนหมด
เป่ยถางหลีอินจ้องมองเฟิงอู๋โยวในสภาพผ้าคลุมใบหน้าด้วยสายไม่เป็นมิตร ก่อนพูดอย่างโมโห “หลบไป”
มุมปากเฟิงอู๋โยวผุดยิ้มขึ้นมาก่อนพุ่งมือออกไปบีบคอนาง “เป่ยถางหลีอิน ข้าแวะมาเตือนเข้าไว้เรื่องหนึ่ง วันเวลาอันแสนดีของเจ้าถึงคราวต้องสิ้นสุดลงแล้ว!”
“แกเป็นใคร”
เป่งถางหลีอินถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก ดวงตาเจือแววหวาดหวั่นรำไร
ครั้นชุนเซี่ยกับเซ่อเยว่เห็นเป่ยถางหลีอิน ถูกบีบคอจนหน้าแดงเรื่อ ขณะกำลังเข้าไปช่วย เฟิงอู๋โยวก็ปล่อยมือออกทันที จากนั้นก็ตอบคำถามอีกฝ่ายกลับไป “ข้าคือจอมป่าเถื่อนที่อีตัวอย่างเจ้าห้ามแตะต้อง”
เมื่อพูดจบ เฟิงอู๋โยวก็หันหลับและสะบัดชายเสื้อจากไป
“แค่กๆ”
เฟ่ยถางหลีอินยกมือขึ้นมากุมหน้าอกพร้อมกับไอไม่หยุด
นางจ้องเขม็งแป่นหลังจากเฟิงอู๋โยวพลางเอ่ยเสียงเย็น “เซ่อเยว่ รีบไปแจ้งท่านพ่อของข้างเร็วเข้า”
ชุนเซี่ยรีบยื่นแก้วชาให้เป่ยถางหลีอินทันที “องค์หญิงเจ้าคะ ดื่มชาระงับอารมณ์ก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
[1]เน่ยเก๋อ คือองค์กรในระบบบริหารราชการของจักรวรรดิจีนสมัยก่อน เป็นองค์กรปกครองสูงสุดและมีอำนาจเหนือกว่าทั้ง 6 กรม ทำหน้าที่ประสานงาน กลั่นกรองเอกสารและนำถวายต่อฮ่องเต้ สมาชิกของเน่ยเก๋อจะถูกเรียกว่า ‘ต้าเซว่ซื่อ’ แปลเป็นไทยคือมหาปราชญ์ อำมาตย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิ