ตอนที่ 286 ความทุกข์ใจของเสี่ยวอิ้นอิ้น
ณ พระราชวังหลวงแห่งแคว้นตงหลิน ตำหนักพระที่นั่งสูงสุด
เมื่อนายพลฮั่วฉี่เห็นเฟิงอู๋โยวเดินวางมาดเข้ามาในตำหนักพระที่นั่งสูงสุด ใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที
จนกระทั่งตอนนี้ ในหัวของเขายังคงมีแต่ภาพเรียวขาขาวๆ ทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่กล้าสบตานางตรงๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็หายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก แล้วก้าวไปข้างหน้า “ท่านแม่ทัพเฟิง พรุ่งนี้ในงานเลี้ยงบัณฑิต มัจฉาปะปนมังกร[1] มีคนทุกประเภท ทั้งท่านและข้าต้องเฝ้าระวังอย่างรัดกุม ห้ามปล่อยให้คนชั่วใช้โอกาสนี้หาประโยชน์”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าอย่างหนักแน่นและถามอย่างงุนงง “ในเมื่อมีคนหลากหลายประเภทเข้าร่วมงานเลี้ยงบัณฑิตห้าแคว้น ไฉนต้องต้องจัดในพระราชวังหลวงด้วย”
“ท่านแม่ทัพเฟิงอาจไม่ทราบ เดิมทีงานเลี้ยงบัณฑิตใช้เพื่อคัดสรรยอดอัจฉริยะ ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีสันของงานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ค่อยๆ กลายเป็นงานที่เอาไว้ให้เหล่าลูกท่านหลานนางแห่งเชื้อพระวงศ์หรืออิสตรีจากตระกูลเลื่องชื่อมาเลือกสรรสามี สตรีเหล่านี้ไม่คุ้นเคยกับการปรากฏตัวในวงสังคม ดังนั้นมีแต่ต้องจัดงานเลี้ยงบัณฑิตในพระราชวังหลวงเท่านั้นถึงจะรับประกันความปลอดภัยของพวกนางได้”
“ที่แท้เป็นเยี่ยงนี้เอง”
เฟิงอู๋โยวพูดขึ้นพลางชี้นิ้วไปที่ประตูตำหนักที่ไม่กว้างขวางนัก “เท่าที่ข้ารู้มา ตำหนักพระที่นั่งสูงสุดรองรับผู้คนได้หนึ่งพันคน เหตุใด ประตูตำหนักถึงเล็กแคบ มากสุดสามารถเดินผ่านได้เพียงหลายสิบคนเท่านั้น หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ค่อนข้างมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเกิดเหตุเหยียบกันเสียชีวิต ดังนั้นควรย้ายสถานที่สอบของงานเลี้ยงบัณฑิตไปด้านนอกตำหนัก แล้วเปลี่ยนกระถางดอกไม้ที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้เป็นอ่างทรายอ่างน้ำ ด้วยวิธีนี้จะสามารถลดโอกาสการเกิดเหตุอัคคีภัยได้อย่างมาก”
“มีเหตุผล!”
ฮั่วฉี่พยักหน้า ก่อนเอ่ยถามเฟิงอู๋โยวขึ้นอีก “ไฉนต้องย้ายสถานที่จัดงานไปด้านนอกตำหนักด้วยขอรับ”
เฟิงอู๋โยวอธิบายอย่างตั้งใจ “อากาศด้านนอกตำหนักถ่ายเทสะดวก หากมีคนชั่ววางยาสลบเกินขนาดก็อาจจะจบลงด้วยความล้มเหลว”
ก่อนหน้านี้ ฮั่วฉี่คิดว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะจัดสถานที่สอบของงานเลี้ยงบัณฑิตขึ้นที่ตำหนักพระที่นั่งสูงสุด
แต่เขานึกถึงสถานที่ที่ดีกว่านี้ไม่ออก นอกจากนี้ยังเป็นพระราชประสงค์ของพระพันปีหลวงเห่อเหลียน เขาจึงต้องปฏิบัติตาม
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้องค์แรก พระพันปีหลวงเห่อเหลียนทรงอุทิศตนให้กับการถือศีลบำเพ็ญตนและไม่ยุ่งเรื่องการเมือง
เป็นเพียงจี้มั่วจื่อหยวนที่มีอายุถึงวัยอภิเษกแล้ว แต่กลับลังเลอยู่เป็นเวลานาน เป็นเหตุให้พระพันปีหลวงเห่อเหลียนจำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง
นางคิดจะจัดงานเลี้ยงบัณฑิตที่พระราชวังหลวงเพื่อที่จะได้ใช้โอกาสนี้เลือกว่าที่พระชามาดาให้กับจี้มั่วจื่อหยวน
ขอแค่จี้มั่วจื่อหยวนพบรักกับคู่ครองที่ดี นางถึงจะสามารถอยู่อุทิศตนให้กับพระพุทธศาสนาได้อย่างหมดห่วง…
หลังจากได้ยินคำอธิบายของเฟิงอู๋โยว ดวงตาของฮั่วฉี่ก็ลุกวาว ความประทับใจของเขาที่มีต่อเฟิงอู๋โยวพลันเพิ่มขึ้น
“สิ่งที่แม่ทัพเฟิงพูดนั้นเป็นความจริง”
เขายิ้มอย่างรู้เท่าทัน โอบไหล่ของเฟิงอู๋โยวราวกับคนสหายเก่า
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง น่องขาขาวนวลทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวเกิดแวบเข้ามาในห้วงความคิดของฮั่วฉี่อีกครั้ง เขาจึงรีบดึงมือที่พาดอยู่บนไหล่ของเฟิงอู๋โยวออกอย่างเงอะงะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ
เฟิงอู๋โยวไม่เข้าใจแต่ใบหน้าของนางยังคงเผยยิ้มอันสุภาพถ่อมตนอยู่เสมอ
ขณะที่นางกำลังจะก้าวเท้าออกไป ก็เห็นจี้มั่วอิ้นเหรินกำลังจ้ำเท้าตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วและพุ่งใส่อ้อมแขนนางทันที
“เสี่ยวอิ้นอิ้น?”
เฟิงอู๋โยวลูบศีรษะน้อยๆ ของจี้มั่วอิ้นเหรินเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเขาจึงถามเสียงแผ่ว “เกิดอะไรขึ้น คงไม่ได้ถูกเซ่อเจิ้งหวางลงโทษให้คัดกฎการปกป้องราชอาณาจักรอีกใช่หรือไม่”
จี้มั่วอิ้นเหรินหน้ามุ่ยคล้ายจะร้องไห้ “เฟิงอู๋โยว ช่วยพาข้าออกจากวังหลวงได้หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวส่ายหน้าไปมาและพูดอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งในใต้หล้า การหนีออกจากวังหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเกิดเหตุหายนะก็เป็นได้ ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง[2]”
“แต่ข้ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า มีหูตามากมายในวังหลวง ออกจากวังหลวงเท่านั้นถึงจะพูดได้อย่างอิสระ”
จี้มั่วอิ้นเหรินหลุบตาต่ำ มือของเขาประสานกันแน่น เห็นได้ชัดว่าทำตัวไม่ถูก
เฟิงอู๋โยวปลดเสื้อคลุมสีขาวบนไหล่ของนางออกและมอบให้จี้มั่วอิ้นเหริน “ทรงสวมเสื้อคลุมของไป๋หลี่เหอเจ๋อตัวนี้ก่อนพะยะค่ะ”
จากนั้นนางก็หยิกแก้มของเขาและพูดเสียงเบา “หลังจากเปลี่ยนแล้ว ให้เอาผ้าคลุมหน้าเอาไว้ หลังจากนั้นฝ่าบาทกับกระหม่อมจะออกจากวังหลวงด้วยราชรถหยกด้วยกัน”
จี้มั่วอิ้นเหรินเม้มริมฝีปากก่อนชี้ไปที่เสื้อคลุมสีดำบนร่างเฟิงอู๋โยว เขาพึมพำเสียงแผ่ว “ข้าต้องการสวมชุดของเซ่อเจิ้งหวาง”
“ไม่ได้พะยะค่ะ!”
เฟิงอู๋โยวกระชับเสื้อคลุมสีดำบนตัว นางไม่เต็มใจให้จี้มั่วอิ้นเหรินสวมใส่ชุดของจวินมั่วหรัน
จี้มั่วอิ้นเหรินไม่มีทางเลือก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมของไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างไม่เต็มใจ
เขามีส่วนสูงพอๆ กับเฟิงอู๋โยว ดังนั้นเสื้อคลุมของไป๋หลี่เหอเจ๋อจึงไม่พอดีกับรูปร่างเขา
โชคดีที่เขาไม่ต้องลุกขึ้น แค่นั่งในราชหยกหยกเฉยๆ จากนั้นก็มีคนมาหามเขากับเฟิงอู๋โยวออกจากวังหลวง
ทันทีที่เขาออกจากวังหลวง จี้มั่วอิ้นเหรินก็คว้าแขนของเฟิงอู๋โยวอย่างลนลานและพูดด้วยน้ำเสียงนับถือ “เฟิงอู๋โยว ข้าได้ยินมาว่าเจ้ารักษาโรคดอกหลิวให้องค์ชายเฉินจนหายได้”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้า “เนื่องจากตรวจพบอาการป่วยจากโรคดอกหลิวขององค์ชายเฉินได้ทันเวลา ทำให้รักษาได้ไม่ยาก”
“ในเมื่อเจ้ารักษาองค์ชายเฉินให้หายได้ เจ้าจะต้องช่วยให้ข้าพ้นอันตรายนี้ได้อย่างแน่นอน” ใบหน้าของจี้มั่วอิ้นเหรินฉายแววดีใจ
“เสี่ยวอิ้นอิ้น องค์ชายเฉินคงไม่ได้พาฝ่าบาทเสียคนใช่หรือไม่ ได้โปรดบอกกระหม่อมมาว่าฝ่าบาทกำลังทุกข์ทรมานจากโรคดอกหลิวอยู่ใช่หรือไม่” เฟิงอู๋โยวจ้องไปที่ใบหน้ากลมกลึงของจี้มั่วอิ้นเหริน นางไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะติด ‘โรครักษายากในเพศชาย’
จี้มั่วอิ้นเหรินก้มศีรษะกลมของเขา ใบหน้าฉายแววขมขื่น “ไม่ใช่”
“หากไม่ได้ป่วย แล้วจะให้กระหม่อมช่วยเรื่องอะไร”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน หัวหน้าขันทียัดเหยียดสาวใช้คนหนึ่งให้ข้าและขอให้ข้าทำอะไรแปลกๆ กับสาวใช้คนนั้น เนื่องจากข้าไม่รู้จักนางมาก่อน ข้าจึงไม่กล้าเปลื้องเสื้อผ้าของนางตามคำแนะนำของหัวหน้าขันที”
เฟิงอู๋โยวเข้าใจได้ทันที
หัวหน้าขันทีในวังหลวงคงจะเลือกนางบำเรอร่วมบรรทมให้กับจี้มั่วอิ้นเหริน เพราะตอนนี้เขาก็อายุสิบสี่ปีแล้ว ทั้งยังเป็นถึงองค์ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจำเป็นต้องมีทายาทสืบสกุลตั้งแต่เนิ่นๆ
จี้มั่วอิ้นเหรินถอนหายใจก่อนกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเฟิงอู๋โยว อีกครั้ง “ข้าไม่ชอบนาง แต่พระพันปีหลวงเห่อเหลียนตรัสวว่า ถ้าข้าไม่แตะต้องสาวรับใช้ นางจะกลั้นใจตาย”
เฟิงอู๋โยวเคยได้ยินเรื่องของพระพันปีหลวงเห่อเหลียนมาบ้าง
นางเป็นพระมารดาผู้ให้กำเนิดจี้มั่วจื่อหยวนแต่ไม่ใช่พระมารดาผู้ให้กำเนิดจี้มั่วอิ้นเหริน มีข่าวลือว่านางเป็นคนพร่องกำหนัดโดยธรรมชาติ ถือศีลบำเพ็ญเพียรมาหลายปีและไม่ข้องเกี่ยวเรื่องการเมือง
“พระพันปีหวางเห่อเหลียนทรงตรัสเยี่ยงไรอีก”
“พระพันปีหวางเห่อเหลียนทรงตรัสว่า ‘ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่ที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือการไร้ทายาทสืบสกุล’ สิ้นปีนี้ นางจะเลือกว่าที่พระอัครมเหสีผู้เพียบพร้อมให้ข้า นางยังตรัสเพิ่มอีกว่าหากข้าไม่ร่วมหลับนอนกับสาวใช้ผู้นั้น นางจะกลั้นใจตาย”
เฟิงอู๋โยวตั้งใจฟังอยู่เป็นเวลานาน แต่นางก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของจี้มั่วอิ้นเหริน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ลดเสียงลงและกระซิบข้างหูของเขา “ฝ่าบาทไม่รู้วิธีการร่วมหลับนอนกับสตรีกระนั้นหรือ”
[1]มัจฉาปะปนมังกร หมายถึงคนดีและคนเลวปะปนกัน
[2]ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง หมายถึงศัตรูหรือการโจมตีที่เปิดเผยรับมือง่ายกว่าศัตรูที่หลบซ่อนหรือการสุ่มโจมตี