ตอนที่ 294 หยุดชะงัก
หนึ่งเค่อต่อมา เฟิงอู๋โยวเห็นจวินมั่วหรันหยุดชะงักจึงถามอย่างงุนงง “ข้าจะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว ไฉนเจ้ายังมัวลีลาชักช้าอยู่ได้”
แก้มของนางแดงระเรื่อ ดวงตาทรงกลีบดอกท้อฉ่ำวาวชวนลุ่มหลง
เห็นได้ชัดว่านางยังมีความรู้สึกที่ดีต่อจวินมั่วหรัน
ทว่าแค่เวลาเพียงชั่วขณะ จวินมั่วหรันก็ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาทั้งไม่รีบร้อนและไม่วู่วาม แต่หาได้สนใจไม่
ไม่นาน เขาก็เลิกผ้าห่มออกจากเฟิงอู๋โยว “อู๋โยว ข้ารีบร้อนเกินไปเอง”
“…”
เฟิงอู๋โยวเห็นท่าทีที่ไม่เดินหน้าต่อของเขาก็รู้สึกจนปัญญาจนแทบอยากจะทุบเขา
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะความชนะความกลัวเรื่องขนาดของเขาได้ นึกไม่ถึงว่าหลังจากจวินมั่วหรันกระตุ้นแรงปรารถนาอันนิ่งสงบอยู่ภายใต้ส่วนลึกของจิตใจนางขึ้นมาได้ ท่าทีของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไม่ยอมแตะต้องหยกนวลหอมอุ่นในอ้อมกอด
“จวินมั่วหรัน เจ้า…ข้ารู้สึกไม่ดี” เฟิงอู๋โยวอ้ำๆ อึ้งๆ
“ทนหน่อยนะ”
มือเรียวยาวทั้งสองข้างของจวินมั่วหรันลูบไล้เส้นผมของนาง ความปรารถนาในดวงตาของเขายังไม่จางหายไป น้ำเสียงก็พร่าแหบเป็นที่สุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่
นับตั้งแต่ที่เขาเห็นสตรีเสี่ยงตายถูกคนเลวทำร้าย ซ้ำยังตั้งท้องโดยไม่ตั้งใจ ถูกผู้คนมากมายวิจารณ์เสียหาย เขาถึงได้รู้ว่าผู้คนตามท้องถนนส่วนใหญ่มีความคิดที่ไม่ดีต่อสตรีเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีเฟิงอู๋โยวเป็นคนประมาทเลินเล่อและไม่สนใจชื่อเสียง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจได้นางมาด้วยวิธีที่วู่วามเช่นนี้ เพราะไม่อยากทำให้นางถูกทำร้ายจากข่าวลือและยิ่งไม่อยากให้นางตกเป็นเป้าวิจารณ์ของสาธารณะ
เมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว จวินมั่วหรันจึงค่อยๆ พูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ เป็นข้าเองที่ไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน”
“เมื่อก่อน เป็นข้าเองที่เอาแต่ใจเกินไป เจ้าหยุดคิดหน้าคิดหลังได้แล้ว ข้าปากแห้งไปหมดแล้ว อีกประเดี๋ยวจะต้องกระหายจนไม่เลือกหน้าอย่างแน่นอน”
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวจ้องตรงไปที่เส้นเลือดที่เต้นเป็นจังหวะบนกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขา กลืนน้ำลายลงอย่างลำบาก ในที่สุดนางก็รับรู้ถึงความรู้สึกของจวินมั่วหรันเมื่อก่อนที่เคยถูกนางทำให้ ‘คลั่งไคล้จนแทบบ้า’
อยู่ๆ จวินมั่วหรันก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมสีดำมาสวมใส่อย่างลวกๆ ชายเสื้อจากผ้าไหมปักดิ้นทองพาดผ่านตัดกับผิวพรรณอันเปล่งปลั่งราวกับหยก ทำให้รูปร่างอันสมบูรณ์แบบราวกับถูกแกะสลักมาอย่างบรรจงของเขามีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
“เจ้าตัวน้อย หากเจ้าคิดเรื่องอภิเษกกับข้าเมื่อใดแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจึงจะ…”
“รูปร่างของข้าแย่ขนาดนั้นเลยหรือ หรือไม่เจ้าไม่มีความรู้สึกต่อข้าแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จวินมั่วหรันทำหน้ากึ่งร้องกึ่งยิ้ม
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาอารมณ์พลุ่งพล่าน นางคิดว่าเขาอ่อนโยนไม่พอ
แต่ตอนนี้ เขาซึ่งต้องการเก็บครั้งแรกของพวกเขาไว้จนกว่าจะถึงคืนวันอภิเษก แต่นางกลับเริ่มคิดมากไปไกลอีกครั้ง
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร แต่มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกิจจะลักษณะก่อน” ท่าทีของจวินมั่วหรันมั่นคงเป็นพิเศษ ขณะพูดก็สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จสรรพและพลิกตัวลงจากเตียง
เฟิงอู๋โยวคว่ำปากและลุกขึ้นจากเตียงตาม
นางยกแขนขึ้นให้จวินมั่วหรันดูรอยรัดที่ข้อมือของนางและพูดเบี่ยงประเด็น “แม้ไม่เจ็บมาก แต่ก็เป็นหลักฐานตอนที่เจ้าใช้ความรุนแรง หากมีอีกครั้ง เจอดีแน่”
“มันเป็นความผิดของข้าเอง”
จวินมั่วหรันยอมรับอย่างเชื่อฟัง ภายในใจพลันรู้สึกผิดยิ่งนัก
เขารู้อยู่แก่ใจว่าเขาพูดทำร้ายจิตใจสารพัดด้วยความโกรธ แต่เฟิงอู๋โยวก็ไม่หยิบยกขึ้นมาพูดแม้แต่คำเดียว
เป็นเพราะนางปลอบง่ายหายเร็วแบบนี้ ภายในใจของจวินมั่วหรันก็ยิ่งรู้สึกผิด
เขาจึงขอแก้ตัว ทันทีที่เขาก้าวออกจากเรือนแพทย์พยากรณ์ เขาพาเหล่าองครักษ์เงาไปกวาดซื้อของตามร้านค้าทุกร้านบนถนนเถาหลี่อย่างเอิกเกริก
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่จากร้านตัดเสื้อทั้งหมดบนถนนเถาหลี่ ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นจากร้านเครื่องร่ำแป้งหอมทั้งหมด รวมถึงผ้าขี่ม้าอันละลานตา อีกทั้งขนมอบและของกินเล่นจากทุกโรงเตี๊ยม ทั้งหมดถูกขนมาที่เรือนแพทย์พยากรณ์
ในชั่วพริบตา เรือนแพทย์พยากรณ์ก็เต็มไปด้วยผ้าไหมผ้าแพรและของว่างกินเล่นอันเลื่องชื่อ
“ขอท่านแม่ทัพเฟิงโปรดรับไว้”
“ซือมิ่ง ทั้งหมดนี่มาจากเซ่อเจิ้งหวางกระนั้นหรือ”
มุมปากเฟิงอู๋โยวเกร็งกระตุก นางคิดขึ้นในใจ ต่อให้จวินมั่วหรันมีเงินทองกองเท่าภูเขาก็ไม่ควรฟุ่มเฟือยถึงขนาดนี้
นอกจากนี้ นางไม่สวมเสื้อผ้าสตรี ไม่แต่งหน้า ซื้อของพวกนี้มา นางก็ไม่ได้ใช้
เฟิงอู๋โยวจนปัญญา ในสายตาทุกคน นางเป็นบุรุษที่เปี่ยมด้วยกังลังวังชา
บัดนี้ ลานบ้านของนางกลับเต็มไปด้วยเครื่องร่ำแป้งหอม หากคนที่ไม่รู้นำไปบอกคนอื่น สถานะความเป็นบุรุษของนางจะไม่ดูเป็นของปลอมหรอกหรือ
“เสียเงินไปเท่าไหร่”
เฟิงอู๋โยวยกมือปิดหน้าผาก เพราะรู้สึกวิงเวียนจากกลิ่นแป้งหอมที่อบอวลทั่วลานบ้าน แต่ปัญหาที่นางกังวลมากที่สุดก็คือหากจวินมั่วหรันสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ต่อไป สักวันจะกลายเป็นยาจกหรือไม่
“ห้าล้านเจ็ดแสนตำลึงเงินขอรับ”
ซือมิ่งนับนิ้วของเขาเป็นเวลาหนึ่งเค่อ ก่อนตอบอย่างหนักแน่น
“เอาไปคืนให้หมด!”
เมื่อเฟิงอู๋โยวนึกถึงจวินมั่วหรันที่ซื้อของไร้ประโยชน์มามากมาย หัวใจของนางก็เต้นแรง
เงินห้าล้านเจ็ดแสนตำลึงเงินนั้นมากพอที่จะซื้อเรือนแพทย์พยากรณ์สักสิบแห่ง และยังมากพอที่ช่วยให้ผู้คนจรจัดหลายแสนคนได้กินข้าวต้มร้อนๆ อย่างเต็มปากเต็มคำ
“แม่ทัพเฟิงไม่ต้องการรับไว้จริงๆ หรือ”
“ขอรับไว้เพียงน้ำใจ เหลือไว้แค่ของว่างเพียงหนึ่งจานก็พอ เอาไว้ให้ชิงหลวนแก้หิว”
ซือมิ่งได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านใต้เท้ายังกำชับมาว่าหากท่านแม่ทัพเฟิงไม่เต็มใจจะรับไว้ ให้จัดการประมูลขึ้นในนามของท่าน รายได้จากการประมูลทั้งหมดจะถูกนำไปใช้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ แบบนี้ท่านแม่ทัพเฟิงคิดว่าเหมาะสมหรือไม่”
“ค่อยเหมาะสมหน่อย ว่าแต่การที่เซ่อเจิ้งหวางทำแบบนี้มีเจตนาเยี่ยงไร”
“ท่านใต้เท้ากังวลว่าบาปจากการเข่นฆ่าครั้งอดีตจะหนักหนาเกินไป ทว่าเรื่องในอดีตก็ปล่อยให้ผ่านไป ควรใส่ใจในอนาคตที่ใกล้มาเยือน เพื่อตัวท่าน ท่านใต้เท้ายอมวางกระบี่ลงและดำรงตนอยู่ในครรลอง”
“เด็กฉลาดย่อมสอนได้”
เมื่อเฟิงอู๋โยวคิดว่าการมีอยู่ของตัวเองสามารถทำให้ราชาปีศาจแห่งโลกโกลาหลเปลี่ยนวิถีสู่ทางธรรม ความภาคภูมิใจก็พลันผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ซือมิ่งมุมปากกระตุก เขามองเฟิงอู๋โยวไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ถ้าเป็นคนธรรมดา หากได้รับความรักจากจวินมั่วหรันมากมายขนาดนี้ คงต้องประทับใจจนน้ำตาไหลพรากอย่างแน่นอน
แต่นางกลับเผยรอยยิ้มอันปลาบปลื้มใจออกมา
รอยยิ้มแบบนี้ ส่วนใหญ่จะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าผู้อาวุโสที่คาดหวังให้บุตรชายกลายเป็นมังกร มั่นหมายบุตรีให้กลายเป็นหงส์[1]
อยู่ๆ ซือมิ่งก็มีลางสังหรณ์ขึ้นมา แค่ท่าทางไร้หัวใจของเฟิงอู๋โยวแบบนี้ คำสารภาพรักของจวินมั่วหรันในคืนนี้น่าจะจบลงด้วยความล้มเหลว
แต่ถึงแม้จะมีลางสังหรณ์เช่นนี้ ซือมิ่งก็ไม่อาจละเลยต่อคำสั่งของจวินมั่วหรันได้
“ท่านแม่ทัพเฟิง คืนนี้ท่านใต้เท้าจะจัดงานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมหลิงเทียน ดังนั้นจึงรับสั่งให้ข้ามาส่งจดหมายเชิญถึงท่าน” ซือมิ่งยื่นจดหมายเชิญให้เฟิงอู๋โยวด้วยความเคารพ
“มันง่ายที่จะพูด”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าตอบรับคำเชิญทันที
“ไม่มีปัญหา”
[1] คาดหวังบุตรชายให้กลายเป็นมังกร มั่นหมายบุตรีให้กลายเป็นหงส์ หมายถึงพ่อแม่คาดหวังให้ลูกสร้างตัวสร้างตนและประสบความสำเร็จ