ตอนที่ 299 ตราพยัคฆ์[1]ถูกขโมย
ครั้นจวินมั่วหรันได้ยินเสียงสยิวเข้ากระดูกของเหล่าบุรุษด้านนอกประตูที่พยายามยั่วยวนเฟิงอู๋โยว สีหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที เขาแทบอยากจะฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ
มุมปากเฟิงอู๋โยวรั้งขึ้นเล็กน้อย นางอยากเห็นว่าจวินมั่วหรันจะอดทนได้ถึงเมื่อไหร่
หลังจากปรับความเข้าใจกันเมื่อตอนกลางวัน เฟิงอู๋โยวก็คิดว่าในเมื่อข้าวดิบหุงสุกแล้วก็ต้องปล่อยเป็นเช่นนั้น
มีแต่ต้องได้ร่างกายของเขาเท่านั้นจึงจะสามารถกำจัดกับความรู้สึกนึกเสียใจที่มักจะโผล่ขึ้นมากะทันหันของเขาได้
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะไม่ได้บริสุทธิ์กันมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ครั้งนั้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว เพราะอาการป่วยจากโรคเก่าของจวินมั่วหรันกำเริบ ทำให้เขาสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้า การรับรู้ทั้งหก ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เอาแต่เกลียดสตรีที่ฉวยโอกาสชวงชิงความบริสุทธิ์ของเขามาโดยตลอด ดังนั้นเฟิงอู๋โยวจึงไม่กล้าบอกความจริงกับเขาอย่างตรงไปตรงมา
“จวินมั่วหรัน ถ้าเจ้าไม่ทำตาม ข้าจะแนบชิดกับเหล่าคนงามผิวขาวหน้าสวยขายาวที่ด้านนอกประตูต่อหน้าเจ้า!”
เฟิงอู๋โยวลุกขึ้นทันที สองมือเท้าเอวและพูดอย่างมั่นใจ
ทันทีที่พูดจบก็ได้รับการตอบรับอันเร่าร้อนจากกลุ่มยอดบุรุษรูปงามด้านนอกประตู
“ท่านชาย! โอ๋ทาสผู้นี้หน่อยขอรับ”
“นายท่านเฟิง บ่าวชื่นชมท่านมานานแล้ว ได้โปรดรีบเปิดประตูหน่อยขอรับ ขอให้พวกบ่าวได้เข้าไปปรนนิบัติท่านหน่อยนะขอรับ”
“ท่านราชครูไป๋หลี่บอกว่าเซ่อเจิ้งหวางดูดี แต่ไร้ประโยชน์ ส่วนพวกบ่าวที่ผ่านการฝึกมาเป็นเวลานาน แม้ร่างกายจะเล็กบางดูอ่อนแต่ก็กำราบเหล่าคนงามได้อยู่หมัด ซ้ำยังใช้ได้ทนนาน”
…
เมื่อจวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตราย
สีหน้าของเขาจมดิ่งลง ไม่พูดไม่จา จากนั้นก็อุ้มเฟิงอู๋โยวที่กุมท้องหัวเราะขึ้นเตียง “เฟิงอู๋โยว เจ้ารนหาเรื่องเอง”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าระรัว สองมือพลันคว้ากอดคอเขาทันที “ใช่ๆ ข้ารนหาเรื่องเอง! เจ้าระบายออกมาได้เลย”
“คืนนี้ข้าจะไปขอทะเบียนสมรส”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนกับพิธีอภิเษกสมรส”
จวินมั่วหรันโกรธขึ้นมาทันที “เฟิงอู๋โยว เจ้าไม่อยากอภิเษกสมรสกับข้า ซ้ำยังลวนลามร่างกายของข้า แบบนี้เจ้าคิดจะเสร็จเรื่องแล้วจากไปและปฏิเสธความรับผิดชอบกระนั้นหรือ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ข้าเป็นฝ่ายต้องการร่างกายเจ้า ดังนั้นข้าต้องเป็นฝ่ายกลัวเจ้าไม่รับผิดชอบ แต่ว่ายังเร็วไปที่จะอภิเษกสมรส อย่างที่บอก ข้าอยากอยู่เคียงข้างเจ้ามากกว่าที่ถูกเจ้าควบคุมและทะนุถนอมไปตลอดชีวิต”
เฟิงอู๋โยวไม่คิดว่าการอภิเษกสมรถจะต้องมาจากฐานะที่เท่าเทียมกัน เพียงแต่สถานะของพวกเขาแตกต่างกันเหลือเกิน
จวินมั่วหรันรู้ว่าภายในใจของเฟิงอู๋โยวกำลังคิดอะไรอยู่ จึงไม่เค้นถามต่อและได้แต่จัดเสื้อผ้าของนางให้เป็นระเบียบ “ข้าเต็มใจรอ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะนอกใจ พรุ่งนี้ข้าจะเปลี่ยนชื่อกิจการทั้งหมดเป็นชื่อของเจ้า ถึงตอนนั้น หากข้าไม่ซื่อสัตย์กับเจ้า เจ้าสามารถไล่ข้าออกนอกเรือนได้เลย”
เพื่อให้นางรู้สึกปลอดภัย จวินมั่วหรันจึงเดิมพันกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา
“ไม่จำเป็น ข้าอยากได้เจ้ามากกว่ากิจการภายใต้ชื่อเจ้า” เฟิงอู๋โยวยิ้มร่า จากนั้นก็ผลักเขาลงบนเตียงโดยไม่พูดอะไร
ในช่วงเวลาสำคัญนั้นเอง ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอกประตู
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วเล็กน้อย นางปล่อยจวินมั่วหรันอย่างไม่เต็มใจและใช้เสียงเย็นเอ่ยถามบุรุษรูปงามที่รออยู่ด้านนอกประตูมาเป็นเวลานาน “เกิดอะไรขึ้น”
“ลูกชายคนโตของแม่ทัพอาวุโสเฟิ่งแห่งแคว้นเป่ยหลีขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน เป็นเหตุให้องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินนำกองทหารเข้าจับกุมเขาและนำเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมขอรับ”
“ตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน?”
สีหน้าของเฟิงอู๋โยวเคร่งขรึมลง จากนั้นก็พุ่งออกนอกประตูมาพร้อมกับจวินมั่วหรันทันที
เฟิงอี้เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ ต่อให้เขาจะมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะแอบขโมยตราพยัคฆ์ของหยุนเฟยไป๋
นอกจากนี้ เดิมทีเขาวางแผนที่จะออกจากเมืองคืนนี้ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย แล้วเขาจะสร้างปัญหาให้ตัวเองโดยการขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินได้เยี่ยงไร
ในเวลานี้ โรงเตี๊ยมหลิงเฟิงที่เคล้าไปด้วยเสียงบทเพลงบรรเลงเครื่องสายประกอบการเต้นรำก่อนหน้านี้ ถูกหยุนเฟยไป๋ก่อกวนจนบรรยากาศอึมครึมไปหมด
ทุกคนคิดว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินคิดจะยกทัพมาโจมตีแคว้นตงหลินอย่างฉับพลัน พวกเขาตื่นตระหนกจนพล่านไปทั่ว ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง
ท่ามกลางห้องโถง เฟิงอี้ถูกองครักษ์พกดาบสองคนจับแขนและบังคับให้คุกเข่าลงบนพื้นอย่างน่าอาย
เฟิ่งจือหลินที่เดิมทีคอยดูแลชิวหรูสุ่ยอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยมรีบตามมาทันทีหลังจากได้ยินข่าว
แต่สิ่งที่ทำให้เฟิงอู๋โยวประหลาดใจก็คือของท่าทีของเฟิ่งจือหลินที่มีต่อบุตรชายคนโตอย่างเฟิงอี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนิทกันมากเท่าไร
เห็นเพียงเฟิ่งจือหลินย่อตัวลงช้าๆ และพูดกับเฟิงอี้อย่างวางมาด “อย่ากลัวไปเลยลูกเอ๋ย เจ้าต้องเชื่อว่าผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์ ผู้สกปรกย่อมสกปรก ศาลต้าหลี่จะคืนใความยุติธรรมให้แก่เจ้า”
เฟิงอู๋โยวโกรธมาก นางก้าวไปข้างหน้าและถามเฟิงจือหลินด้วยน้ำเสียงดุดัน “แม่ทัพเฟิ่งมีหัวใจบ้างหรือไม่ ไฉนถึงทนดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองถูกส่งไปตายได้ต่อหน้าต่อหน้าได้เยี่ยงนี้ ศาลต้าหลี่เป็นสถานที่แบบไหน ตัวเจ้าย่อมรู้ดี”
เฟิ่งจือหลินแค่นเสียงอย่างเย็นชา “หากจะพูดถึงเรื่องไร้ความปรานี ผู้ใดจะเทียบเจ้าได้ เจ้ารู้หรือไม่ การเฆี่ยนแปดสิบหวายเกือบทำให้แม่ของเจ้าเอาชีวิตไม่รอด!”
“เฟิ่งจือหลิน เจ้ายังจำสิ่งที่เจ้าทำกับข้าในตอนนั้นได้หรือไม่ เสนอให้ลงโทษข้าด้วยการเฆี่ยนสามร้อยหวายอย่างผลีผลาม แม้แต่เสือร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง เจ้าเป็นพ่อที่เปล่าประโยชน์จริงๆ”
เฟิงอู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา นางผลักเฟิ่งจือหลินออกไปให้พ้นทางอย่างแรง จากนั้นก็เตะองครักษ์พกดาบที่คุมตัวเฟิงอี้ออกไปทันที “วันนี้หากพวกเจ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าริอาจพาตัวเขาไปเด็ดขาด”
“อู๋โยว ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบพาสหายเทียนฉีออกไปเถิด” เฟิงอี้เอ่ยเสียงนุ่ม
เขามีสีหน้าสงบราวกับคาดการณ์เหตุการณ์นี้ไว้นานแล้ว แค่ดูจากสีหน้าแววตาของเขาก็ไม่เห็นความกลัวปรากฏขึ้นมาแม้แต่น้อย
หยุนเฟยไป๋แหวกฝูงชนเข้ามา เขายืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาสีม่วงเข้มของเขาฉายแววปีศาจ “เฟิงอู๋โยว ออกไปให้พ้น”
เฟิงอู๋โยวไม่ยอมถอย นางเงยหน้าเผชิญกับรังสีชั่วร้ายของหยุนเฟยไป๋ “องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินมีหลักฐานหรือไม่”
“จับได้คาหนังคาเขา เฟิงอี้ไม่มีทางหนีไปได้ เฟิงอู๋โยว หากเจ้าไม่เชื่อก็จงไปฟังการไต่สวนที่ศาลต้าหลี่” หยุนเฟยไป๋พูดอย่างมั่นใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็นึกสงสัย
นางคิดว่าหยุนเฟยไป่ต้องมีหลักฐานเอาผิดอยู่ในมือ
มิฉะนั้นเขาคงไม่มีทางแสดงละครที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเขาบนแดนดินของแคว้นตงหลินแน่นอน
[1]ตราพยัคฆ์ คือสัญลักษณ์ของอำนาจทางทหารที่ใช้ยื่นยันสิทธิ์ในการสั่งเคลือนทัพของจีนในยุครณรัฐสมัยราชวงศ์ฉิน