ตอนที่ 313 แกล้งพระพันปีหลวง
เมื่อเฟิงอู๋โยวมาถึงตำหนักพระที่นั่งชั้นกลาง[1]พร้อมกับความกังวลมากมาย ฮั่วฉี่ก็รีบลุกขึ้นต้อนรับอย่างเป็นมิตร
“แม่ทัพเฟิง ไฉนถึงมาช้า”
“เพลิงไหม้เรือนหลัง[2]” เฟิงอู๋โยวไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก ได้แต่ตอบไปอย่างกำกวม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮั่วฉี่ก็มองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาราวกับเคยมีประสบการณ์เดียวกัน และรีบแนะนำอย่างกระตือรือร้น “สตรีก็แบบนี้ชอบสร้างเรื่องวุ่นวาย กลับไปก็ให้เครื่องประดับเสื้อผ้ากับพวกนาง เท่านี้ก็ว่านอนสอนง่ายแล้ว”
เฟิงอู๋โยวยักไหล่แสร้งทำเป็นจนปัญญา “นายพลฮั่วไม่รู้อะไร เรือนหลังของข้าไร้ซึ่งสตรี เมื่อวานท่านราชครูไป๋หลี่ได้ส่งนายบำเรอรูปงามมาให้ข้าหกคน เมื่อเช้านี้ ไม่นึกว่าพวกเขาจะทะเลาะเพียงเพราะแย่งกันเป็นที่รัก”
ขณะที่พูด ดวงตาอันเฉียบคมของเฟิงอู๋โยวก็กวาดไปทางไป๋หลี่เหอเจ๋อที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งราวกับเซียนตกสวรรค์ผู้ไม่แยแสโลกปุถุชน
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของนาง ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหานางทันที
“อู๋โยว ตอนนี้รู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง เหนื่อยหรือไม่” สีหน้าเยือกเย็นของไป๋หลี่เหอเจ๋อสะท้อนแววเฉยชาผิดมนุษย์ทั่วไป แต่น้ำเสียงของเขาในตอนนี้กลับอ่อนโยนนุ่มนวลเป็นที่สุด
“เหนื่อย ยังพอทนไหว แต่เจ็บนี่สิ”
เฟิงอู๋โยวก็นึกถึงคราบเลือดที่เปื้อนบนชุดของนางและชุดของไป๋หลี่เหอเจ๋อเมื่อเช้านี้ อยู่ๆ ก็มีแผนหลอกเขาผุดขึ้นมาในหัว
แต่หารู้ไม่ ไป๋หลี่เหอเจ๋อได้สั่งให้ฉู่จิ่วไปตรวจร่างกายของนางเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้อ…อู๋โยว อย่าเสแสร้งต่อหน้าข้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเจ้า ไฉนถึงเจ็บ” ไป๋หลี่เหอเจ๋อมองแผนของนางออก จึงพูดขึ้นอย่างเฉยเมย
เฟิงอู๋โยวพูดไม่ออก นางไม่อยากเสวนากับไป๋หลี่เหอเจ๋อต่อ
ครั้นจึงนั่งลงข้างๆ ฮั่วฉี่อย่างเงียบๆ และแอบมองจวินมั่วหรันที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือของพระพันปีหลวงเห่อเหลียน
ใบหน้าของเขายังคงปรากฏรอยแดงจากฝ่ามืออยู่อย่างเด่นชัด
เฟิงอู๋โยวจิตใจว้าวุ่น นางอยากจะพุ่งเข้าไปขอโทษเขาและอธิบายเหตุผลให้เขาฟังอย่างชัดเจน
แต่นางยังไม่รู้จุดเชื่อมโยงที่สำคัญที่สุด ดังนั้นจึงไม่ต้องการตีหญ้าให้งูตื่น[3] และได้แต่อดทนเฝ้าดูเขาอยู่ห่างๆ
จวินมั่วหรันสังเกตเห็นสายตาของเฟิงอู๋โยว แต่เนื่องจากถูกนางตบหน้าจนสะท้านไปถึงหัวใจ จึงไม่อยากแม้ตาจะชายตามองนาง
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนมองจวินมั่วหรันผู้องอาจผึ่งผาย ยิ่งมองก็ยิ่งชื่นชอบเขามากขึ้น
“อาหรัน ปีนี้เจ้าอายุยี่สิบเอ็ดแล้วใช่หรือไม่ มีสตรีในดวงใจแล้วหรือยัง” พระพันปีหลวงเห่อเหลียนเหลือบมองพลางตรัสถามอย่างอบอุ่น
“กระหม่อมยังไม่มีแผนที่จะอภิเษกสมรสขอรับ”
เมื่อเก้าปีก่อน บิดามารดาของจวินมั่วหรันได้เสียชีวิตลง ตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส พระพันปีหลวงเห่อเหลียนทรงดูแลเขาในช่วงเวลาสั้นๆ
ดังนั้นกิริยาท่าทางของเขาที่ปฏิบัติต่อนางจึงเปี่ยมไปด้วยความเคารพ
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนถอนหายใจ ก่อนพูดขึ้นเสียงทุ้ม “อาหรัน เจ้าหาใช่เด็กน้อยอีกต่อไป ถึงเวลาเลือกว่าที่สนมเอกของเซ่อเจิ้งหวางแล้ว ทั้งนี้เพื่อสืบทายาทให้แก่ตระกูลจวินโดยเร็วที่สุด”
ทันทีที่พูดจบ นางก็มองไปที่จี้มั่วจื่อหยวนที่อยู่ทางขวามือทันที “พวกเจ้าทั้งสองคนน่าเป็นห่วงที่สุด ผ่านพ้นวันเกิดไป หยวนเอ๋อร์ก็จะอายุสิบเก้าปีแล้ว แต่นางกลับไม่กังวลเรื่องการอภิเษกสมรสแม้แต่น้อย”
“บางทีวาสนาของหยวนเอ๋อร์อาจมาล่าช้า ขอพระพันปีหลวงทรงอย่าร้อนใจไปเลยขอรับ”
“จากมุมมองของข้าผู้น่าสงสาร เจ้าทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกัน นับว่าเป็นเพื่อนเล่นต่างเพศที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ ใยถึงไม่สานสัมพันธ์กันมากกว่านี้”
มือข้างหนึ่งของพระพันปีหลวงเห่อเหลียนจับมือของจี้มั่วจื่อหยวน ส่วนอีกข้างก็ดึงแขนของจวินมั่วหรัน หมายให้พวกเขาทั้งสองจับมือกัน
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วและดึงมือทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จี้มั่วจื่อหยวนก็หน้าแดงและดึงมือออกด้วยความลำบากใจเช่นกัน
แต่นางเกิดกังวลเกี่ยวกับรอยแดงบนใบหน้าของเขามากกว่า
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจี้มั่วจื่อหยวนก็สะกดความสงสัยใคร่รู้ในใจลงไปไม่ได้ นางหันศีรษะไปถามจวินมั่วหรันเสียงแผ่วในขณะที่มีพระพันปีหลวงเห่อเหลียนทรงนั่งแทรกอยู่ “เซ่อเจิ้งหวาง ใบหน้าของท่าน…คงไม่ได้ถูกแม่ทัพเฟิงตบมาใช่หรือไม่”
จี้มั่วจื่อหยวนครุ่นคิด ทั่วทั้งแคว้นตงหลินมีเพียงเฟิงอู๋โยวเท่านั้นที่กล้ามีเรื่องจวินมั่วหรัน
รอยแดงบนใบหน้าของจวินมั่วหรัน มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าเกิดจากฝีมือนาง
เมื่อพระพันปีหลวงเห่อเหลียนได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจัด “ยังมีผู้ที่ไม่รู้จักความเป็นความตายเยี่ยงนี้อยู่ด้วยหรือ ช่างบังอาจลงมือกับเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลิน”
จวินมั่วหรันทำเป็นหูหนวก เขาลดสายตาลงเล็กน้อย ลูบเข็มขัดผ้าไหมที่คาดเอว
ก่อนหน้านี้ เขาดึงมันออกจากเอวของเฟิงอู๋โยว และหลังจากจุยเฟิงยื่นมันให้ เขาจึงคาดมันไว้ที่เอว
เมื่อเห็นพระพันปีหลวงเห่อเหลียนพยายามเป็นแม่สื่อให้จวินมั่วหรันกับจี้มั่วจื่อหยวน เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกกังวลอย่างมาก
นางอาศัยช่วงที่งานเลี้ยงบัณฑิตยังไม่เริ่มลุกขึ้นและวิ่งไปหาจวินมั่วหรันที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูง
ในที่สุด จวินมั่วหรันก็เงยหน้าขึ้นมอง
เขามองนางอย่างเฉยเมย ยังคงไม่สนใจนางอยู่เหมือนเดิม
เฟิงอู๋โยวรวบรวมความกล้ายืนขว้างด้านหน้าเขา และพูดเน้นคำ “เซ่อเจิ้งหวาง พอจะให้เวลากระหม่อมสักหนึ่งเค่อได้หรือไม่”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง อยู่ๆ จวินมั่วหรันก็อยากเห็นสภาพของเฟิงอู๋โยวตอนหึงหวง
ตอนนี้ เขาเกิดสะเพร่าและลืมไปเลยว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาคือพระพันปีหลวงเห่อเหลียนที่อาวุโสกว่าหนึ่งชั่วรุ่น
“เป็นพระหัตถ์ที่ดี” จวินมั่วหรันจับพระหัตถ์ของพระพันปีหลวงเห่อเหลียนด้วยอารมณ์ประชด และเล่นกับปลายนิ้วมือที่ใส่ปลอกเล็บฉลุลายบุหงาอย่างเหม่อลอย
พระเนตรของพระพันปีหลวงเห่อเหลียนเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ไฉนนางถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกผู้เยาว์อย่างจวินมั่วหรันลวนลามอยู่
เวลานี้ เหล่าขุนนางพากันมองจวินมั่วหรันที่กำลังจับพระหัตถ์อันเรียวยาวของพระพันปีหลวงเห่อเหลียนด้วยสายตาประหลาดใจ และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด
เมื่อจวินมั่วหรันตั้งสติกลับมาได้ เขาจึงรีบปล่อยมือนางออกอย่างลำบากใจ
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนเริ่มเก็บอาการบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นเฟิงอู๋โยวยืนอยู่ตรงหน้าพอดี จึงตรัสอย่างเบี่ยงประเด็นมาที่เฟิงอู๋โยวทันที
นางมองพินิจเฟิงอู๋โยวที่มีรูปร่างผอมบางด้านหน้าและเอ่ยอย่างดุดัน “เจ้าเป็นคนตบหน้าเซ่อเจิ้งหวางกระนั้นหรือ”
“ไม่ใช่พะย่ะค่ะ”
เฟิงอู๋โยวปฏิเสธอย่างข้างๆ คูๆ
นางไม่กล้ายอมรบความผิดของตัวเองในโทษฐานลงมือตบตีจวินมั่วหรันต่อหน้าพระพันปีหลวง
ได้ยินเช่นนี้ จวินมั่วหรันก็เกิดหงุดหงิดขึ้นในใจ
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ หากนางยอมรับว่าทำร้ายเขา นางจะต้องถูกพระพันปีหลวงเห่อเหลียนสั่งตัดหัวอย่างแน่นอน
แต่เขารู้สึกสงสัยยิ่งนัก หลังจากเฟิงอู๋โยวตบเขาขนาดนี้แล้ว ไฉนยังมีหน้ามาหาเขาอีก
[1]ตำหนักพระที่นั่งชั้นกลาง หรือพระที่นั่งบวรสมานฉันท์ เป็นพระที่นั่งองค์เล็กสุดในบรรดาพระที่นั่งสามองค์ในเขตพระราชฐานชั้นกลางของพระราชวังต้องห้าม ใช้สำหรับซักซ้อมและให้ฮ่องเต้ทรงพักผ่อนในพระราชพิธีต่าง ๆ และยังเป็นสนามสอบสุดท้ายในการสอบขุนนาง
[2]เพลิงไหม้เรือนหลัง หมายถึงเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งขึ้นภายในครอบครัว โดยสมัยก่อน เรือนหลังจะเป็นที่อยู่ของนางสนม นางบำเรอ ดังนั้นในสมัยนั้นจึงหมายถึงปัญหาแย่งกันเป็นที่รักของเหล่านางสนมนางบำเรอ
[3]ตีหญ้าให้งูตื่น หมายถึงไม่ระมัดระวังทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวและเตรียมรับมือได้