จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ – บทที่ 1356-1360

บทที่ 1356-1360

บทที่ 1356 : ปกป้ององค์หญิงไปตลอดชีวิต (4)
“อาวุโสใหญ่ ไปนำตัวหัวหน้าเผ่านั่นมา และจับตัวมู่เสวี่ยมาให้ข้าด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ราชินี”
ผู้อาวุโสใหญ่ป้องหมัดด้วยความเคารพ จากนั้นก็หันหลังถอยกลับ
ที่พำนักของเผ่าเสือดาวอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก หลังจากนั้นเพียงไม่นานชายชราในชุดผ้าลินินก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าไป๋หยาน
ชายชรารีบเร่งฝีเท้าก้าวไปทางไป๋หยาน แต่เมื่อเขามาอยู่เบื้องหน้านาง กลับไม่เห็นมู่เสวี่ยติดตามมาด้วย ไป๋หยานจึงขมวดคิ้ว
“ทูลราชินี” ผู้อาวุโสใหญ่ก้าวไปข้างหน้า “หัวหน้าเผ่าเสือดาวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่ามู่เสวี่ยไม่อยู่ในเผ่าเสือดาวแล้ว กระหม่อมได้ส่งคนออกค้นหา อีกทั้งปิดประตูเมืองสัตว์อสูรไว้แล้ว”
ไป๋หยานพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนที่นางจะทันเอ่ยกล่าวคำใด เสียงแหลม ๆ ของหยูเหยาก็ดังขึ้น
“หยูเทียน…ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย ข้ายังไม่อยากตาย !”
ใบหน้าของมู่หยูเทียนเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ก่อนมาที่นี่ เขาได้รับทราบทุกเรื่องราวจากผู้อาวุโสใหญ่จนหมดสิ้นแล้ว
หยูเหยาผู้นี้ไม่เพียงต้องการใส่ร้ายอิงเอ๋อ ทว่านางยังดูถูกองค์ชายว่าเป็นเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน อีกทั้งยังดูถูกองค์หญิงน้อยว่าปัญญาอ่อน ขณะที่มู่เสวี่ยก็เผยแผ่ข่าวลือเรื่ององค์ราชาจะทรงคัดเลือกพระสนม
พวกนางทั้งสองคน … จะฆ่าล้างเผ่าเสือดาวทั้งหมดใช่หรือไม่ ?
มู่หยูเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองหยูเหยาที่ยังคงนั่งคุกเข่าต่อหน้าตี้คัง และไป๋หยานเลย
“กระหม่อมถวายบังคมราชาราชินี กระหม่อมได้รับทราบเรื่องราวต่าง ๆ จากผู้อาวุโสใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหยูเหยาและเสวี่ยเอ๋อ ไม่ว่าราชาและราชินีจะทรงจัดการกับพวกนางเช่นไร กระหม่อมก็จะไม่ขอทักท้วง หรือร้องขอความเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
หยูเหยาตกตะลึง นางไม่คาดคิดมาก่อนว่า มู่หยูเทียนจะละทิ้งนาง !
“หยูเทียน นี่ท่านลืมสิ่งที่ท่านเคยลั่นวาจาแล้วกระนั้นหรือ ? ท่านบอกว่าท่านจะรักข้า ทั้งจะปกป้องข้าตลอดไป เหตุใดในเวลาเช่นนี้ท่านถึงได้ทอดทิ้งข้า ? เหตุใด ?”
หยูเหยากรีดร้อง เสียงของนางแหลมมาก เพราะความเจ็บปวดที่แขน ยามนี้นัยน์ตาของนางเป็นสีแดง นางจับจ้องมองมู่หยูเทียน
มู่หยูเทียนยิ้มอย่างขมขื่น “ถึงเวลานี้แล้ว เจ้ายังคงถามข้าอีกหรือว่าเป็นเพราะเหตุใด ? ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้าปฏิบัติกับอิงเอ๋อเช่นไร ? เจ้าให้กำเนิดบุตรสาวสองคนแก่ข้า ทั้งอยู่กับข้ามานานหลายปี ข้าจึงละเลย และตามใจเจ้ามากเกินไป หากแต่ตอนนี้เจ้ากล้ามาก กล้าถึงขั้นล่วงเกินองค์ชาย และองค์หญิง !”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก
มู่หยูเทียนไม่รู้จริง ๆ ว่าหญิงสองคนนี้ไปเอาความกล้ามาจากที่ใด จึงได้บังอาจล่วงเกินองค์หญิง และองค์ชายเช่นนี้ ?
ภายใต้ถ้อยคำที่ไร้เยื่อใยของมู่หยูเทียน ที่สุดร่างของหยูเหยาก็ทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง นางกำหมัดแน่น สัมผัสแห่งความสิ้นหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
นางคิดว่ามู่หยูเทียนจะต้องออกหน้าปกป้องนางได้อย่างแน่นอน แต่คาดไม่ถึงว่าทางเลือกของเขาก็คือละทิ้งนาง …
อาจเป็นเพราะนางเป็นภรรยาของเขามานานหลายปีแล้ว แม้ว่ามู่หยูเทียนจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด ทว่าเขาก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นท่าทางของหยูเหยาเช่นนี้ เขานั่งนิ่งอย่างสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันศีรษะโขกลงกับพื้นอย่างแรง
“ราชา ราชินี กระหม่อมขอเพียงสิ่งเดียว ช่วยส่งให้นางไปอย่างสบายจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”
ไป๋หยานมองมู่หยูเทียน จากนั้นดาบก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
ครั้นเห็นไป๋หยานก้าวเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของหยูเหยาก็แลดูลุกลี้ลุกลนมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างของนางขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ทว่าน่าเสียดายที่มีกำแพงขวางกั้นอยู่ด้านหลัง นางจึงไม่สามารถถอยหนีได้อีก นางทำได้เพียงยืนมองสตรีที่ถือดาบยาวก้าวมาหยุดเบื้องหน้านาง
“เจ้าได้ตายดีแน่ ๆ หากแต่เจ้าด่าเฉินเอ๋อและหลิงเอ๋อ ในเมื่อเจ้ากล้าด่าลูกข้า ข้าก็จะตัดลิ้นของเจ้าออกก่อน จากนั้นข้าจึงจะให้เจ้าได้ตายสบาย ๆ”
ลูก ๆ ของนาง ห้ามผู้ใดพูดจาว่าร้าย ทว่าหยูเหยากลับกล้าดูถูกเฉินเอ๋อว่าเป็นลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนเลยกระนั้นรึ ?
เช่นนั้นนางจึงต้องการที่จะลงโทษหญิงปากเสียคนนี้แทนลูก ๆ ของนาง ?
บทที่ 1357 : ไป๋เซียวมาแล้ว (1)
“อย่า…”
ทันทีที่ถ้อยคำของหยูเหยาหลุดออกจากปาก นางก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลิ้น จากนั้นเลือดก็พุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุไหลนองพื้น
นางกล่าวงึมงำอยู่เป็นนาน ทว่านางก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกมาได้อีกต่อไป นางทำได้เพียงเบิ่งตาโพลงมองสตรีที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างหวาดหวั่น
มุมปากของหญิงผู้นั้นยกโค้ง
รอยยิ้มราวกับปีศาจ ทำให้หยูเหยาตัวชา นัยน์ตาของนางเบิกกว้าง
“นี่คือการชดใช้ที่ดูถูกลูกข้า !”
นี่คือการชดใช้ที่ดูถูกลูกข้า
ฮือ !
น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาจากดวงตาของหยูเหยา ริมฝีปากของนางขยับเล็กน้อย หากแต่นางก็ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ได้อีกต่อไป จากนั้นเสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นและนางก็ค่อย ๆ ล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้นนางก็เห็นดาบยาวปักลงมาบนหน้าอกของนาง เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผล
แม้ว่ามู่อิงจะหมดหวังกับหยูเหยาไปแล้ว แต่ครั้นได้เห็นภาพที่หยูเหยาค่อย ๆ ทรุดลงกับพื้น ที่สุดนัยน์ตาของนางก็แสดงความรู้สึกสิ้นหวัง
ท้ายที่สุด หยูเหยาก็ต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้เอง นางเข้าข้างให้การช่วยเหลือมู่เสวี่ยมาตลอดชีวิต และสุดท้ายนางก็ต้องใช้ชีวิตของตนเองเพื่อช่วยมู่เสวี่ยอีก โดยที่ลูกสุดที่รักของนางกลับไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
คุ้มกันมั้ย ?
ใบหน้าของมู่หยูเทียนแลดูตื่นตระหนก เดิมทีเขาคิดว่าเขาคงจะเฉยเมย อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นภรรยาที่อยู่กินกันมาหลายปีจมกองเลือด ใบหน้าของเขาก็เริ่มรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย เขาพยายามบังคับตนเองให้ข่มอารมณ์ไว้
หากไม่มีองค์ราชา เผ่าเสือดาวก็ต้องถูกพวกเผ่าสวรรค์คุกคาม ทั้งไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่มั่นคงเช่นทุกวันนี้
ทว่าคนเหล่านี้กลับไม่รู้จักบุญคุณ เอาแต่สร้างปัญหาให้องค์ราชา เช่นนั้นไม่ว่าราชาจะจัดการพวกเขาเยี่ยงไร ? ในเมื่อพวกเขาเป็นสัตว์อสูรก็จักต้องน้อมยอมรับโดยดุษฎี
เมื่อหวนนึกถึงสิ่งนี้ การแสดงออกของมู่หยูเทียนก็แลดูดีขึ้นมาก เขาหันหน้าไปแสดงความเคารพตี้คังและไป๋หยาน
“ราชา ราชินี ไม่ทราบว่าจะทรงมีคำสั่งใดให้กระหม่อมดำเนินการอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”
นัยน์ตาที่เย็นชาของตี้คังกวาดไปทางมู่หยูเทียน น้ำเสียงของเขาเย็นชา“ ตามตัวมู่เสวี่ยมาพบข้า”
มู่หยูเทียนตัวสั่น พลางก้มศีรษะลง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะต้องควานหาตัวลูกสาวที่คิดไม่ซื่อคนนี้พบอย่างแน่นอน !”
“ไปได้”
ตี้คังลดประกายแสงเย็นยะเยือกในแววตาลง เอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า
มู่หยูเทียนป้องหมัด ลดศีรษะ พลางถอยหลังกลับ
หลังจากที่มู่หยูเทียนจากไป การแสดงออกของตี้คังก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก “หยานเอ๋อ…ข้าจะตามหามู่เสวี่ยนั่นให้พบ !”
ตี้คังไม่รู้จริง ๆ ว่า เขาได้ทำบาปอะไรไว้ในชาติก่อนหน้านี้ จึงทำให้ชาตินี้มีคนจำนวนมากต้องการทำลายสัมพันธ์ระหว่างเขา และหยานเอ๋อ อีกทั้งคนพวกนั้นก็ไม่ลังเลที่จะใส่ร้ายเขาต่าง ๆ นา ๆ
โชคดีที่หยานเอ๋อเชื่อใจเขา หาไม่ผลที่จะตามมา … เขาคงทนรับไม่ได้
“หม่ามี้”
เสี่ยวหลิงเอ๋อกระโดดออกจากอ้อมแขนของไป๋เสี่ยวเฉิน ร่างเล็ก ๆ ของนางพุ่งเข้าหาไป๋หยาน
ทุกวันนี้…นางเดินได้อย่างมั่นคงขึ้นไม่เป๋มากมายเหมือนตอนแรก
ร่างของนางอ่อนนุ่มมาก ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเป็นสีชมพูและนุ่มนิ่ม มันส่องประกายเจิดจ้าท่ามกลางแสงแดดอุ่น
“กอด ๆ หลิงเอ๋อชอบให้หม่ามี้กอด”
ไป๋หยานโน้มตัวลง อุ้มเสี่ยวหลิงเอ๋อขึ้นมาจากพื้น
น้ำหนักตัวของนางเบามาก กระทั่งไป๋หยานใช้เพียงมือเดียวก็อุ้มนางขึ้นจากพื้นได้
“หลิงเอ๋อรักหม่ามี้ที่สุด”
เสี่ยวหลิงเอ๋อจูบแก้มของไป๋หยาน พลางหัวเราะคิกคัก ทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไพเราะราวกับกระดิ่ง กรุ๋งกริ๋ง ๆ ๆ
รอยยิ้มของไป๋หยานอบอุ่นราวกับแสงตะวัน
“หลิงเอ๋อ…แล้วพ่อล่ะ” ตี้คังเลิกคิ้วขึ้นมองเจ้าตัวเล็กที่อิงแอบอยู่กับอกไป๋หยานพร้อมรอยยิ้ม
กว่าหนึ่งปีในเทียนซาน ไป๋หยานต้องเข้าสันโดษฝึกฝน ช่วงนั้นเขาเป็นคนเลี้ยง และดูแลเสี่ยวหลิงเอ๋อ หากแต่แม้เขาจะเป็นผู้ดูแลนาง ทว่านางก็ยังสนิทกับไป๋หยานมากกว่า นั่นทำให้ตี้คังยากที่จะเข้าใจได้
บทที่ 1358 : ไป๋เซียวมาแล้ว (2)
“ก็หม่ามี้มีกลิ่นหอม ๆ หลิงเอ๋อชอบ แต่ป๊ะป๋าไม่มีนี่ หลิงเอ๋อเลยไม่ชอบ”
ใบหน้าของตี้คังเปลี่ยนเป็นสีดำ
ครั้นไป๋หยานหันหน้าไปเห็นใบหน้าที่มืดมนของตี้คัง นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“เหตุใดบุตรชายของท่านไม่ชอบท่าน มาตอนนี้บุตรสาวของท่านก็ไม่ชอบท่านด้วย ?”
ใบหน้าของตี้คังเข้มขึ้น เขาบังคับดึงตัวเสี่ยวหลิงเอ๋อออกจากอ้อมแขนของไป๋หยาน ยัดนางใส่มือไป๋เสี่ยวเฉินที่อยู่ข้าง ๆ พลางยกมือขึ้นกอดไป๋หยานอย่างแรง
“สำหรับข้ามีแค่เจ้าก็เพียงพอแล้ว ส่วนเด็กหญิงนั่นก็แค่ให้พี่ชายของนางดูแล”
กล้าไม่ชอบเขาได้ยังไง !
นัยน์ตาของเสี่ยวหลิงเอ๋อเป็นสีแดง นางอ้าแขนออก พลางเรียกหาไป๋หยานด้วยความเสียใจ “หม่ามี้…กอด หลิงเอ๋ออยากให้หม่ามี้กอด … “
ตี้คังหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉิน “เฉินเอ๋อ พาหลิงเอ๋อไปเล่นก่อน”
ปากเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินกระตุก เขาไม่อยากให้ป๊ะป๋าจอมวายร้ายได้ครอบครองมารดาของเขาเลย ให้ตายเถอะ
“เจ้าไม่ต้องการน้องสาวอีกสักคนหรอกหรือ ?” ใบหน้าของตี้คังเคร่งขรึม ขณะข่มขู่
“น้องสาวคนเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับเฉินเอ๋อ”
เสียงเด็กน้อยของไป๋เสี่ยวเฉิน ดังขึ้นช้า ๆ
ก่อนหน้านี้ ตี้คังสามารถยกเรื่องของน้องสาวขึ้นมาข่มขู่ไป๋เสี่ยวเฉินได้ ทว่าตอนนี้ไป๋เสี่ยวเฉินได้น้องสาวตามที่ต้องการแล้ว เช่นนั้นการข่มขู่นี้จึงไม่ก่อเกิดประโยชน์ใด
มุมปากของตี้คังยกขึ้น “หากเจ้าไม่พาหลิงเอ๋อไป วันหน้าข้าจะส่งมอบแดนอสูรให้เจ้าเป็นผู้ดูแล”
ด้วยประโยคนี้ ทำให้ขนของไป๋เสี่ยวเฉินลุกชัน ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาโกรธเกรี้ยวจนแดงก่ำ “ป๊ะป๋าวายร้ายนี่ไว้ใจไม่ได้เลย ป๊ะป๋าเคยพูดชัดเจนแล้วว่าหากมีน้องชาย ก็จะให้น้องชายดูแลแดนอสูร ทำไมยังคิดจะให้เฉินเอ๋อดูแลอีกล่ะ ?”
ตี้คังเย้ยหยัน “ข้าเคยพูดแล้วไง ? ก็หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ข้าก็คืนคำได้”
ไป๋เสี่ยวเฉินจ้องตี้คังด้วยความโกรธ
หลังจากนั้นไม่นานไป๋เสี่ยวเฉินก็หันไปมองไป๋หยานน้ำตาไหลพราก “หม่ามี้ ป๊ะป๋าวายร้ายรังแกเฉินเอ๋อ หม่ามี้มีลูกคนอื่นแล้ว หม่ามี้ไม่รักเฉินเอ๋อแล้วหรือ ?”
ใบหน้าที่นองด้วยหยาดน้ำตาของเจ้าซาลาเปาน้อยทำให้หัวใจของไป๋หยานอ่อนยวบ นางหันหน้าไปมองตี้คัง “ท่านจะไม่รักษาคำพูดที่ท่านให้สัญญากับเฉินเอ๋อไว้ได้อย่างไร ?
หน้าผากของตี้คังกระตุกสองสามครั้ง เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าเด็กนี่มีคนคอยให้ท้ายอยู่
“หยานเอ๋อ…ฟังข้าอธิบายก่อน … “
“ไม่ต้องอธิบาย ท่านสัญญากับลูกไว้แล้ว ท่านต้องทำตามสัญญา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เทียนเทียนยังเด็ก ท่านก็ควรปลูกฝังเขาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะได้คุ้นชิน”
การเป็นราชาควรจะเริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อย และเมื่อเขาอายุเท่าไป๋เสี่ยวเฉิน เขาก็จะเข้าใจทุกอย่าง แล้วจากนั้นก็ให้เขาดูแลจัดการแดนอสูร เช่นนี้เขาย่อมไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
เช่นนี้ก็ไม่ต่างจาก การหลอกล่อเขาตั้งแต่วัยเด็กเพื่อให้เขารับตำแหน่งนี้
หากเทียนเทียนรับรู้เรื่องนี้ และได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เขาอาจจะสงสัยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันหน้าหากไป๋เสี่ยวเฉินพาหลิงเอ๋อเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หากแต่เขากลับถูกหลอกโดยหลุมพลางต่าง ๆ ที่พ่อแม่วางไว้ตั้งแต่ยังเด็ก กระทั่งเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำแดนอสูรอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ไป๋หยานกะพริบตา ลดศีรษะลงมองไป๋เสี่ยวเฉิน “เฉินเอ๋อ เจ้าต้องจำไว้ว่า เจ้าเป็นลูกชายคนโต หากน้องชายของเจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็นราชาแห่งแดนอสูร ไม่ว่าอย่างไรก็ตามตำแหน่งนี้ก็จะยังคงตกอยู่ที่เจ้า”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทว่าหลังจากได้ยินถ้อยคำของไป๋หยาน เขาก็พลันหดหู่ เขาทำปากยื่นขณะมองนาง
“แต่ … ” นัยน์ตาของไป๋หยานเป็นประกายอีกครั้ง นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หากเจ้าสามารถหลอกล่อให้เทียนเทียนขึ้นมารับตำแหน่งนี้ได้ เจ้าก็จะเป็นอิสระ เช่นนั้นเจ้าต้องล่อลวงเขาด้วยตัวเอง”
บทที่ 1359 : ไป๋เซียวมาแล้ว (3)
แววตาของไป๋เสี่ยวเฉินสว่างวาบขึ้น ขอเพียงเขาทำให้เทียนเทียนเต็มใจรับตำแหน่งนี้ เขาก็จะเป็นอิสระ !
“หม่ามี้ เฉินเอ๋อเข้าใจแล้ว เสี่ยวหลิงเอ๋อ พวกเราไปหาเทียนเทียนกันเถอะ”
แก้มเล็ก ๆ ของเขาแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น
สิ่งที่หม่ามี้พูดถูกต้องแล้ว เทียนเทียนอายุยังน้อย และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ง่ายต่อการล่อลวง
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสติปัญญาของเทียนเทียน ภายในเวลาไม่กี่ปีนี้คาดว่าน้องของเขาจะยังไม่มีความก้าวหน้าอะไรมากนัก เช่นนั้นเขาต้องใช้ประโยชน์จากการที่เทียนเทียนยังไม่โตสอนให้เทียนเทียนเป็นราชาของแดนอสูรให้จงได้
เมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างก็จะถูกกำหนดไว้หมดแล้ว และก็สายเกินไปที่เทียนเทียนจะเสียใจ …
ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึง ขณะจับจ้องมองไป๋เสี่ยวเฉินผู้ซึ่งกำลังอุ้มเสี่ยวหลิงเอ๋อไว้ในอ้อมแขน
ตำแหน่งราชาแห่งแดนอสูร … เป็นตำแหน่งที่สัตว์อสูรมากมายต้องการมิใช่หรือ ?
เหตุใดองค์ชายใหญ่ถึงรู้สึกว่าบัลลังก์ของราชาเป็นดั่งนรกที่ต้องพยายามหลบเลี่ยง ซ้ำยังต้องหลอกล่อองค์ชายน้อยให้มารับตำแหน่งนี้แทน ตั้งแต่องค์ชายน้อยยังเด็กอยู่อีกด้วย
“พวกเจ้ามัวแต่งงอะไรกันอยู่ ?” ไป๋หยานขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางกวาดตามองผู้คนที่กำลังตกตะลึง “ส่งคนออกค้นหามู่เสวี่ยทันที ส่วนเจ้ามู่อิง เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ห่างจากเสี่ยวหลิงเอ๋อแม้ชั่วอึดใจ และเจ้าห้ามให้นางก้าวออกจากตำหนักอสูรแม้เพียงก้าวเดียว !”
“เพคะ”
มู่อิงพยักหน้ารับด้วยความเคารพ
*****
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในคฤหาสน์ มู่หยูเทียนรีบก้าวเข้าไปด้านใน เขาตะโกนออกมาทันที “มู่เสวี่ยกลับมาหรือยัง ? หากนางกลับมา จับนางมาให้ข้า !”
ชายชราคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้า ๆ พลางป้องหมัดด้วยความเคารพ “เรียนหัวหน้าเผ่า คุณหนูรองยังไม่กลับบ้านเลยขอรับ”
“นางยังไม่กลับมางั้นหรือ ? หากนางยังไม่กลับมาก็รีบออกไปควานหาตัวนางเดี๋ยวนี้เลย ! และหากพบนางก็จับตัวนางกลับมาให้ข้า ข้าจะพานางไปเข้าเฝ้าราชาด้วยตนเอง !”
มู่หยูเทียนกัดฟันด้วยความเกลียดชัง เดิมทีเขาก็ไม่ชอบมู่เสวี่ยนัก
นางชอบข่มเหงผู้คนในเผ่าเสือดาว แล้วตอนนี้นางยังกล้าที่จะแพร่ข่าวลือว่าราชาต้องการรับพระสนมอีก ไม่ต่างจากผลักเผ่าเสือดาวให้ตายหมู่ !
ชายชรารับคำสั่งของเขา พลางถอยหลังกลับ ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาของเขาเองหรือไม่ ? เขารู้สึกว่าหลังจากที่หัวหน้าเผ่ากลับมาจากตำหนักอสูร หัวหน้าเผ่าก็แลดูแก่ลงทันที …
ภายในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา เมืองสัตว์อสูรไม่สงบสุขเลย ประตูเมืองทั้งหมดถูกปิด เพื่อควานหาตัวมู่เสวี่ย
อย่างไรก็ตาม ทั้งที่พลิกแผ่นดินหาทั้งเมืองแล้ว ทว่าก็ยังไม่พบร่องรอยของนางแม้แต่กลิ่นของนางก็ยังหาไม่พบ ไม่มีร่องรอยใด ๆ เลย
เปรียบเทียบกับความสงบในตำหนักอสูรแล้วราวฟ้ากับเหว
ไป๋หยานนั่งอยู่ในศาลาเอนศีรษะของนางพิงเสาหินด้านหลัง ดวงตาของนางจับจ้องมองเจ้าซาลาเปาสามลูกที่เล่นอยู่ในลานอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มกระเพื่อมบนริมฝีปากของนาง
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่”
ภายใต้แสงแดดจ้า เทียนเทียนกำลังกวดไล่ตามหลังไป๋เสี่ยวเฉิน ใบหน้าอ้วน ๆ แบบเด็กสมบูรณ์ของเขาเหมือนน้อยใจ เขาอ้าแขนออกมารออย่างน่าสงสาร “อย่าอุ้มแต่หลิงเอ๋อตลอดเวลาสิ เทียนเทียนก็อยากถูกอุ้มด้วย อุ้ม ๆ”
ทำไมพี่ใหญ่เอาแต่อุ้มหลิงเอ๋อไม่เคยอุ้มเขาเลย ? หรือว่าเขาไม่น่ารัก ? พี่ใหญ่ไม่ชอบเขางั้นหรือ ?
หรือเขาตะกละเกินไป ? พี่ใหญ่ไม่ชอบเด็กตะกละ ?
ครั้นเห็นว่าไป๋เสี่ยวเฉินยังไม่อุ้มเขา เทียนเทียนก็ทำปากจู๋ ปากของเขาเหมือนลูกสุนัขที่โหยหาความรักความเมตตาและกระดิกหางตลอดเวลา
“พี่ใหญ่ จากนี้ไปข้าจะกินน้อย ๆ พี่อุ้มข้าด้วยได้หรือไม่ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินมองเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่สูงแค่ต้นขาของตน ชั่วขณะนั้นสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยที่กำลังสั่งสอนเด็ก
บทที่ 1360 : ไป๋เซียวมาแล้ว (4)
“ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือไรว่า เจ้าเป็นลูกผู้ชายและลูกผู้ชายก็ไม่ควรถูกอุ้ม”
ในขณะนี้ ไป๋เสี่ยวเฉินดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่า เมื่อสองหรือสามปีก่อน เขาเองก็อ้อนให้ไป๋หยานอุ้มเสมอ อีกทั้งยังไม่ยอมให้นางวางเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้เทียนเทียนอายุน้อยกว่าเขาในตอนนั้นอีก
เทียนเทียนหดแขนกลับด้วยความเสียใจ สีหน้าของเขาแลดูหดหู่มาก
หัวใจของไป๋เสี่ยวเฉินอ่อนยวบ เขาปล่อยเสี่ยวหลิงเอ๋อลงจากอ้อมแขน จากนั้นก็เปลี่ยนมาอุ้มเทียนเทียนแทน
“เทียนเทียน…เจ้าเป็นลูกผู้ชาย เจ้าไม่ควรถูกอุ้มเหมือนผู้หญิง รู้หรือไม่วันหน้าเจ้าจะต้องเป็นราชาแห่งแดนอสูร เจ้าจะต้องไม่ทำตัวน่าเวทนาเช่นนี้”
“ราชาแห่งแดนอสูรคืออะไร ?” เทียนเทียนกัดนิ้ว นัยน์ตากลมโตของเขายังคงงงงวย “ข้ากินได้มั้ย ?”
“หากเจ้าได้เป็นราชาแห่งแดนอสูรก็จะมีอาหารอร่อย ๆ มากมายให้เจ้ากิน สิ่งใดก็ตามที่เจ้าอยากกินเจ้าก็จะได้กิน อาหารทั้งหมดในโลกนี้ก็จะเป็นของเจ้า”
ไป๋เสี่ยวเฉินกะพริบนัยน์ตากลมโตของเขา พลางกล่าวอย่างเป็นต่อ
น้ำลายแห่งความตะกละของเทียนเทียนแทบจะหยดออกมา เขากลืนมันลงคอดังเอื๊อก ชั่วขณะนั้นเขาก็ตั้งปณิธานไว้ในใจว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็อยากเป็นราชาแห่งแดนอสูร ข้าต้องการอาหารอร่อย ๆ เยอะ ๆ ”
“เจ้าพูดแล้วห้ามกลับคำนะ … ” ไป๋เสี่ยวเฉินยิ้ม “หาไม่เจ้าจะไม่ได้กินอาหารอร่อย ๆ ได้อีก”
ครั้นได้ยินว่าจะไม่ได้กินอาหารอร่อย ๆ อีก เทียนเทียนก็เกือบจะร้องไห้ “ข้าไม่คืนคำ ข้าอยากเป็นราชาแดนอสูร ข้าต้องการอาหารมากมายนับไม่ถ้วน”
ไป๋เสี่ยวเฉินยิ้ม รอยยิ้มนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ทว่าน่าเสียดายที่เทียนเทียนยังไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ ราวกับเขาไม่รู้ว่าไป๋เสี่ยวเฉินกำลังหลอกล่อเขาให้ตกลงสู่หลุมพรางลึก
ที่เขาไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ตลอดชีวิต !
กว่าจะรู้ตัวว่าสายไป มาเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว …
ครั้นไป๋หยานซึ่งอยู่ในศาลาไม่ไกล ได้ยินไป๋เสี่ยวเฉินใช้ถ้อยคำหลอกล่อเทียนเทียนน้อย
ใบหน้าของนางก็มืดมนลง
จิ้งจอกน้อยนี่ได้รับมรดกนิสัยมาจากบิดาของเขาเต็ม ๆ เขาเจ้าเล่ห์ และไม่รักษาสัตย์ คำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา ทำให้เทียนเทียนต้องเสียใจไปทั้งชีวิต
ทว่า…
ยามนี้ ไป๋หยานดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่า ผู้ใดสอนไป๋เสี่ยวเฉินให้ขุดกับดักเทียนเทียนน้อย แต่ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินวางหลุมพราง นางกลับคิดว่า นั่นเป็นเพราะเขาสืบทอดนิสัยมาจากตี้คัง
“ราชินี ราชินี !”
น้ำเสียงที่ร้อนรนดังมาจากด้านหน้า ดึงดูดความสนใจของไป๋หยานในทันที
ไป๋หยานหันศีรษะไปเล็กน้อย ทันใดนั้นร่างของทหารรักษาประตูวังก็ผ่านเข้ามาในสายตาของนาง
ทหารรักษาประตูวังรีบก้าวเข้ามาตรงหน้านางด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขารีบโค้งคำนับไป๋หยานเอ่ยกล่าวว่า “ราชินีมีคนมาตามหาพระองค์ ทั้งยังบอกว่าเขาคือน้องชายของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
น้องชาย ?
ไป๋เซียว ?
ไป๋หยานลุกขึ้นยืนทันที
ยามนี้หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้น
“ท่านน้ามาที่นี่งั้นหรือ ?” ไป๋เสี่ยวเฉินหยุดเล่นกับหลิงเอ๋อและเทียนเทียน เขาหันหน้ามาทางไป๋หยานด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าสีชมพูของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เสี่ยวหลิงเอ๋อเอียงศีรษะ เอ่ยถามอย่างหงุดหงิด “พี่ใหญ่ ท่านน้าคือใคร ?”
“ท่านน้าเป็นน้องชายของหม่ามี้ และเป็นหนึ่งในคนที่หม่ามี้รักในโลกนี้ ข้าไม่ได้เจอท่านน้ามานานมากแล้ว”
ไป๋หยานสูดลมหายใจเข้าลึก “เร็ว…รีบพาข้าไปพบเขา !”
ภายหลังแยกจากกันที่อาณาจักรหลิวฮั่วในวันนั้น นางกับไป๋เซียวก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นี่ก็เกือบสามปีแล้ว และตอนนี้ทันทีที่ได้ยินข่าวคราวจากเขา หัวใจของไป๋หยานพลันสั่นสะท้าน น้ำเสียงของนางร้อนรน
“พ่ะย่ะค่ะ”
*****
ที่บริเวณประตูเมืองชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืนมือไพล่หลัง
เขาจ้องมองประตูเมืองที่ปิดสนิท ไม่มีความอบอุ่นเจืออยู่ในแววตาของเขา

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์

นางกลับชาติมาเกิดเป็นทายาทในตระกูลขุนนางจีนที่ทรงเกียรติ ทว่าในเวลานั้นนางไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องคว้าตัวชายสักคนมาปลดปล่อยความทรมานที่กำลังพุ่งถึงจุดที่ไม่สามารถอดทนได้

ไม่คาดคิดไม่เพียงแต่นางต้องถูกพร่าพรหมจรรย์อย่างไม่ตั้งใจคาเตียง นางยังต้องอุ้มท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงานอีกด้วย

มิหนำซ้ำ…ลูกที่นางอุ้มท้องมาถึงสิบเดือนกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเรียกนางว่า “หม่ามี้” ตั้งแต่เกิด โชคดีที่ลูกของนางเลี้ยงง่าย และหวงแม่มาก

ในโลกนี้ย่อมมีทั้งคนดี และคนชั่วมากมายให้ผจญ หม่ามี้กับบุตรชายคู่นี้จึงต้องร่วมมือกันทำลายล้างศัตรู ไหนจะพวกญาติ ๆ ที่ชอบสบประมาทดูหมิ่นพวกเขาอีกล่ะ คนพวกนี้จะต้องได้รับผลกรรมให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันกระทำกับพวกเขาสองแม่ลูก

แต่ทว่า จุ๊ ๆ วันหนึ่งป๊ะป๋าจิ้งจอกก็ปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่คิดจะลักพาตัวจิ้งจอกน้อยเท่านั้น ทว่าเขายังคิดจะชิงหม่ามี้ของเจ้าจิ้งจอกน้อยอีกด้วย ชะช้า ป๊ะป๋าผู้โง่เขลากล้าดียังไง ? จะทำอะไรไม่ถามไม่ไถ่ความเห็นของจิ้งจอกน้อยสักคำ…

จิ้งจอกน้อยเท้าสะเอวพลางกล่าวว่า “ท่านอยากเป็นป๊ะป๋าของข้ากระนั้นรึ ? เช่นนั้นก็ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนมา แล้วก็เดินไปต่อแถวหลัง ๆ โน่น เอ่อ หม่ามี้… ท่านลุงหวังที่อยู่บ้านถัดไปนั่นมีฐานะมั่งคั่งมาก ข้าว่าท่านควรไปเป็นลูกสะใภ้เขาจะดีกว่านะ”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท