ตอนที่ 317 คำพูดอันน่าตกใจของเซ่อเจิ้งหวาง
ทันทีที่น้ำเสียงของจวินมั่วหรันสิ้นสุดลง ทั่วทั้งตำหนักพระที่นั่งสูงสุดก็ตกอยู่ในภวังค์อันเงียบสงัดอีกครั้ง
ทุกคนคิดว่าเฟิงอู๋โยวสิ้นสถานภาพคนโปรดของจวินมั่วหรันไปแล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่า เพื่อปกป้องเฟิงอู๋โยว จวินมั่วหรันถึงกับยอมมีเรื่องกับผู้ที่ถือครองตัวเองเป็นใหญ่และชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างหยุนเฟยไป๋
หยุนเฟยไป๋หมดความสนุกลง ดวงตาสีม่วงพลันผุดแววหงุดหงิด
เขาพูดด้วยน้ำเสียงมืดมน “หรือว่าเซ่อเจิ้งหวางคิดจะขัดใจกับข้าเพียงเพราะสุราแค่จอกเดียว”
“เรื่องนี้ต้องถามเจ้ากลับมากว่า”
“เจ้า…”
หยุนเฟยไป๋โกรธจนหน้าแดงก่ำ เขาเหวี่ยงจอกสุราทิ้ง ก่อนพูดเน้นย้ำ “วิธีการต้อนรับแขกเหรื่อแห่งแคว้นตงหลินน่าสะพรึงใจเสียจริง”
ทุกคนที่เห็นเช่นนี้ล้วนมองหน้ากันไปมา ทุกคนต่างตกใจจนไม่กล้าหายใจเสียงดัง
ณ ที่นั่งด้านบน จี้มั่วอิ้นเหรินได้แต่พยายามปั้นหน้านิ่ง แต่ก็มุ่นปากอย่างจนปัญญา
เขาคิดในใจว่านับวันจวินมั่วหรันก็ยิ่งทำตัวไม่เป็นมืออาชีพขึ้นเรื่อยๆ
ไม่คิดว่าจะปะทะกับหยุนเฟยไป๋ในงานเลี้ยงบัณฑิตแบบนี้!
ต้องเข้าใจว่ากำลังรบของแคว้นตงหลินไม่อาจเทียบเท่าหนึ่งในสามของแคว้นหยุนฉินได้ หากยั่วโมโหหยุนเฟยไป๋ สถานการณ์ของแคว้นตงหลินไม่สู้ดีแน่
ยังดีที่ฮั่วฉี่ลุกออกตัวในช่วงเวลาสำคัญพอดี
“แม่ทัพเฟิงมิสู้ฤทธิ์สุรา ต้องขออภัยอย่างยิ่ง!” ฮั่วฉี่ประสานมือคารวะและพูดกล่าวขออภัย
จากนั้น ฮั่วฉี่ก็ดื่มคารวะหยุนเฟยไป๋สามจอกรวดเดียว
หยุนเหยไป๋คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายมีเหตุผล เขาจึงไม่ยอมถอย ครั้นแล้วดวงตาสีม่วงของเขาก็ขยับไหว สายตาพลันมองไปยังคราบเลือดบนชุดของเฟิงอู๋โยว
“เหอ!”
มุมปากหยุนเฟยไป๋แสยะยิ้ม “แม่ทัพเฟิงได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อใด ดูเหมือนจะเสียเลือดไม่น้อย”
เมื่อหยุนเฟยไป๋พูดเช่นนี้ออกไป สายตาสงสัยอันนับไม่ถ้วนทั่วทั้งตำหนักพระที่นั่งสูงสุดก็มองไปยังคราบเลือดบนชุดของเฟิงอู๋โยว
“น่าแปลก! ไฉนแม่ทัพเฟิงถึงเลือดไหลไม่หยุดคล้ายวันนั้นของสตรี”
“หรือว่าแม่ทัพเฟิงเป็นสตรีปลอมกาย”
“เป็นไปได้! เซ่อเจิ้งหวางจะต้องรู้ว่านางเป็นสตรี ดังนั้นจึงได้ปกป้องนางขนาดนี้”
…
ตอนนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมไปทั่ว
เป่ยถางหลงถิงมองไปที่สีหน้าลำบากใจของเฟิงอู๋โยวอย่างสงสัย อยู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอียงศีรษะและถามเฟิ่งจือหลิน “ท่านเสนาบดี เฟิงอู๋โยวเป็นสตรีจริงหรือ”
เฟิ่งจือหลินพูดอย่างหนักแน่น “เป็นไปไม่ได้ขอรับ”
เป่ยถางหลีอินกระวนกระวายใจรีบคว้าแขนของเป่ยถางหลงถิงและเสแสร้งพูดขึ้น “เสด็จพ่อ อินเอ๋อร์เจ็บแผลเจ้าค่ะ”
“ดีขึ้นมากแล้วไม่ใช่หรือ ไฉนยังเจ็บอยู่อีก” เป่ยถางหลงถิงถอนสายตาออกมาและมองมาที่เป่ยถางหลีอินด้วยสีหน้าที่เต็มด้วยความรัก
“อินเอ๋อร์ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เป่ยถางหลีอินพิงแขนของเป่ยถางหลงถิงพลางพูดขึ้นเสียงแผ่ว “อินเอ๋อร์เคยได้ยินจากเสด็จพ่อว่าเสด็จแม่เคยพำนักอยู่ที่แคว้นตงหลินระยะหนึ่ง พออินเอ๋อร์นึกถึงเรื่องนี้ อยู่ๆ ก็คิดถึงเสด็จแม่มากเกินไป แล้วก็ปวดใจขึ้นมาแปลบๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขอบตาของเป่ยถางหลงถิงก็แดงเรื่อขึ้นมา
แม้ว่าหลิงซู่ซู่จะจากไปนานแล้ว แต่เป่ยถางหลงถิงก็ยังรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่นึกถึงนาง
ณ พระที่นั่งด้านบน พระเนตรของพระพันปีหลวงเห่อเหลียนเฉียบคมขึ้น
นางคิดว่าเรือนร่างของเฟิงอู๋โยวนั้นบอบบางเหมือนสตรีตั้งแต่แรก
เป็นไปอย่างที่คาดไว้!
เพี้ยะ!
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนทุบโต๊ะสุราบันดาลโทสะอย่างแรง “เฟิงอู๋โยวผู้กระทำผิด หลอกลวงขุนนา จงใจปกปิดเพศสภาพของตน จำเป็นต้องโทษประหาร!”
“เฟิงอู๋โยวเป็นบุรุษหรือไม่ กระหม่อมผู้นี้ย่อมรู้ดีกว่าทุกคน”
จวินมั่วหรันอุ้มเฟิงอู๋โยวขึ้นมาและปล่อยให้นางอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของกระหม่อมเองพะย่ะค่ะ เมื่อคืนนี้กระหม่อมเสียสติทำร้ายนางเข้า”
“ทำ…ทำร้ายเยี่ยงไร”
ดวงตาของจี้มั่วจื่อเฉินเบิกกว้างอย่างตกใจ เขาไม่คิดไม่ฝันว่าคนอย่างจวินมั่วหรันจะสามารถพูดเรื่องกำกวมด้วยสีหน้าจริงจังต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
จวินมั่วหรันไม่ตอบ เพียงแค่มองเฟิงอู๋โยวที่ตัวสั่นเพราะความเจ็บปวด และอุ้มพานางออกจากตำหนักพระที่นั่งสูงสุดราวกับไม่มีใครอยู่รอบข้าง
“เซ่อเจิ้งหวางมีนิสัยชื่นชอบไม้ป่าเดียวกันจริงๆ ด้วย!”
“แม่ทัพเฟิงคงทรมานน่าดู เสียเลือดมากขนาดนั้น!”
“โชคดีที่ผู้เซ่อเจิ้งหวางไม่ได้คิดอะไรกับพวกเรา ดูเหมือนว่าการขึ้นเป็นแม่ทัพทหารม้ามันไม่ง่ายเอาเสียเลย”
“คิดจะเป็นบุรุษของเซ่อเจิ้งหวางก็ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน”
…
เป่ยถางหลงถิงเงี่ยหูฟังคำวิจารณ์ของทุกคน อยู่ๆ ก็รู้สึกมีความสุขอย่างไม่มีเหตุผล “เจ้าสารเลวนิสัยเย่อหยิ่งอย่างเฟิงอู๋โยว จำเป็นต้องถูกจัดการ!”
สีหน้าของเฟิ่งจือหลินมืดมิดเหมือนก้นหม้อ
อย่างไรก็ตาม เฟิงอู๋โยวก็เป็นเลือดเนื้อของเขา
การที่เลือดเนื้อของเขาเองถูกคนอื่นทรมานอย่างแสนสาหัสขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกไร้สีหน้าศักดิ์ศรี
เป่ยถางหลีอินกัดฟันกรอด อยากจะพุ่งไปข้างหน้าและฉีกใบหน้าอันเย้ายวนทรงเสน่ห์ของเฟิงอู๋โยว ออกเป็นชิ้นๆ
นางก่นด่าอยู่ในใจ คนเสเพลไร้ยางอายอย่างเฟิงอู๋โยว ทั้งที่ยังไม่ออกเรือนแท้ๆ แต่กลับได้อยู่กับจวินมั่วหรัน นางอยากจะส่งบุรุษไปเป็นของขวัญให้เฟิงอู๋โยวสักสองสามคนเสียจริง!
…
ณ ตำหนักด้านข้าง จวินมั่วหรันวางเฟิงอู๋โยวที่ใบหน้าซีดเซียวลงบนเตียงอย่างเบามือ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของเขาแลดูทำอะไรไม่ถูก
“ขอข้าดูหน่อย บาดเจ็บตรงไหน”
เสียงของจวินมั่วหรันสั่นเครือ เขายื่นมือออกไปหมายปลดเสื้อคลุมของนางออก
“สารเลว เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ”
“เป็นความผิดของข้าเอง”
จวินมั่วหรันคิดว่าอาการเจ็บป่วยเก่าของเฟิงอู๋โยวกำเริบขึ้นเพราะโทสะของเขา ภายในใจจึงรู้สึกผิดเหลือทน
แม้เขาจะเขาถอดเสื้อคลุมของนางออก แต่ก็ไม่รู้จะบรรเทาความเจ็บปวดในร่างกายของนางได้เยี่ยงไร
บาดแผลข้างในร่างกายไม่อาจให้โอสถภายนอกรักษาได้
ขณะที่อับจนหนทางอยู่นั้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามนางไปที่บนเตียง จากนั้นก็วางฝ่ามืออุ่นผ่าวของเขาลงบนหน้าท้องเย็นเฉียบของนางและถ่ายโอนพลังปราณให้นางอย่างคงที่
เมื่ออาการปวดท้องของเฟิงอู๋โยวดีขึ้นเล็กน้อย นางก็เค้นแรงทั้งหมดผลักจวินมั่วหรันที่อยู่ข้างๆ ลงจากเตียง
“เจ้ากีบหมูตัวใหญ่ เจ้ารังแกข้าแบบนี้ได้เยี่ยงไร”
“เป็นความผิดของข้าผู้นี้เอง”
อันที่จริง จวินมั่วหรันไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
แต่ว่าเมื่อเห็นสภาพอันอ่อนแออิดโรยของเฟิงอู๋โยว เขาจึงได้จำใจยอมรับผิด
“ออกไป ข้าไม่อยากเจอเจ้าอีก”
“ทำตัวดีๆ เจ้าต้องการคนดูแล”
เฟิงอู๋โยวพูดเสียงเย็น “ข้าไม่ต้องการ”
ในหัวของนางตอนนี้เต็มไปด้วยภาพจวินมั่วหรันที่จับโอสถคุมกำเนิดกรอกปากนางอย่างรังเกียจ ผนวกกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากหน้าท้อง นางจึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเขาไปมากกว่านี้
เดิมทีโอสถคุมกำเนิดก็เป็นโอสถที่ห้ามกินในปริมาณมาก
และเขายังจงใจปรุงยาที่ออกฤทธิ์แรงที่สุด หากนางอ่อนแอกว่านี้ ป่านนี้คงไม่รอดแล้วกระมัง
“คนดี เอาไว้รอเจ้าดีขึ้นกว่านี้ ข้าค่อยแบกไม้มารับโทษ[1] กับเจ้า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาใช้อารมณ์”
“ข้าใช้อารมณ์กระนั้นหรือ เซ่อเจิ้งหวาง เจ้าไม่รู้หรือว่าห้ามกินโอสถคุมกำเนิดซี้ซั้ว”
“อาการปวดท้องของเจ้าเป็นผลมาจากโอสถคุมกำเนิดกระนั้นหรือ”
สีหน้าของจวินมั่วหรันนิ่งลง เขาไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่ทำร้ายนางไม่ใช่ใครอื่น แต่กลับเป็นตัวเขาเองมาตลอด
[1]แบกไม้มารับโทษ หมายถึงออกตัวยอมรับความผิดก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะลงโทษ