ตอนที่ 323 ใครบอกว่าข้าไม่เต็มใจทำ / ตอนที่ 324 การเชื่อฟังสามีคืออะไร
ตอนที่ 323 ใครบอกว่าข้าไม่เต็มใจทำ
เฟิงอู๋โยวพยายามขัดขืนกลับอย่างสุดกำลัง แต่จวินมั่วหรันกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
นางรู้สึกหดหู่ใจเป็นที่สุด นางอ้าปากกว้างและกัดเข้าที่ซอกนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของจวินมั่วหรัน
ดวงตาสีดำประกายทองของจวินมั่วหรันเต็มไปด้วยแววเอ็นดูราวกับสูญเสียความรู้สึกเจ็บปวดไปแล้ว เขาปล่อยให้นางกัดอยู่แบบนั้น ซ้ำยังหยิกแก้มของนางอีก
เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่าจวินมั่วหรันมองตัวเองเป็นเหมือนแมวเหมือนหมา มือข้างหนึ่งหยิกแก้มของนางตามอำเภอใจ ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้ตามร่างกายของนางอย่างไม่เป็นสุข
“เจ้าเคยบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะเชื่อฟังข้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร”
เฟิงอู๋โยวอ้าปากออก ดวงตาทรงกลีบดอกท้อปะทุเปลวไฟขึ้นสองจุด
จวินมั่วหรันไม่ต้องการต่อรอง เขายังคงต่อต้านนางอยู่ “เรื่องนี้เป็นกรณียกเว้น”
“เจ้าไม่เต็มใจทำจริงๆ หรือ”
“ข้าไม่เต็มใจทำ” จวินมั่วหรันตอบอย่างห้วนๆ
ในความคิดของเขา การถูกสตรีอุ้มถือเป็นเรื่องไม่สมควรที่สุด
เฟิงอู๋โยวคว่ำปากและพูดอย่างโมโห “ถ้าเจ้าไม่ทำ ข้าเปลี่ยนไปอุ้มคนอื่นก็ได้”
ดวงตาของจวินมั่วหรันเฉียบคมขึ้นฉับพลัน “ใครบอกว่าข้าไม่เต็มใจทำ”
เขารีบวางเฟิงอู๋โยวลงและกางแขนออก “จะไม่มีครั้งต่อไปอีก”
“ก็ได้”
เฟิงอู๋โยวยิ้มร่าอย่างมีความสุข นางถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น เขย่งเท้าและจูบจวินมั่วหรันที่แก้มสองครั้ง
“อืม แค่ครั้งเดียว!”
“อืม!”
เฟิงอู๋โยวถกแขนเสื้อขึ้น นางแยกขาออกเป็นเส้นตรงและย่อตัวลงอย่างมั่นคง มือข้องหนึ่งโอบที่เอว ส่วนอีกข้างวงลงที่ข้อพับหัวเข่าด้านหลัง จากนั้นก็อุ้มจวินมั่วหรันขึ้นมาในอ้อมแขน
ตอนนี้ ในหัวของจวินมั่วหรันล้วนว่างเปล่า
การกระทำเอาแต่ใจของเฟิงอู๋โยวทำให้เขารู้สึกว่านางมองตัวเขาเป็นหินก้อนใหญ่ที่เอาไว้แสดงในฉากทุบหินเพื่อแสดงความกล้าและแข็งแกร่งของนางทุกที่ทุกเวลา
แม้คิดได้เช่นนี้ แต่จวินมั่วหรันทำได้แต่ซบลงอ้อมแขนของนาง
คงพูดไม่ได้ แต่ความรู้สึกเหมือนแผ่นเหล็กแบบนี้ เหมาะสมที่จะนำมาทุบหินจริงๆ
“เฟิงอู๋โยว เจ้าทำตัวสำรวมหน่อยได้หรือไม่ ข้าไม่เคยเจอคนเยี่ยงเจ้ามาก่อน…สตรีที่ทำแต่เรื่องน่าตกใจ”
“เจ้าแสดงออกอย่างอ้อมค้อมว่ารังเกียจข้าที่หน้าอกเล็ก ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก”
“ข้าแสดงออกว่ารังเกียจตั้งแต่เมื่อใด”
“เจ้าเคยแสดงออกแบบนั้น”
เฟิงอู่โยวพูดอย่างฉะฉาน “นกกระจอกแม้ตัวเล็ก แต่เครื่องในครบสมบูรณ์[1] หากเจ้าทำความคุ้นเคยหน่อย ขยับไม้ขยับมือหน่อย บางทีอาจจะหลงรักจนยากจะถอนใจก็เป็นได้”
จวินมั่วหรันรู้สึกจนปัญญา เขาคิดมาตลอดว่าการเฟิงอู๋โยวเอาแต่ปฏิเสธคงเป็นเพราะว่านางเป็นสตรีที่รักนวลสงวนตัว
นึกไม่ถึงว่าปากของนาง ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดออกมา!
“เฟิงอู๋โยว สตรีแห่งแคว้นเป่ยหลีล้วนพูดจาเถรตรงแบบเจ้ากันหมดเลยหรือ”
“แล้วบุรุษแห่งแคว้นตงหลินล้วนกระมิดกระเมี้ยนไม่กล้าพูดเหมือนดอกไม้ตูมแบบเจ้ากันหมดหรือไม่”
เฟิงอู๋โยวเลิกคิ้ว มุมปากรั้งขึ้น นางพยายามหยอกล้อจวินมั่วหรันผู้หล่อเหลาที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง
จวินมั่วหรันแค่นเสียงหึในลำคออย่างเย็นชา เขาไม่คิดว่าเฟิงอู๋โยวจะทำตัวได้คืบจะเอาศอกแบบนี้
เมื่อเฟิงอู๋โยวอุ้มจวินมั่วหรันมาถึงตำหนักพระที่นั่งสูงสุดอย่างภาคภูมิใจ บรรยากาศภายในท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
ทุกคนจ้องมองภาพฉากอันแปลกประหลาดนี้อย่างตะลึงงัน ไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะหายใจ เพราะกลัวจวินมั่วหรันอารมณ์ขึ้นและสะบั้นคอพวกเขาทิ้ง
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนผู้คร่ำโลกถึงกับตกใจอย่างมากเช่นกัน
ในความทรงจำของนาง จวินมั่วหรันเป็นคนที่ดูหยิ่งยโสและน่าเกรงขามอยู่เสมอ
ตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ เขาไม่เคยทำตัวเป็นเด็กน้อยเอาอกเอาใจใคร และไม่อยากให้ใครแตะต้องตัวเขา
วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เย่เชี่ยวที่เพิ่งหยุดร้องไห้และกำลังแทะเม็ดฟักทองอยู่อย่างเอร็ดอร่อยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่คิดว่า เซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลินจะมีด้านที่บอบบางด้วย! ข้าชอบ! ชอบเหลือเกิน!”
จี้มั่วจื่อเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ นางรู้สึกโมโหขึ้นมา เขาจับใบหน้าที่เล็กเท่าฝ่ามือของนางกดจุ่มลงไปในกองเม็ดฟักทอง
แต่เมื่อเขาเห็นจวินมั่วหรันที่ดูเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ในอ้อมแขนของเฟิงอู๋โยว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและพ่นเม็ดฟักทองใส่หน้าเย่เชี่ยวอย่างอดไม่ได้
ตอนที่ 324 การเชื่อฟังสามีคืออะไร
จี้มั่วจื่อเฉินดึงแขนเสื้อของเย่เชี่ยวมาเช็ดปากอย่างไม่ใส่ใจ ในเวลาเดียวกันก็ถามจวินมั่วหรันอย่างตกใจ “อาหรัน ไฉนเข่าของเจ้าถึงแตกได้”
เฟิงอู๋โยวคลี่ยิ้มชิงตอบเป็นคนแรก “อารมณ์พุ่งพล่านจนลืมตัว ครั้งหน้าข้าจะระวังกว่านี้”
ทันทีที่นางพูดแบบนี้ จวินมั่วหรันก็โมโหจนหายใจไม่ออก
หากในท้องพระโรงตอนนี้มีแค่เขากับนาง เขาจะต้องทำให้นางได้รู้ซึ้งถึงการเชื่อฟังสามี
จี้มั่วจื่อเฉินได้ยินเช่นนั้นก็สำลักไม่หยุด
เขาคิดว่าตัวเองเป็นมังกรขาวในเกลียวคลื่น[2]แห่งหอนางโลม แต่นึกไม่ถึงว่าเฟิงอู๋โยวจะหน้าด้านกว่าเขามาก
พอพูดจาตลกลามกขึ้นมา ก็ทำให้เขาและพวกผู้เฒ่าผู้แก่หน้าแดงเรื่อไปตามๆ กัน
หันไปมองจวินมั่วหรัน แม้ว่าเขาจะถูกเฟิงอู๋โยวอุ้มไว้ในอ้อมแขน แต่ใบหน้ายังสะท้อนความหยิ่งทระนงราวกับไม่สนทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า
ดวงตาเยือกเย็นราวกับคมมีดไร้ความรู้สึก ใบหน้าฉายแววดุดัน ท่าทีสง่างามน่าเกรงขาม แม้ไม่โกรธแต่ทรงอำนาจ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลังจากพระพันปีหลวงเห่อเหลียนตั้งสติกลับมา นางทรงตำหนิเฟิงอู๋โยวอย่างพิโรธ “บังอาจ! เจ้าบังอาจกระทำหยาบคายกับเซ่อเจิ้งหวางในที่สาธารณะได้เยี่ยงไร!”
เฟิงอู๋โยวกล่าวอย่างชอบธรรม “กราบเรียนพระพันปีหลวงพะย่ะค่ะ หัวเข่าของเซ่อเจิ้งหวางได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถยืนเป็นเวลานานได้ เพื่อให้หัวเข่าของเซ่อเจิ้งหวางได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ กระหม่อมจึงพยายามออกแรงอุ้มเซ่อเจิ้งหวางขึ้นมาพะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องอธิบาย”
จวินมั่วหรันพูดอย่างทระนงตน จากนั้นผละออกจากอ้อมกอดของเฟิงอู๋โยวและกุมมือเล็กๆ ที่เย็นเยียบของนางไว้ในมือขนาดใหญ่ของเขา
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนพูดไม่ออก นางไม่คิดว่าจวินมั่วหรันจะทระนงตนจนไม่สนใจคนอื่นแบบนี้
จี้มั่วอิ้นเหรินชำเลืองมองสีหน้าเหยเกของพระพันปีหลวงเห่อเหลียนและรีบพูดสยบสถานการณ์ “เริ่มงานเลี้ยง”
“เริ่มงานเลี้ยงได้”
หัวหน้าขันทีกระแอมปรับน้ำเสียง จากนั้นก็แผดเสียงประกาศดังกังวาน ทลายบรรยากาศอันแปลกประหลาดในพระที่นั่งสูงสุดลงทันที
จวินมั่วหรันเบียดฮั่วฉี่ที่อยู่ข้างๆ เฟิงอู๋โยวออกไป และนั่งข้างๆ นางอย่างหน่ายอารมณ์ โดยพาดมือข้างหนึ่งไว้บนพนักเก้าอี้ของนางอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับกำลังแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าทุกคน
เฟิงอู๋โยวมองไปที่หัวเข่าของเขาอย่างใจเย็น ยื่นมืออันเรียวยาวออกไปเพื่อสัมผัสอย่างแผ่วเบา
“มั่วหรัน เจ็บหรือไม่”
ใบหน้าอันวิจิตรงดงามของนางบึ้งบูด
มุมปากของจวินมั่วหรันรั้งขึ้น เขารู้สึกว่าเฟิงอู๋โยวน่ารักที่สุด
นางยังอ่อนวัย เอาไว้หลังจากนี้ค่อยโอกาสอีกมา
ความรักอันลึกซึ้งผุดขึ้นมาจากส่วนลึก เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาหยิกแก้มของเฟิงอู๋โยวเบาๆ
“เจ้าจะทำอะไร ผู้คนมองอยู่!”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกอายอย่างมาก รีบดึงมือของจวินมั่วหรันออกไป
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนมองอากัปกิริยาทุกท่วงท่าของเฟิงอู๋โยว จากนั้นก็หันศีรษะไปต่อว่าจี้มั่วจือหยวนอย่างรุนแรงว่า “เจ้าไม่รู้จักวิธีเป็นฝ่ายเริ่มก่อนหรือกระไร เทียบกับบุรุษคนหนึ่งไม่ติด น่าขายหน้าชะมัด”
จี้มั่วจือหยวนกัดริมฝีปากและพูดอย่างอ้างว้าง “บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี[3]”
“ไฉนผู้น่าสงสารเยี่ยงข้าถึงให้กำเนิดบุตรีไร้ประโยชน์เยี่ยงเจ้าออกมาได้!” พระพันปีหลวงเห่อเหลียนทรงโกรธจี้มั่วจือหยวนจนปวดศีรษะ
นางวางมือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “หยวนเอ๋อร์ ผู้น่าสงสารเยี่ยงข้าหวังแค่ว่าเจ้าจะได้พบกับว่าที่สามีที่ดีโดยเร็วที่สุด เซ่อเจิ้งหวางเป็นทางเลือกที่ดีจริงๆ จงอย่ามองหน้าเหลียวหลัง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคิดว่าต่อให้ไม่มีเฟิงอู๋โยวก็ยังมีสุนัขจิ้งจอกตัวอื่นที่จ้องจะแย่งตำแหน่งนาสนมเอกของเซ่อเจิ้งหวางไปจากเจ้าอยู่ดี”
“เสด็จแม่เจ้าคะ เรื่องของลูก ลูกย่อมมีขอบเขตเป็นของตัวเอง”
“ขอบเขต? จี้มั่วจือหยวน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ จงอย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นหญิงชรา”
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนมองเฟิงอู๋โยวอย่างเยือกเย็นสลับกลับหันมามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของจี้มั่วจือหยวน ทำให้นางรู้สึกโมโหเป็นยิ่งนัก
แต่ทันใดนั้น อยู่ๆ พระพันปีหลวงเห่อเหลียนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเหมือนเคยเห็นหน้าของเฟิงอู๋โยวที่ไหนสักแห่ง
“แปลกมาก! ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าใบหน้าของเฟิงอู๋โยวช่างคุ้นเคยนัก” พระพันปีหลวงเห่อเหลียนพึมพำกับตัวเอง
เฟิงอู๋โยวสังเกตเห็นสายตาอันรุ่มร้อนของพระพันปีหลวงเห่อเหลียน ครั้นแล้วจึงเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้พระพันปีหลวงเห่อเหลียน
เมื่อเห็นสีหน้าของพระพันปีหลวงเห่อเหลียน เฟิงอู๋โยวจึงลดเสียงลงกระซิบข้างหูจวินมั่วหรัน “พระพันปีหลวงเห่อเหลียนคงไม่คิดเลี้ยงบุรุษคนโปรดหรอกกระมัง ดวงตาที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ของนาง จ้องใบหน้าอันงดงามของข้าอย่างไม่ละสายตา”
“พระพันปีหลวงเห่อเหลียนทรงมีความรักอันลึกซึ้งต่อฮ่องเต้ผู้ล่วงลับแต่เพียงผู้เดียว”
“แต่สายตาของนางที่มองมาที่ข้าเหมือนกับที่หมาป่าผู้หิวโหยมองลูกแกะ”
เฟิงอู๋โยวถูกพระพันปีหลวงจ้องมองจนหนังศีรษะชา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ดึงแขนของจวินมั่วหรันอย่างงุ่มง่ามและพึมพำ “มั่วหรัน ข้าควรทำเยี่ยงไร พระพันปีหลวงเห่อเหลียนกำลังทอดพระเนตรมาที่ข้าจริงๆ ถ้าข้ามีสิ่งนั้นก็ว่าไปอย่าง บางทีข้าอาจจะโบยบินขึ้นสู่กิ่งก้านพญาหงส์ กลายเป็นคนโปรดของพระพันปีหลวง แต่น่าเสียดาย ข้าไม่อาจเติมเต็มความพึงพอใจของนางได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จวินมั่วหรันก็หยิกเอวเล็กคอดของนางอย่างแรง “เฟิงอู๋โยว เจ้าคิดจะเติมเต็มความพึงพอใจของใคร”
“เจ้า!”
เฟิงอู๋โยวตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางยิ้มอย่างเขินอาย ในดวงตาที่โค้งมนดั่งจันทร์เสี้ยวสดใส ฉายเพียงภาพสะท้อนของจวินมั่วหรันเท่านั้น
ไป๋หลี่เหอเจ๋อมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังยิ้มอย่างพริ้มพราว หัวใจของเขาก็พลันปวดตุบๆ
ตอนที่เฟิงอู๋โยวอยู่กับเขา นางมีใบหน้าเย็นชาเสมอ
แต่เมื่อนางอยู่กับจวินมั่วหรันทั้งมุมปากหางคิ้วล้วนเจือแววยิ้ม
แกรบ!
ไฟโทสะลุกโชนขึ้นกลางใจของไป๋หลี่เหอเจ๋อในบัดดล เขาออกแรงบีบจอกสุราในมือจนแตกละเอียด
ฟู่เย่เฉินเหลือบมองฝ่ามือเปื้อนเลือดของไป๋หลี่เหอเจ๋อพลางพูดเสียงทุ้ม “ไฉนต้องทรมานตัวเอง”
“นี่คือชะตากรรมของข้า”
น้ำเสียงของไป๋หลี่เหอเจ๋อเย็นเรียบ เจือแววเศร้าโศกเบาบาง
เป่ยถางหลงถิงที่นั่งถัดจากไป๋หลี่เหอเจ๋อมองไปที่มือที่เปื้อนเลือดของไป๋หลี่เหอเจ๋อและพูดกับเป่ยถางหลีอินอย่างเคร่งขรึม “ตอนที่เลือกว่าที่สามี จำเป็นต้องเบิกตากว้างมองให้ชัด ห้ามเลือกบุรุษที่มีแนวโน้มชอบทำร้ายตัวเองเยี่ยงราชครูแห่งแคว้นตงหลินเด็ดขาด! คนประเภทนี้ใจร้ายกับตัวเองได้ ก็สามารถใจร้ายกับคนอื่นได้เช่นกัน”
“เสด็จพ่อ ราชครูแห่งแคว้นตงหลินไม่ได้เลวร้ายเหมือนดั่งที่ท่านพูดขนาดนั้นเสียหน่อย เขาแค่ไม่ทันระวังจนโดนบาดมือก็เท่านั้น”
แววตาของเป่ยถางหลีอินขยับไหว นางจ้องมองไป๋หลี่เหอเจ๋อที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนภาพวาดของดวงตาใสวาวดั่งลำธารใส ประหนึ่งเซียนผู้งามสง่าที่ถูกเนรเทศ
เมื่อนางพบว่าดวงตาที่เปล่งประกายของไป๋หลี่เหอเจ๋อจ้องมองเฟิงอู๋โยวอยู่ตลอด นางก็เกือบควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่
มือทั้งสองข้างของนางกำหมัดแน่น เล็บมือสีแดงจิกลึกลงในฝ่ามือ
เป่ยถางหลีอินไม่เข้าใจ เพียงแค่เฟิงอู๋โยวกระดิกนิ้วก็สามารถได้ในสิ่งที่นางพยายามแทบตายแต่ก็ไม่ได้มา
“เฟิงอู๋โยว สักวันหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยเลือด! การแย่งชิงคนไปจากข้า ช่างไม่เจียมตัว!”
เป่ยถางหลีอินกัดฟันกรอด ขอบตาแดงเรื่อ
[1] นกกระจอกแม้ตัวเล็ก แต่เครื่องในครบสมบูรณ์ หมายถึงถึงแม้เรื่องที่ทำอยู่หรือสิ่งที่มีอยู่จะไม่ใหญ่โตมากมาย แต่ก็สมบูรณ์แบบในตัวของมัน
[2]มังกรขาวในเกลียวคลื่น หมายถึงผู้ที่คุ้นเคย มีประสบการณ์หรือเอาตัวรอดเก่งในสภาพแวดล้อมนั้นๆ
[3]บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี หมายถึงหลงรักเขาข้างเดียว ทำทุกสิ่งอย่างเพื่อเขาก็แล้ว แต่เขายังไม่เหลียวแลไม่เห็นคุณค่า