ตอนที่ 362 แวะเยี่ยมหลิ่วหยวนยามวิกาล
เมื่อหยุนเฟยไป๋ตระหนักได้ว่าอวัยวะที่สำคัญที่สุดโดนตัดออกไป ก็โมโหเป็นที่สุด
เขางอตัว ยกมือสองข้างกุมแผลไว้แน่น สีหน้าดูทรมานปนหวาดกลัวเป็นที่สุด
“ข้าเป็นถึงรัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉิน หากเจ้ากล้าเอาชีวิตข้า เจ้าไม่ได้ตายดีแน่นอน”
เส้นเลือดบนใบหน้าของหยุนเฟยไป๋ปูดขึ้น แต่รูม่านตาสีม่วงหดเกร็งฉับพลัน
ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผิวหนังทั่วทั้งตัวของเขากำลังแตกระแหงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลักษณะคล้ายเกล็ดปลา เลือดสดแดงฉานไหลออกมา
“ขาดแล้ว?”
ริมฝีปากเรียวบางของจวินมั่วหรันขยับเล็กน้อย ดวงตาสีดำประกายทองของเขาซ่อนแววนึกสนุก น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหู สะท้อนความเอาแต่ใจและความเกียจคร้านที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
แต่เสียงที่หยุนเฟยไป๋ได้ยินกลับเสมือนเสียงโหยหวนไม่น่าฟังจากนรก น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เวลานี้ และแล้วเขาถึงตระหนักได้ว่าอะไรคือความทุกข์ยากลำบาก
“หากข้าเป็นอะไรไป เจ้าก็มีชีวิตรอดไปได้ยาก” หยุนเฟยไป๋กัดฟันข่มขู่จวินมั่วหรันอย่างเหี้ยมโหด
“เจ้าคิดว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าจะไม่สั่นคลอนกระนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันผุดยิ้มมุมปาก สีหน้าท่าทางเจ้าเล่ห์ชวนหวาดหวั่น
เมื่อหยุนเฟยไป๋ได้ยินสิ่งที่จวินมั่วหรันต้องการจะสื่อ ก็ยิ่งทำให้จิตใจของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย
ถ้าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจริงๆ สิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งชีวิตต้องจบลงภายในวันเดียว
ราชวงศ์หยุนฉินไม่ได้มีเขาเป็นรัชทายาทคนเดียว หากไม่สามารถมีโอรสสืบสกุลต่อไปได้ ตำแหน่งรัชทายาทของเขาต้องสั่นคลอนแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเหิมเกริมของหยุนเฟยไป๋ก็ลดลงไปไม่น้อย
นัยน์ตาสีม่วงถลนออกมาเพ่งมาจวินมั่วหรันแน่นิ่ง ริมฝีปากบางได้รูป ตอนนี้กลับถูกกัดจนเกือบลุ่ย แลดูน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
“แล้วข้าต้องเยี่ยงไร เจ้าถึงจะยอมปล่อยข้าไป”
“หากเจ้ากล้าแตะต้องเฟิงอู๋โยวอีก ข้าจะทำลายล้างทุกสิ่งอย่างของเจ้าด้วยความยินดี”
คนรักที่จวินมั่วหรันถะนุถนอมดั่งดวงใจ จะยอมให้ใครมาทำร้ายดูถูกได้เยี่ยงไร
แม้หยุนเฟยไป๋จะเป็นถึงองค์รัชทายาท มีอำนาจล้นฟ้า ก็ห้ามรังแกนางแม้แต่น้อยนิด
หยุนเฟยไป๋นึกว่าการที่จวินมั่วหรันระบายอารมณ์โกรธแบบนี้เป็นเพราะถูกลอบทำร้ายที่ภูเขาด้านหลังสุสาน แต่ไม่คิดเลยว่าเขามาล้างแค้นเพราะเฟิงอู๋โยว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาสีม่วงก็ฉายแววนึกเสียใจเล็กน้อย
หากรู้แต่แรกว่าจวินมั่วหรันห่วงใยเฟิงอู๋โยวขนาดนี้ เขาก็ไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยง โดยการท้าทายขีดความอดทนของจวินมั่วหรันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภายใต้แสงจันทร์อันเงียบเหงาเย็บเชียบที่ลอดผ่านกิ่งต้นไม้ ตกกระทบอยู่ทั่วขอบหน้าต่าง ทำให้พรมที่เปื้อนคราบเลือดสีแดงดูเละตุ้มเป๊ะไปหมด
“หยุนเฟยไป๋ จงสร้างบุญกุศลให้มากเข้าไว้แล้วกัน”
จวินมั่วหรันกวาดสายตามองดูคราบเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้าของหยุนเฟยไป๋ ค่อยๆ เก็บดาบสะบั้นมังกรเข้าฝัก แล้วกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะกลืนหายไปท่ามกลางแสงจันทร์อันเงียบเหงา
เรือนพำนักในคืนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและการฆ่าฟัน
เรือนพำนักของหยุนเฟยไป๋เพิ่งจะสงบลงก็ถูกหลิ่วหยวนที่จัดให้พักอยู่เรือนทิศใต้สุดก็นอนเอนร่างตายอย่างน่าประหลาดอยู่กลางเรือน
สองวันมานี้เป่ยถางหลงถิงครุ่นคิดถึงบท ‘อุบายนางกำนัล’ ของหลิ่วหยวนในงานเลี้ยงบัณฑิตวันนั้น
เขารู้สึกว่าหลิ่วหยวนไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด
หลังจากครุ่นคิด เป่ยถางหลงถิงตัดสินใจ หลบเหล่าคนรับใช้มาเคาะที่ประตูเรือนพำนักของหลิ่วจ้าว
ก่อกๆๆ!
เป่ยถางหลงถิงพลั้งมือเคาะเกินไปหนึ่งที
คนสามครั้ง ผีสี่หน
โดยทั่วไป การเคาะประตูจะต้องเคาะต่อเนื่องเพียงสามครั้ง แต่เขากลับเคาะไปทั้งหมดสี่ครั้ง
เป่ยถางหลงถิงคิดว่าการกระทำของตัวเองไม่เหมาะสม จึงกระแอมเบาๆ เพื่อแก้เขิน “บัณฑิตหลิ่วอยู่หรือไม่”
เขารอเสียงตอบกลับอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงหลิ่วหยวนตอบกลับ เดินทีคิดจะกลับไป
แต่ขณะกำลังจะหมุนตัวหกลับ หางตาของเป่ยถางหลงถิงก็เห็นเหมือนมีเงาคนเคลื่อนไหว ในใจรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที
ดูท่าแล้ว ในห้องต้องมีคนอยู่
ถ้ามีคนอยู่ แล้วไฉนถึงไม่ตอบ
ปึ่ง!
เป่ยถางหลงถิงผลักประตูที่ปิดสนิทไปเต็มแรง
เป็นไปอย่างที่คิด หลิ่วหยวนยังนอนอยู่ในห้อง
แต่ที่ผิดคาดก็คือ หลิ่วหยวนผูกคอตาย
เงาเคลื่อนไหวที่เขาเห็นเมื่อครู่ ต้องเป็นร่างไร้วิญญาณของหลิ่วหยวนที่ห้อยอยู่กลางอากาศเป็นแน่
สีหน้าเป่ยถางหลงถิงซีดลงฉับพลัน เขารีบฟาดมือลงบนคานอย่างไม่รอเช้า ตัดเชือกที่แขวนร่างไร้วิญญาณอันเย็นเฉียบของหลิ่วหยวนลง แล้ววางร่างหลิ่วหยวนไว้บนเตียง
เขามองร่างของหลิ่วหยวนที่ตายอย่างมีเงื่อนงำพลางถอนหายใจ “ในเมื่อรู้ว่า ‘ห้ามทำเรื่องโดดเด่นเกินไป’ ไฉนจึงไม่รีบถอนตัวออกมาเพื่อความอยู่รอด” เป่ยถางหลงถิงเสียดายบัณฑิตผู้มีความสามารถ เห็นหลิ่วหยวนตายอย่างมีเงื่อนงำก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน เมื่อได้ยินเหมือนมีเสียงอะไรเกิดขึ้น สาวรับใช้ก็รีบบึ่งมา พบหลิ่วหยวนนอนตายลูกนัยน์ตาถลน สีหน้าดำมืดลง ลิ้นจุกปาก และตกใจร้องตะโกนเสียงแหลม “มีคนตาย!”
ทันใดนั้น เรือนพำนักที่อยู่ไกลสุดแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยทหารองครักษ์หลายสิบคน
จากเรือนที่มืดมิดด้วยยามราตรี ตอนนี้กลับสว่างไปด้วยโคมไฟ
เป่ยถางหลงถิง ไม่ได้อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนี แต่กลับพยายามปิดเปลือกตาของหลิ่วจ้าวลง แต่ก็ล้มเหลวทุกที
“ตายตาไม่หลับ ต้องมีเรื่องที่ยังคาใจอยู่แน่นอน”
ทหารองครักษ์ที่มาถึง เห็นเป่ยถางหลงถิงนั่งอยู่หน้าเตียงก็สอบถามอย่างมีมารยาท “ฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลี่ นี่คือ?”
“ข้าตั้งใจจะมาบัณฑิตหลิ่วเพื่อคลายข้อสงสัย แต่ไม่คิดว่าเมื่อเข้ามาในห้อง กลับพบเค้าแขวนขอตายอยู่บนคาน ซ้ำยังตายตาไม่หลับ”
เป่ยถางหลงถิงตอบอย่างเชื่องช้า ขณะกำลังจะเดินกลับ กลับเหลือบไปเห็นเหมือนฝ่ามือของหลิ่วจ้าวมีบาดแผลจากของมีคม
เห็นเช่นนั้น ก็ยื่นมือออกไปอย่างสงสัย ค่อยๆ สัมผัสบาดแผลที่กรีดไปมาบนฝ่ามือของหลิ่วหยวน
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
ตัวหนังสือที่อยู่บนฝ่ามือของหลิ่วหยวน เขียนว่า ‘อิน’ ใช่หรือไม่