ตอนที่ 369 ชูชูส่อพิรุธ
ปึ่ง!
ขุนนางจิ้นตบโต๊ะด้านหน้าตัวเองและพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “หลังจากที่ข้ารู้เรื่องว่าฉู่อีอีคิดลอบสังหารฮ่องเต้ ข้าก็ฆ่านางทิ้งไปแล้ว เฟิงอู๋โยว ไฉนเจ้าถึงรื้อเรื่องในอดีตขึ้นมาอีก หรือคิดจะปั่นหัวผู้อื่น”
“ขุนนางจิ้นอย่าได้กระวนกระวายใจ”
เฟิงอู๋โยวขี้เกียจสนใจขุนนางจิ้น จึงหันกลับไปถามชูชูที่สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน “ฉู่อีอี เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ”
“ชูชูไม่รู้จักฉู่อีอี ชูชูเกิดจากครอบครัวยากจน โชคดีได้เข้ามาถวายกายรับใช้ในวังหลวง จะกล้ากระทำผิดเช่นนั้นได้เยี่ยงไร”
“แต่วาจาของเจ้าที่พูดออกมา ไม่เหมือนคนที่เกิดจากครอบครัวยากจนเลยแม้แต่น้อย”
ชูชูแบ่งรับแบ่งสู้ได้อย่างเหมาะสม แต่เฟิงอู๋โยวก็ยังคงพูดเข็มเดียวแทงเห็นเลือด[1]
หญิงสาวที่มาจากครอบครัวยากจน จะหาโอกาสร่ำเรียนเขียนอ่านมาจากไหน
กิริยาและการพูดจาของชูชู ไม่น่าจะฝึกแค่วันสองวันก็ฝึกขึ้นมาได้
เฟิงอู๋โยวเห็นนางไม่ตอบกลับ จึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้อีกก้าว พร้อมกับพูดขึ้น “เจ้ากล้าที่จะให้พิสูจน์ใบหน้างดงามน่าดึงดูดของเจ้าหรือไม่
“ได้”
ชูชูตอบกลับอย่างไม่ลังเล และค่อยๆ เดินลงจากบันไดด้วยท่าทางอันสำรวม
กระทั่งเดินถึงหน้าของเฟิงอู๋โยวก็คุกเขาลง แหงนหน้าขึ้นมองด้วยหน้าตาหน้าสงสาร “ชูชูต่ำต้อย ถูกกล่าวหาถูกเข้าใจผิด ทำได้แค่กัดฟันยอมรับ ชูชูไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาท่านแม่ทัพ แต่หวังว่าเมื่อความจริงปรากฎแล้ว ท่านแม่ทัพจะขอโทษชูชูด้วยตัวเอง”
เฟิงอู๋โยวมองชูชูที่พูดแก้ต่างด้วยวาทศิลป์จากบนลงล่าง นิ้วหนึ่งเชิดคางของชูชูขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าจะดึงหน้ากากอำพรางใบหน้าออก แต่ผ่านไปสักพัก กลับพบว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของหน้าขยับเป็นปกติ ผิวหน้าใต้กรามก็ไม่มีอะไรบ่งบอกความผิดปกติของรอยต่อ
หรือว่าชูชูกับฉู่อีอีไม่ใช่คนคนเดียวกัน
เฟิงอู๋โยวเริ่มลังเลกับการวิเคราะห์ของตัวเอง
ทว่าไม่นานเฟิงอู๋โยวก็เข้าใจสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่
นัยน์ตาของคนคนหนึ่ง น้อยนักที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลาสั่นๆ
ชัดเจนว่านัยน์ตาชูชูกับฉู่อีอีคือนัยน์ตาเดียวกัน ไม่มีจุดต่างแม้แต่น้อยนิด
เฟิงอู๋โยวครุ่นคิด บางทีใบหน้าของฉู่อีอีต่างหากที่เป็นหน้าปลอม
มุมปากของชูชูผุดยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แม่ทัพเฟิง พิสูจน์แล้วเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“ยังไม่ได้เริ่มพิสูจน์ เจ้ารีบร้อนทำไม”
เฟิงอู๋โยวโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างๆ หูของนาง “เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนง่าย แต่น่าเสียดาย ร่างกายของเจ้าเปลี่ยนไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชูชูก็ตกใจจนหน้าซีด เข่าทั้งสองข้างเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้นขยับไม่ได้
เฟิงอู๋โยวไม่ให้โอกาสชูชูแก้ต่าง นางชี้ไปที่ชูชูที่กำลังคุกเข่าอยู่ และพูดอย่างฉะฉาน “เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ขุนนางจิ้นจบชีวิตฉู่อีอี นางสนมอันเป็นที่รักที่ศาลต้าหลี่ ทุกท่านยังไม่ลืมเหตุการณ์นี้ใช่หรือไม่ เลือดนองพื้นนั้นเห็นแล้วน่าตกใจ แต่ถ้าเป็นคนที่เคยฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อนจะรู้ดี ว่าบาดแผลจากดาบไม่สามารถทำให้ร่างกายของสตรีมีเลือดไหลไม่หยุด ข้าสงสัยว่า ฉู่อีอีตอนที่ถูกขุนนางจิ้นฆ่านั้นกำลังตั้งท้องอยู่ ดาบแทงทะลุช่องท้องไปถูกทารกในครรภ์ เป็นเหตุให้มีเลือดไหลเจิ่งนอง”
ชูชูส่ายหน้าระรัว ปากเถียงโต้แย้งเร็วพลัน “แม่ทัพเฟิงพูดจาเลอะเทอะยิ่งนัก ก่อนที่จะเข้าวังหลวงมา ชูชูต้องผ่านการคัดเลือกมาหลายขั้นตอน จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่”
“โห? เป็นสาวพรหมจรรย์?”
เฟิงอู๋โยวมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง ไม่ใช่จะทำอะไรไปมากกว่านี้
สักพัก เฟิงอู๋โยวก็มองไปที่แพทย์หลวงซูที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างฟู่เย่เฉิน “รบกวนแพทย์หลวงตรวจร่างกายให้ชูชูหน่อย”
แพทย์หลวงซูเงยหน้าขึ้น เหลือบมองใบหน้าของจวินมั่วหรันเงียบๆ แต่เมื่อเห็นจวินมั่วหรันพยักหน้าให้สัญญาณ เขาถึงกล้าหยิบกล่องโอสถและเดินไปด้านหน้า
ชูชูรีบลุกขึ้นและรีบไปหลบด้านหลังจี้มั่วอิ้นเหริน “ฝ่าบาทเพคะ ชายหญิงมีข้อแตกต่าง ขอท่านหาท้าวนางในวังหลวงมาตรวจร่างกายหม่อมฉันแทนได้หรือไม่เพคะ”
“ปลอมตัวแนบเนียนแบบนี้ไม่ง่ายเลยใช่หรือไม่ มีเพียงการจับชีพจรของแพทย์เท่านั้น ที่สามารถบอกได้ว่าร่างกายของเจ้าเคยแท้งลูกมาก่อนหรือไม่ แบบนี้จึงจะทำให้ผู้คนเชื่อถือ” เฟิงอู๋โยวยืนหยัดในความคิดตัวเอง ไม่ยอมแม้แต่คืบเดียว
จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้นก็เหม่อลอยเล็กน้อย
เขาจำได้ว่าเฟิงอู๋โยวเคยบอกว่านางไม่เคยมีพฤติกรรมอันไม่ควรกับชายใดมาก่อน
เช่นนั้น นางก็คือสาวพรหมจรรย์ใช่หรือไม่
แล้วถ้าไม่ใช่ขึ้นมาล่ะ
จวินมั่วหรันคิดในใจ แต่ต่อให้เฟิงอู๋โยวจะโกหกเขาเรื่อวนี้ เขาก็จะไม่โทษนาง
เพียงแต่ เขายังคงหวังว่าเฟิงอู๋โยวจะมีเขาเป็นชายคนเดียวของนาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความคิดที่อยากจะครอบครองนางก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งอยากที่จะรีบอภิเษกสมรสกับนางและรับนางเข้าตำหนักในเร็ววัน
ภายใต้การอนุญาตของจี้มั่วอิ้นเหริน ชูชูจึงทำได้แต่ยอมให้ความร่วมมือ
นางถูกนางกำนัลคนใช้สองคนกดที่ไหล่ สายตาจ้องแพทย์หลวงซูที่กำลังจับชีพจรนางอย่างใจจดใจจ่อ “ขอให้แพทย์หลวงรอบคอบทั้งความคิดและวาจา การช่วยคนหนึ่งคนยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น”
แพทย์หลวงซูเป็นแพทย์หลวงที่ทุกคนต่างเคารพศรัทธา เป็นแพทย์ที่มีจรรยาบรรณที่สูงส่ง
เขาเข้าใจในสิ่งที่ชูชูกำลังร้องขอ แต่เรื่องนี้ใหญ่โตนัก เกี่ยวข้องไปถึงความปลอดภัยของจี้มั่วอิ้นเหริน เขาจะประมาทไม่ได้
ไม่นานนัก เขาก็ดึงมือตัวเองกลับและบอกผลการวินิจฉัยอย่างละเอียด “กราบทูลฝ่าบาท ชูชูนางกำนัลคนรับใช้นางนี้เป็นหญิงร่างกายสมบูรณ์ เพียงแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า ชูชูแท้งลูกจริงๆ เนื่องจากร่างกายได้รับความเสียกาย จึงไม่อาจมีลูกได้อีกตลอดชีวิต”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขั้น
“คิดไม่ถึงว่าข้างกายของฮ่องเต้จะมีอันตรายใหญ่หลวงแฝงอยู่เช่นนี้”
“แปลกจริงๆ ทั้งๆ ที่ร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ แต่กลับเคยแท้งลูก หรือว่าร่างกายของนางสร้างจากอะไรที่แตกต่างจากสตรีอื่น หรือว่าร่างกายมีสอง[2]”
“จากคำพูดของแม่ทัพเฟิง ชูชูกับฉู่อีอีเป็นคนคนเดียวกัน ดังนั้น ผู้ที่ยืมมือของนางกำนัลชูชูทำร้ายฮ่องเต้ ไม่ใช่ขุนนางจิ้นหรอกหรือ”
[1]เข็มเดียวแทงเห็นเลือด หมายถึงพูดเข้าประเด็น พูดตรงจุด ไม่อ้อมค้อม
[2]ร่างกายมีสอง หมายถึงระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ ในสมัยโบราณหมายถึงร่างกายผู้ชายมีอวัยวะเพศสองอัน