ตอนที่ 375 เรื่องแดงออกมา
สายตาเยือกเย็นของหยุนเฟยไป๋มองจวินมั่วหรันที่สีหน้าเรียบเฉย ในใจก็ยิ่งนึกโมโห
แต่ว่า เขายังไม่โง่จนถึงขั้นมีปัญหากับจวินมั่วหรันในถิ่นของจวินมั่วหรัน
เมื่อคิดดีแล้ว หยุนเฟยไป๋จึงได้พุ่งเป้าไปยังเฟิงอู๋โยว “เฟิงอู๋โยว รีบส่งมอบป้ายตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินมา”
เป่ยถางหลงถิงรีบเข้าขวางด้านหน้าของเฟิงอู๋โยวและพูดอย่างห้าวหาญ “ข้าขอใช้ตัวข้าเป็นประกัน เฟิงอู๋โยวไม่ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉิน ก่อนที่เรื่องยังไม่ได้ข้อสรุป ขอท่านจงระมัดระวังคำพูดของท่านด้วย”
หยุนเฟยไป๋เห็นเป่ยถางหลงถิงออกหน้าปกป้องเฟิงอู๋โยวเช่นนั้น ก็ยิ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป่ยถางหลงถิงกับจวินมั่วหรันจะต้องแอบสมคบคิดตกลงอะไรไว้เป็นแน่ ดวงตาสีม่วงจึงเหลือบไปมองเฟิ้งจือหลินที่ใจไม่อยู่กับร่องกับรอย
ณ เวลานี้ เฟิ้งจือหลินกำลังตกอยู่ในภาวะความเศร้าโศก
เขานั่งฟุบลงที่โต๊ะ น้ำตาเอ่อคลอที่ขอบตา
หยุนเฟยไป๋แอบด่าขึ้นในใจ “ไอ้ขยะ” แล้วรีบเบนสายตาหนี
ในสายตาของหยุนเฟยไป๋ ถ้าคิดการใหญ่แล้ว จะต้องไม่สนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
คนไม่เด็ดขาดเช่นเฟิ้งจือหลิน ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นขี้ข้ารับใช้ของเขา
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนยิ่งเห็นก็ยิ่งร้อนใจ จึงรีบตรัสออกไป “ความสัมพันธ์อันดีระหว่างแคว้นตงหลินกับแคว้นเป่ยหลีจะถูกทำลายมิได้ ถ้าหากเจ้ายังไม่ส่งมอบป้ายตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินก็อย่าโทษข้าแล้วกัน ข้าจะนำตัวเจ้าส่งให้องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉิน”
“ไม่ได้”
จี้มั่วอิ้นเหรินเหลือกตาเดือดดาลใส่พระพันปีหลวงเห่อเหลียน เป็นครั้งแรกที่เขาพูดจากับพระพันปีหลวงเห่อเหลียนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเช่นนี้
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนงงเล็กน้อย กะพริบตาปริบๆ มองจี้มั่วอิ้นเหรินอย่างไม่เข้าใจ “ฮ่องเต้ นี่ท่านจะละทิ้งราษฎรเป็นหมื่นแสนคนเพียงเพื่อแม่ทัพไร้น้ำยาจากแคว้นเป่ยหลีคนเดียวเช่นนั้นหรือ”
“ท่านแม่ระวังคำพูดของท่านด้วย ผู้กล้าไม่ถามถิ่นกำเนิด เฟิงอู๋โยวยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นตงหลินของเราแล้ว ก็คือราษฎรของข้า ข้าจะไม่ละทิ้งราษฎรของข้า และจะไม่ทิ้งเฟิงอู๋โยวเช่นกัน”
จี้มั่วอิ้นเหรินพูดอย่างแน่วแน่ สีหน้าน้ำเสียงจริงจัง สะท้อนรังสีว่าห้ามผู้ใดทัดท้าน
ไม่มีใครรู้เลยว่า มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อของจี้มั่วอิ้นเหรินนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว
จวินมั่วหรันมองจี้มั่วอิ้นเหรินด้วยความศรัทธา ช่วงที่ผ่านมานี้ เขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อย
พระพันปีหลวงเห่อเหลียนพูดไม่ออก นางเพิ่งจะสังเกตได้ว่า จี้มั่วอิ้นเหรินไม่ใช่คนโง่เขลาที่นางจะหยิกจะตีตามอำเภอใจได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
หยุนเฟยไป๋ยิ้มอย่างเย็นเยือก “ ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงหลินไม่ยอมมอบตัวเฟิงอู๋โยว เช่นนั้นก็จงรอให้กองทัพทหารของแคว้นหยุนฉินบุกมาถึงเมือง กวาดล้างให้ราบคาบเสียเถิด”
เฟิงอู๋โยวครุ่นคิด ป้ายตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินที่หยุนเฟยเจอที่สุสานน่าจะเป็นของปลอมไว้ที่เฟิ้งอี้จงใจวางไว้ที่หลุมศพเพื่ออำพรางตา
ป้ายตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินในมือของนางต่างหากที่เป็นของจริง
ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว แสดงว่าหยุนเฟยไป๋น่าจะยังไม่รู้ว่าป้ายตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินที่อยู่ในมือตัวเองเป็นของปลอม
แต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อเขามีของปลอมที่คิดว่าเป็นของจริงในมืออยู่แล้ว เหตุใดถึงมาตามเอาของกับนางแบบเอิกเกริกเช่นนี้
แบบนี้จงใจหาเรื่องกันชัดๆ
ยังดีที่จวินมั่วหรันเตรียมการไว้ล่วงหน้า
เขาค่อยๆ หยิบจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้กับเฟิ่งจือหลิน “อ่านให้ฟังหน่อย”
เฟิ่งจือหลินตั้งสติกลับมา มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นลายมือของเฟิ่งอี้
มือทั้งสองข้างของเขาสั่นระรัว นิ้วอันหยาบกร้านค่อยๆ ลูบบนตัวอักษรเล็กๆ ที่ทรงพลังอยู่บนกระดาษ
ด้วยความที่เป่ยถางหลงถิงอยากจะรีบล้างมลทินให้กับเฟิงอู๋โยว เมื่อเห็นท่าทางไร้จิตวิญญาณของเฟิ่งจือหลินก็รีบแย่งกระดาษจดหมายที่อยู่ในมือเขามาแล้วอ่านออกเสียง “ข้าน้อยเฟิ้งอี้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่แคว้นเป่ยหลีแห่งสำนักเน่ยเก๋อแต่กลับไม่ได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน บิดาของข้าเฟิ้งจือหลินจิตใจคิดคด คิดการกบฏแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ลังเลที่จะสบคบคิดกับหยุนเฟยไป๋ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉิน ข้าน้อยไม่อยากเห็นบ้านเมืองแคว้นเป่ยหลีที่สงบร่มเย็นมาเป็นร้อยปีจบลงด้วยน้ำมือของบิดาข้าน้อย จึงได้คิดขโมยป้ายตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน ท่านพ่อ อาหารมื้อเย็นเมื่อวานลูกกินแล้ว ถ้าหากแม้นชาติหน้ามีจริง ขออย่าได้พบพานกันอีก เห็นอักษรเฉกเช่นเห็นหน้า จากเฟิ่งอี้”
อ่านจบ ทหารผู้คุมคุกสวรรค์ก็ค่อยๆ ส่งกล่องไม้ที่บรรจุตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินให้ฮ่องเต้อย่างนอบน้อม “กราบทูลฝ่าบาทและเซ่อเจิ้งหวาง ท่านมือชันสูตรศพเจอกล่องไม้นี้ที่ตัวของเฟิ่งอี้ เหมือนว่าในกล่องบรรจุป้ายตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินอยู่”
“เป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้คิดหลอกข้าดีกว่า” หยุนเฟยไป๋พูดอย่างหนักแน่น
“ยังมิได้ดูด้วยตาท่านก็มั่นใจว่าเป็นของปลอม หรือว่าตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินของจริงกลับคืนสู่เจ้าของนานแล้ว” เฟิงอู๋โยวตอบโต้ประชดกลับ
“ข้าแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นเฟิ่งอี้ จะยอมมอบตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินออกมาง่ายดายเช่นนี้”
หยุนเฟยไป๋แก้ต่างด้วยน้ำเสียงเย็นชา
องครักษ์พกดาบข้างกายเขาค่อยๆ เปิดกล่องไม้ขึ้น แล้วนำตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินส่งมอบให้กับหยุนเฟยไป๋อย่างนอบน้อม
หยุนเฟยไป๋ชั่งน้ำหนักตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินด้วยมืออย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก ในใจแอบตกใจแวบหนึ่ง
ไฉนแม้แต่น้ำหนักก็เท่ากันถึงเพียงนี้
นัยน์ตาของเขาพิจารณาตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินที่อยู่ในมือตอนนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วก็ใช้นิ้วกดลงบนร่องฐานของป้าย
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ พอนิ้วมือของเขากดลงยังไปยังร่อง ปากของเสือก็เปิดอ้าขึ้น เผยให้เห็นตัวอักษรสีทองสี่ตัวที่เขียนว่า ‘แคว้นหยุนฉินรุ่งเรือง’ ที่ปากพยัคฆ์อย่างโดดเด่นสะดุดตา
กลไกในตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน นอกเหนือจากวังหลวงของแคว้นหยุนฉินแล้ว ไม่มีคนนอกผู้ใดล่วงรู้
เขากล้ายืนยัน ตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินที่ขุดออกมาจากหลุมศพทั้งคืนเมื่อคืน เป็นของจริงแน่นอน
แต่ปัญหาก็คือ ในโลกนี้เหตุใดถึงมีตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินถึงสองชิ้น
เวลานี้หยุนเฟยไป๋สับสนมึนงงเช่นกัน
ขนาดเขาเองก็ยังแยกไม่ออกว่าสองชิ้นนี้ อันไหนคือของจริง อันไหนคือของปลอม
เป่ยถางหลิงถิงก็สับสน เขาส่งมอบกระดาษจดหมายนั่นให้กับเฟิ่งจือหลิน และพูดอย่างนิ่มนวล “ขุนนางเฟิ่ง ข้าเคยขาดตกบกพร่องอะไรกับท่านหรือไม่”
เฟิ่งจือหลินรีบเหลือกตาพร้อมสบถอย่างหัวเสีย “เป่ยถางหลงถิง ท่านเคยจริงใจกับข้าด้วยหรือ”