ตอนที่ 30 โอ้อวด ใครไร้ความสามารถ คนนั้นน่าอับอาย (รีไรท์)
ตอนที่ 30 โอ้อวด ใครไร้ความสามารถ คนนั้นน่าอับอาย (รีไรท์)
เฉียวเยี่ยนไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับเรื่องที่ถูกเนรเทศไปอาศัยยังบ้านไร่ ถึงอย่างไรคนที่ถูกเนรเทศก็เป็นเจ้าของร่างเดิม และนางเองก็ชอบใช้ชีวิตอยู่ในบ้านไร่ด้วย ดังนั้นนางจึงไม่เคยโทษเขาเลย
แต่บางทีคำขอโทษนี้อาจสำคัญมากสำหรับเจ้าของร่างเดิม
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ข้าไม่ได้โทษท่าน ข้าชอบบรรยากาศที่บ้านไร่มาก บางทีหากไม่ได้ไปที่บ้านไร่ ก็คงไม่มีข้าในตอนนี้”
นางหมายความว่าหากเฉียวเยี่ยนร่างเดิมไม่ถูกขับไล่ไปบ้านไร่และเสียชีวิต บางทีนางก็คงไม่ได้ข้ามมิติมา
แต่มู่ฉินเจินกลับเข้าใจว่านางได้รับความเดือดร้อนลำบากมากมายที่บ้านไร่ ทำให้นางกลายเป็นอย่างทุกวันนี้
……
วันต่อมา เมื่อเฉียวเยี่ยนตื่นขึ้นมา ลูกทั้งสองก็ตามพ่อไปล้างหน้าบ้วนปากแล้ว
เมื่อคืนนางนอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ก็ค่อนข้างดึกแล้ว วันนี้จึงตื่นสาย
เด็กน้อยทั้งสองเข้าแถวอยู่ด้านหลังมู่ฉินเจิน รอให้มู่ฉินเจินเช็ดหน้าให้
เฉียวเยี่ยนตื่นขึ้นมาเห็นภาพอบอุ่นนี้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
มู่ฉินเจินหันกลับไปมอง เห็นเฉียวเยี่ยนยิ้มอ่อนมองพวกเขาด้วยสภาพเผ้าผมยุ่งเหยิง และรู้สึกว่ามันน่ารักมาก จึงหันกลับไปเช็ดหน้าให้เด็กทั้งสองต่ออย่างไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย
พวกเขาไปที่ตำหนักฮองเฮาเพื่อทานอาหารเช้า หลังจากทานเสร็จ เหนียงเหนียง[1]จากตำหนักต่าง ๆ ก็เริ่มเข้ามากล่าวทักทายยามเช้า
มีพระสนมเสียนเฟย พระสนมเต๋อเฟย และลู่จาวอี๋ขั้นสาม ผู้นำหลักแห่งนางใน ตามมาด้วยนางสนมนิรนามบางส่วน
พระสนมเสียนเฟยเป็นพระมารดาขององค์ชายองค์แรก นางมีองค์ชายเป็นพระโอรสหนึ่งองค์และมีพระธิดาเป็นองค์หญิงที่แต่งงานไปแล้วหนึ่งองค์ ตำแหน่งนางในของนางจึงเป็นรองแค่เพียงฮองเฮาเท่านั้น
พระสนมเต๋อเฟยมีองค์หญิงเพียงองค์เดียว นั่นคือองค์หญิงเจียหนิง ซึ่งมักได้รับความรักและทะนุถนอมจากฮ่องเต้
สองคนนี้มักไม่ถูกกับฮองเฮา เมื่อเจอหน้ากันเป็นต้องพูดจาเหน็บแหนมใส่กัน
ลู่จาวอี๋มีหน้าตาอ่อนโยน เป็นคนงามตามมาตรฐานทางทิศใต้ เป็นพระมารดาขององค์ชายหก ในบรรดานางในนับว่าใกล้ชิดกับฮองเฮาที่สุดแล้ว
เหล่าพระสนมต่างโค้งคำนับฮองเฮา ฮองเฮาให้ทุกคนลุกขึ้นด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้มการทูต และดึงลู่จาวอี๋ไปนั่งข้าง ๆ ตัวเอง ส่วนสองคนที่เหลือก็แล้วแต่พวกนาง
เห็นได้ชัดว่าพระสนมเสียนเฟยและพระสนมเต๋อเฟยคุ้นชินกับบรรยากาศเช่นนี้แล้ว จึงไปหาที่นั่งของตัวเอง
วันนี้พระสนมเสียนเฟยพามู่ชุนเหิงหลานชายของนางมาที่ตำหนักฮองเฮาด้วย
จุดประสงค์น่ะรึ?
แน่นอนว่าพามาโอ้อวด!
เมื่อคืนนางได้ยินว่าฮองเฮาเรียกพระสุณิสาและพระนัดดาสองคนเข้าวัง นางจึงส่งคนออกไปรับหลาน ๆ เข้าวังทันที
เด็กที่ถูกเลี้ยงมาโดยหญิงโง่เขลาที่ถูกขับไล่ไปอยู่ชนบทสี่ปี จะเทียบกับหลานชายผู้สูงส่งของนางได้อย่างไร!
ถึงครานั้นให้พวกเขาเทียบกันดู ฝ่าบาทย่อมรู้ว่าใครดีไม่ดี!
ฮองเฮาเองก็มีความคิดโอ้อวดเช่นกัน เมื่อได้ยินนางกำนัลเข้ามารายงานว่าสามแม่ลูกเข้ามาในตำหนักแล้ว นางก็ปล่อยให้พวกตัวตลกกระโดดโลดเต้นให้พอใจ แล้วค่อยให้เฉียวเยี่ยนกับพวกเด็ก ๆ ออกมาตอกหน้าคนเหล่านั้น
ฮองเฮามองสนมเสียนเฟยชมหลานชายที่อ้วนเหมือนหมูด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่ตลอด ทว่าในใจกลับก่นด่า เมื่อก่อนเจ้ามีหลานชาย ข้าจึงได้อดทนกลั้นเอาไว้
ทว่าในยามนี้ หลานชายเจ้าไม่แม้แต่จะคู่ควรกับหลายชายหลานสาวข้าด้วยซ้ำ!
“ปีนี้หลานชายหม่อมฉันเรียนรู้อักษรได้เกือบพันตัวแล้ว แม้แต่เหล่าคุณชายในกั๋วจื่อเจี้ยน[2]ต่างก็ยกย่องเขา”
ฮองเฮาแย้มพระสรวล หึ หลานชายเจ้าอายุเก้าขวบเพิ่งรู้อักษรพันตัว หลานชายข้าอายุสามขวบก็สามารถเขียนตัวอักษรเป็นพันตัวได้แล้ว!
นี่เป็นครั้งแรกที่พระสนมเสียนเฟยพูดมากต่อหน้าฮองเฮาเช่นนี้ เมื่อก่อนนางกล่าวถึงหลานชายหลานสาวตัวเองเมื่อใด ฮองเฮาก็จะทรงกริ้วจนหน้าดำคร่ำเครียด และไล่นางออกไปก่อนที่นางจะพูดจบ
นางจิบชาร้อนที่นางกำนัลยกมาให้และเตรียมจะพูดต่อ แต่กลับถูกฮองเฮาขัดขึ้นเสียก่อน
“เจ้าพูดเรื่องหลานชายเจ้าจบแล้ว ถึงเวลาที่หลานชายข้าจะออกโรงแล้ว!”
“เป่าเหวิน เตรียมพู่กันและหมึก!”
ขันทีคนหนึ่งจึงนำพู่กัน กระดาษ และโต๊ะหนังสือเล็ก ๆ ออกมาทันที จากนั้นเฉียวเยี่ยนก็จูงมือเด็กทั้งสองเดินเข้ามาห้องโถง
นางคำนับเหนียงเหนียงสองสามคนอย่างสง่าผ่าเผย ลูกทั้งสองก็โค้งคำนับอย่างน่ารักน่าเอ็นดูเช่นกัน
วินาทีที่สามแม่ลูกปรากฏตัวออกมาก็เหมือนดั่งลำแสงสว่างจ้า ตอกหน้าเหล่าเหนียงเหนียงแต่ละคน
เฉียวเยี่ยนเปล่งประกายน่าประทับใจเช่นนี้อยู่แล้ว การแต่งตัวก็รับกับประโยคที่ว่าเกล้ามวยผมดั่งมวยเมฆคล้อย แต่งแต้มชาดบางเบา แต่ทั่วร่างนางแผ่กลิ่นอายสงบนิ่ง มั่นใจ และหาใช่คนทั่วไปจะมีได้
และเด็กทั้งสองที่นางจูงมืออยู่ คนหนึ่งสุขุมดั่งอ๋องซู่ ส่วนอีกคนน่ารักน่าเอ็นดู เพียงแค่หน้าตาก็ชนะเหล่าพระนัดดาทุกคนแล้ว
พระสนมเสียนเฟยมองหลานชายขาวอ้วนที่อยู่ข้าง ๆ แล้วพลันรู้สึกขัดหูขัดตาทันใด ทว่าสิ่งที่ทำให้นางยากที่จะรับได้ยังมาไม่ถึง!
ฮองเฮาจับมือเด็กทั้งสอง และพาเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไปหน้าโต๊ะหนังสือเล็ก ๆ “เด็กดี เขียนอักษรพันตัวให้เหล่าเหนียงเหนียงดูสิ”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างสุขุม พลางถลกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแขนเล็กขาวเนียน เขาหยิบพู่กันบนโต๊ะแล้วเริ่มเขียน
เมื่อครู่ท่านแม่อธิบายแล้วว่าวันนี้พวกเขาต้องสร้างเรื่องให้กับเสด็จย่า การเคลื่อนไหวต้องรวดเร็ว กิริยาต้องดูสง่างามหล่อเหลา ขอแค่ตอกหน้าเหล่าเหนียงเหนียงคนอื่นก็พอแล้ว!
เด็กน้อยจึงตีหน้าขรึม แล้วเขียนอย่างตั้งใจ
อายุเพิ่งจะสามขวบ แต่เขาดูมีความชำนาญอย่างมากในการเขียนอักษรด้วยพู่กัน ทุกตัวอักษรมีความละเอียดประณีต หากเพ่งมองดี ๆ ยังเปล่งรัศมีรุนแรงออกมาด้วย
ใบหน้าพระสนมเสียนเฟยดูซีดเซียว และรู้สึกชาที่ใบหน้าเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก พลางมองหลานชายตัวเองอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
ฮองเฮาไม่ให้เสี่ยวฉวนเอ๋อร์เขียนตัวอักษรพันตัวจริง ๆ แค่เขียนเพียงไม่กี่คำก็มากพอที่จะตบหน้าพระสนมเสียนเฟยแล้ว!
และนางยังรู้สึกปวดใจที่มือน้อยของหลานชายต้องปวดเมื่อย!
พระสนมเสียนเฟยมีสีหน้าเคร่งขรึม นึกถึงที่หลานชายท่อง ‘กำเนิดจากทุกข์ยาก มอดม้วยด้วยสุขสันต์’ เมื่อวานนี้ ก็คิดแผนได้ทันที
นางตบไหล่อันแข็งแกร่งของหลานชายตัวเองเบา ๆ พลางเอ่ยว่า “เหิงเอ๋อร์ เจ้านำบทเรียนที่เรียนเมื่อวานมาลองทดสอบน้องชายเจ้าดูสิ”
มู่ชุนเหิงถูกตามใจจนเคยชินทุกวัน และเสด็จย่ามักจะชมเขาว่ายอดเยี่ยมอยู่เสมอ นั่นจึงทำให้เขาคิดว่าตัวเองเก่งมากมาโดยตลอด จึงเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และเอ่ยท้าทายฉวนเอ๋อร์ “ลิขิตสวรรค์มอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่ให้ใครคนหนึ่ง ให้เขาลำบากใจเพื่อฝึกความมุ่งมั่น ให้เขาลำบากกายเคี่ยวเข็ญถึงเอ็นกระดูก ให้อดทนอดอยากอาหาร…สิ่งใดเล่าคือสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้?”
เฉียวเยี่ยนได้ยินคำพูดนี้ของเด็กอ้วนก็เบะปาก เนื้อหาเหล่านี้สำหรับลูกชายนางเป็นเพียงของเด็กเล่นเท่านั้นแหละ
แน่นอนว่าเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ยืดอกตั้งตรง และเอ่ยอย่างชัดเจนถูกต้อง “มนุษย์ผิดพลาดบ่อยครั้ง จึงจะสามารถแก้ไขได้ เมื่อใจสับสน ความคิดถูกปิดกั้น จึงจะรู้ว่าสิ่งใดพึงกระทำ…”
มู่ชุนเหิงฟังเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ท่องบทความได้อย่างแม่นยำเสร็จและยังอธิบายให้ด้วย ก็กังวลใจจนใบหน้าแดงก่ำ “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร? อาจารย์ของเราเพิ่งสอนเมื่อวานนี้เอง!”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์เบะปาก เอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนข้าอายุสองขวบ ข้าก็ท่องมันแล้ว”
“ตามประเพณี ถึงคราข้าทดสอบเจ้าแล้ว”
“ในบทชวนให้ศึกษา ประโยคต่อไปของ ‘หากไม่สั่งสมก้าวเล็ก ๆ ก็เดินทางไม่ถึงพันลี้ หากไม่สั่งสมลำธารสายเล็ก ก็ไม่มีวันกลายเป็นทะเลใหญ่'[3] คืออะไร?”
มู่ชุนเหิงเกาศีรษะ เขาเคยเรียนที่ไหนกัน?
เมื่อถูกทุกสายตาจ้องมอง เขารู้สึกแค่ว่าถูกเหยียดหยามอย่างมาก จึงทิ้งตัวนั่งกระแทกพื้นร้องไห้โวยวายขึ้นมา
เด็กชายหัวใหญ่ตัวอ้วนอายุเก้าขวบ ในเวลานี้นั่งถีบขาไปมาอยู่บนพื้นพลางอ้าปากกรีดร้อง ทำให้เหนียงเหนียงสองสามคนที่อยู่ในตำหนักอดขมวดคิ้วไม่ได้
พระสนมเสียนเฟยอับอายยิ่งนัก รีบสั่งให้นางกำนัลอุ้มมู่ชุนเหิงขึ้นมา แต่มู่ชุนเหิงกำลังนอนอารมณ์เสียอยู่บนพื้น ไม่ยอมให้ผู้ใดอุ้มเลย
ฮองเฮาลอบแย้มสรวล “น้องเสียนเฟยสอนหลานได้ถูกต้องเสียจริง”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ขมวดคิ้วน้อยใส่พี่ชายตัวอ้วนบนพื้นที่เสียงดัง จึงเอ่ยกับฮองเฮาด้วยน้ำเสียงเด็กเล็ก “เสด็จย่า หลานจะแสดงบางอย่างให้ดูนะเจ้าคะ”
ฮองเฮายิ้มไม่หุบ และหอมแก้มหลานสาวน่ารักของตัวเอง “ได้สิจ๊ะ ย่าจะดูเจ้าแสดง”
แต่เฉียวเยี่ยนและเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ตัวสั่นพร้อมกัน แย่แล้ว! เจ้าตัวเล็กจะก่อเรื่องแล้ว!
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เดินไปอยู่ข้างมู่ชุนเหิงที่นอนอยู่บนพื้น เอามือเท้าเอว จ้องเขาอย่างดุดันแบบเด็กน้อย “ดูให้ดีล่ะ ข้าจะแสดงบางอย่างให้ดู หากดูแล้วยังอยากร้องไห้ก็เอาเลย!”
มู่ชุนเหิงสูดจมูก มองน้องสาวที่หน้าตาดุจนางฟ้าตัวน้อยด้วยตาปริบ ๆ และตั้งตารอการแสดงของนาง
เขาใช้แขนเสื้อเช็ดจมูก แล้วพยักหน้า “ได้”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ
เวลานี้ทุกคนต่างอยากรู้ว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้กำลังจะแสดงอะไร แม้แต่เฉียวเยี่ยนที่เป็นแม่เองก็ไม่เว้น
[1] เหนียงเหนียง (娘娘 ) เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกราชินีหรือสนมเอก
[2] กั๋วจื่อเจี้ยน(国子监)ราชวิทยาลัย เป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงสุดของทางราชการตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุยเป็นต้นมา แต่ละราชวงศ์จะมีการตั้งราชวิทยาลัยขึ้นในเมืองหลวง
[3] เป็นบทชวนให้ศึกษาในคัมภีร์สวินจื่อ (劝学 )
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ว้ายยย คราวหลังถ้าฝีมือไม่ถึงก็อย่าอวดนะ ไม่งั้นจะหน้าแตกแบบหมอหลวงก็จนปัญญารักษา
เกิดเรื่องแล้วสิ ใครจะห้ามอวี๋เอ๋อร์ได้ อย่าให้น้องออกโรงนะ ออกโรงเมื่อไหร่หายนะมาเยือนแน่
ไหหม่า(海馬)