ตอนที่ 54 ภัตตาคารเปิดกิจการ (รีไรท์)
ตอนที่ 54 ภัตตาคารเปิดกิจการ (รีไรท์)
ตั้งแต่ฮองเฮารู้ว่าเฉียวเยี่ยนไม่ได้นอนห้องเดียวกันกับมู่ฉินเจิน พระนางก็พยายามหาทางให้พระโอรส กระทั่งวิธีล่อลวงก็คิดไว้แล้ว
แน่นอนว่าผลลัพธ์สุดท้ายล้วนถูกสีหน้าอึมครึมของมู่ฉินเจินปฏิเสธกลับจนหมดสิ้น
วันเปิดตัวของภัตตาคารจะเปิดในวันที่ยี่สิบเดือนแรก เฉียวเยี่ยนรีบใช้เวลาที่เหลือสองสามวันอบรมคนงาน เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ในภัตตาคารสวมเครื่องแบบเดียวกัน และใส่ผ้ากันเปื้อนที่มีคำว่าหอฮวาอวิ้นปักอยู่บนนั้น มองแล้วก็ดูมีชีวิตชีวานัก
เช้าตรู่วันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนแรก มีคนมารวมตัวกันที่หน้าประตูหอฮวาอวิ้นมากมาย บ้างก็มากินข้าวซื้อผัก และบ้างก็มาร่วมความสนุก
ภายในภัตตาคารมีคนเดินไปมาขวักไขว่ ห้องที่อยู่ชั้นบนถูกจองไปหมดแล้ว ในห้องโถงก็มีคนมานั่งกินข้าวเต็มไปหมด
หลังจากกินหัวไชเท้าและผักกาดขาวมาสองสามเดือน คนมีเงินก็กระตือรือร้นอยากลองลิ้มรสอาหารใหม่ โชคดีที่หอฮวาอวิ้นมีอย่างที่ต้องการ จึงนัดหมายมากินที่นี่
เมื่อลูกค้าเข้าร้าน เหล่าเสี่ยวเอ้อร์ต่างพยายามแนะนำหม้อไฟที่เป็นรายการพิเศษของภัตตาคาร และยังหยิบตำราอาหารให้พวกลูกค้าดู จนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของพวกลูกค้า
ด้วยกังวลว่าพวกลูกค้าจะรับสิ่งแปลกใหม่ไม่ได้ เฉียวเยี่ยนจึงตั้งใจลากคนสองสามคนมา ต้มหม้อไฟอยู่ในห้องโถง กลิ่นหอมลอยกรุ่น ล่อลวงให้เหล่านักชิมขยับเขยื้อน
ลูกค้าบางคนที่เพิ่งเข้ามาเห็นหม้อไฟอยู่สองสามโต๊ะก็รู้สึกแปลกใหม่ จึงสั่งมาชุดหนึ่ง
ลูกค้าที่มาล้วนไม่เคยกินพริก เมื่อกินคำแรกเข้าไป ลิ้นพลันปวดแสบปวดร้อนจนคิดว่าโดนยาพิษ แต่หลังจากกินไปสักสองสามคำกลับพบว่ารสชาตินั้นวิเศษมาก
หลายคนเผ็ดจนสูดน้ำมูก ทว่าก็ยังไม่หยุดกิน
สำหรับลูกค้าที่สั่งหม้อไฟ เฉียวเยี่ยนก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ส่งหม้อซวนเหมยทังให้ทุกโต๊ะ ข้างในใส่น้ำแข็ง ในยามที่กินจนเหงื่อออกจมูก ลิ้นพ่นไฟได้ เมื่อดื่มน้ำนี้ลงไปแล้วก็รู้สึกสดชื่นไปถึงด้านใน
ตอนนี้ด้านนอกยังคงเยือกเย็นหิมะตก หากอยากได้น้ำแข็งก็เป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก แช่น้ำเย็นไว้ด้านนอกค้างไว้หนึ่งคืน วันถัดมาก็แข็งเป็นน้ำแข็งแล้ว
ลูกค้าบางส่วนไม่ได้สั่งหม้อไฟ พวกเขาได้ดูภาพวาดเล็ก ๆ ในตำราอาหารแล้วก็สั่งอาหารบ้าน ๆ ทั่วไป แม้จะเป็นอาหารพื้นบ้านทั่วไป แต่การได้รับประทานอาหารรสชาติแปลกใหม่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นหิมะตกกลับไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
และเพื่อปกป้องดูแลกิจการพี่สะใภ้สี่ของตัวเอง มู่เวินเหยียนจึงนัดสหายร่วมสำนักมาที่ภัตตาคาร
พระสหายขององค์ชายหกนั้นหากไม่ใช่คนตระกูลวาณิชร่ำรวยก็เป็นคนมีหน้ามีตา และไม่มีตระกูลไหนขาดแคลนเงินเลย เมื่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหอฮวาอวิ้นในเมืองหลวงก็ตั้งใจมาลองลิ้มชิมรสชาติ ทว่าพอได้ชิมแล้วก็ลงไปไหนไม่ได้เลย
มู่เวินเหยียนกินไปด้วยโอ้อวดฝีมือพี่สะใภ้สี่ของตัวเองไปด้วยราวกับไม่สนใจเงินทอง พูดจนเหล่าสหายที่กินกันจนท้องป่องน้ำลายสอ
ยิ่งอาหารในภัตตาคารเป็นที่นิยมมาก ช่องหน้าต่างที่ขายผักในห้องโถงก็ยิ่งแออัดมากขึ้น
เหล่าคนมีเงินหลายคนที่เคยกินผักที่เฉียวเยี่ยนส่งให้ก็รอวันที่หอฮวาอวิ้นเปิดตัวในวันนี้ พวกเขาส่งบ่าวและสาวใช้มารอซื้อผักอยู่หน้าประตูภัตตาคารตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อวานนี้เฉียวเยี่ยนได้ส่งรถม้าสองสามคันไปเก็บผักที่หมู่บ้านลวี่หลัว ผักแต่ละตะกร้าถูกขนส่งมายังภัตตาคาร ส่วนหนึ่งถูกส่งไปให้ห้องครัวด้านหลัง อีกส่วนก็นำมาวางแบ่งเป็นประเภท ๆ รอขายในวันนี้
ลูกค้าที่มาซื้ออาหารเห็นความหลากหลายของผักสดต่างก็ตะลึง ในฤดูอันหนาวเหน็บเช่นนี้ไม่คิดเลยว่าจะยังมีผักมากมายงอกออกมา!
ผักกาดขาวฉ่ำน้ำ ต้นหอมและผักกาดหอมเขียวแวววาว ผักกาดหอมต้นที่ทั้งอวบทั้งอ่อน และยังมีผลไม้สีแดงสดแวววาว แต่เหตุใดผลสีแดงนั้นถึงมีขนาดใหญ่มาก แต่ละผลใหญ่เท่ากำปั้นเด็กเลยทีเดียว!
มะเขือเทศเหล่านี้เฉียวเยี่ยนซื้อเมล็ดจากระบบมาหว่านปลูก ผลที่ออกมาแต่ละผลล้วนกลมมน สีแดงสด
ยอดขายผักสดดีเยี่ยมเกินกว่าที่เฉียวเยี่ยนคาดไว้ บางจวนถึงขั้นใช้รถม้ามาขนผักไป ถึงอย่างไรตอนนี้หิมะก็ยังตกอยู่ หากกินไม่หมดก็เอาไปฝังไว้ใต้หิมะได้ ไม่มีทางเสียแน่นอน
ผู้ที่มาซื้อผักล้วนเป็นผู้ลากมากดี เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปลูกผักสูงลิ่ว ราคาผักที่เฉียวเยี่ยนขายจึงสูงตาม มีคนฐานะธรรมดาเข้ามาชมดู พอเห็นราคาก็ล่าถอยออกไป
คุณพระ! ผักกาดหอมกำหนึ่งต้องจ่ายราคาเท่ากับเนื้อหนึ่งชั่ง!
แต่เหล่าผู้ลากมากดีไม่ขาดแคลนเงินซื้อผัก ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นสามารถกินผักสดใหม่ได้ เสียเงินไปเล็กน้อยก็ถือว่าคุ้ม
ผักตะกร้าใหญ่สองสามตะกร้าที่ไปเก็บมาเมื่อวานถูกขายจนหมดเกลี้ยงในตอนเช้า และยังมีลูกค้าหลายคนที่มาสายไม่ทันได้ซื้อ จึงคอตกกลับไปรายงานกับเจ้านาย
เฉียวเยี่ยนคิดบัญชีอยู่ในห้องหนึ่งที่ชั้นสอง เพียงแค่ครึ่งเช้าเท่านั้น นางทำเงินได้มากกว่าห้าร้อยตำลึง ด้วยความเร็วเช่นนี้ อย่างมากวันหนึ่งนางก็จะทำเงินได้หนึ่งพันตำลึง เพียงแค่เดือนเดียวก็กลับมาอู้ฟู่เหมือนเดิมแล้ว
ผักของวันนี้ขายหมดแล้ว และไม่คิดจะไปเก็บที่หมู่บ้านลวี่หลัวมาอีก ต้องจำกัดปริมาณในการขาย ทุกวันขายผักแค่ตอนเช้า ขายหมดก็ปิดร้าน กระตุ้นปากท้องของลูกค้า ถึงจะทำกิจการไปได้นาน
เมื่อจะได้เข้าใกล้เงินอีกครั้ง ระบบตัวน้อยจึงมีความสุขเป็นพิเศษ และยุ่งอยู่กับการกดเครื่องคิดเลขคำนวณยอดคงเหลือของรายได้กับค่าใช้จ่าย เพื่อแปลงคะแนนให้ระบบ
ทว่าสองสามร้อยคะแนนที่เข้ามาในบัญชีตอนเช้ากลับไม่ทำให้ระดับขั้นเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป็นเลขศูนย์ขนาดใหญ่จนระบบตัวน้อยอดรู้สึกท้อใจไม่ได้ เพิ่มระดับขั้นหนึ่งทำไมมันยากเย็นนัก หากเพิ่มไปถึงระดับสิบ ต้องรอโฮสต์นางเปลี่ยนไปเป็นหญิงชราเลยใช่หรือไม่
เฉียวเยี่ยนก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าการเพิ่มระดับจะยากเย็นปานนี้ หลังจากปลอบโยนระบบตัวน้อยที่กำลังสลดใจแล้ว นางก็เริ่มวางแผนหาลู่หาทำงานอื่น ๆ
ภัตตาคารของเฉียวเยี่ยนเปิดแล้ว หลายคนมีความสุข ทว่าหลายคนก็เป็นทุกข์ คนที่มีความสุขก็คือลูกค้าที่ได้กินอาหารสมใจอยาก ส่วนคนที่ทุกข์ก็คือภัตตาคารอื่น ๆ
เดิมทีเมื่อถึงยามเหมันต์เมื่อใด กิจการของพวกเขาก็ดำเนินไปอย่างยากลำบากแล้ว ตอนนี้ยังมีหอฮวาอวิ้นเปิดตัวออกมาจนดึงดูดลูกค้าไปหมดอีก กิจการของพวกเขาก็ยิ่งซบเซามากขึ้น
หนึ่งในนั้นคือหอจิ้นสุ่ย ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง สร้างขึ้นมาใกล้แม่น้ำ ตอนที่กินข้าวในภัตตาคารยังสามารถชมทิวทัศน์เมืองได้ด้วย
หอจิ้นสุ่ยเป็นแหล่งรวบรวมพ่อครัวจากทั่วทั้งประเทศ หากมาเยือนภัตตาคารนี้ก็จะได้ลิ้มรสอาหารที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกพื้นที่ ขึ้นชื่อในเรื่องที่มีทุกรสชาติ และปกติจะมีลูกค้าเข้าออกไม่ว่างเว้น
ทว่าตั้งแต่หอฮวาอวิ้นเปิดตัวมา ลูกค้าของพวกเขายิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้ ทุกวันจะมีแขกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มากินข้าว เหล่าพ่อครัวต่างสัปหงกกันอยู่ในครัวด้านหลัง และผู้ดูแลร้านก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
ในตอนแรกพวกเขาไม่สนใจหอฮวาอวิ้น คิดว่าของหรูหราโอ่อ่าเหล่านั้นเป็นเพียงลูกเล่นหนึ่งก็เท่านั้น แต่เมื่อเห็นลูกค้าแน่นขนัด และรถขนผักสดแต่ละคัน พวกเขาก็รู้สึกอิจฉา
ผู้ดูแลร้านจึงส่งเสี่ยวเอ้อร์ไปซื้อผักที่หอฮวาอวิ้นกลับมาภัตตาคาร เท่านี้พวกเขาก็ขายอาหารสดใหม่ได้แล้ว ทว่าเหล่าลูกค้าต่างติดใจหลงใหลในหม้อไฟของหอฮวาอวิ้น ทำให้ลูกค้าของหอจิ้นสุ่ยยังคงน้อยเหมือนเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น ราคาผักเหล่านั้นยังสูงมาก หากหักล้างค่าใช้จ่ายแล้ว อาหารจานผักอย่างหนึ่งคงทำให้พวกเขาได้เงินไม่เท่าใดนัก
ผู้ดูแลร้านหอจิ้นสุ่ยกลุ้มใจกับบัญชีที่รายรับไม่พอกับรายจ่ายทุกวัน จนไม่รู้ว่าจะไปรายงานแก่เจ้าของอย่างไรดี
กิจการภัตตาคารของเฉียวเยี่ยนรุ่งเรืองดียิ่งนัก ไม่เพียงยั่วยุให้อีกฝ่ายอิจฉาได้เท่านั้น แต่ยังทำให้อี้จื่อจิ้นอิจฉาตาร้อนด้วย
ครั้นได้ฟังข่าวลือที่แทบจะเป็นตำนานของเฉียวเยี่ยนในเมื่องหลวง อี้จื่อจิ้นก็ริษยาจนร่างกายสั่นเทา ชื่อเสียงของหญิงคนนั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนความเป็นไปได้ที่นางจะได้เข้าไปในตำหนักอ๋องซู่ยิ่งมีน้อยลง!
คนเหล่านั้นก็ช่างไร้สมองจริง ๆ มันก็แค่ผักธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้กินสองสามเดือนมันจะเป็นไรไป? แต่ละคนเข้าไปประคองเท้าเหม็น[1]ของเฉียวเยี่ยนอยู่ได้!
ขนาดนางยังไม่กินเลย! จวนอัครเสนาบดีของพวกเขาห้ามกินผักของหญิงคนนั้น!
ทว่าบนโต๊ะอาหารในวันนี้กลับมีผักสองสามอย่างที่ไม่มีในฤดูกาลนี้ อีกทั้งฮูหยินลวี่ภรรยาท่านอัครเสนาบดียังจับตะเกียบคีบผักกาดหอมในน้ำแกงให้นาง ทั้งยังเร่งเร้าให้นางรีบกินอีกด้วย
อี้จื่อจิ้นยิ่งโมโหมากขึ้น วางชามและตะเกียบลงบนโต๊ะดังโครม ไม่สนอาการหน้าเสียของบิดามารดา และกลับเข้าห้องไปอย่างโกรธกริ้ว
ยังจะกินข้าวอะไรอีก โมโหจนอิ่มไปหมดแล้ว!
[1] ประคองเท้าเหม็น หมายถึง การยกยอประจบประแจงในสิ่งที่รู้ว่าผิด ให้เห็นเป็นชอบ กล่าวชื่นชมผู้ไร้ความสามารถทั้งยังหาประโยชน์อะไรไม่ได้ว่าน่าเคารพชื่นชม
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ลองกินผักสักหน่อยจะติดใจนะคุณหนู ผักสดมีสารต้านอนุมูลอิสระ คนเครียดมากชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างคุณหนูควรกินไว้เยอะ ๆ นะคะ กินผักเยอะ ๆ ผิวพรรณจะได้ดี ๆ จะได้ไม่เหี่ยวไม่แก่ก่อนวัย ไม่งั้นสู้เฉียวเยี่ยนไม่ได้นะเออ เกิดถึงตอนนั้นหน้าแก่แซงเฉียวเยี่ยนไปทำไงอะ
ไหหม่า(海馬)