ตอนที่ 69 บะหมี่น้ำใสกลิ่นไหม้
ตอนที่ 69 บะหมี่น้ำใสกลิ่นไหม้
หลังจากพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านอยู่นาน เฉียวเยี่ยนก็แสดงออกว่าตัวเองอยากครอบครองป่าท้อผืนนี้จริง ๆ แถมยังไม่กลัวขาดทุนด้วย
หัวหน้าหมู่บ้านพูดจนปากคอแห้งแล้วก็ยังหยุดนางไม่ได้ จึงได้แต่มองอ๋องซู่ที่ยืนโด่อยู่ข้างหลังซู่หวางเฟยอย่างเศร้าใจ
ภรรยาท่านกำลังจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ท่านไม่ห้ามหน่อยหรือ?
มู่ฉินเจินเลิกคิ้วขึ้น และเอ่ยเรียบเฉย “เปิ่นหวางรับฟังหวางเฟย”
หัวหน้าหมู่บ้าน”…”
เอ่อ เขาทำทุกวิถีทางไม่ให้พวกเขาใช้เงินไปเปล่าประโยชน์ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ!
สุดท้ายก็หมดปัญญาจริง ๆ เขายอมแพ้แล้ว พลางถอนหายใจออกมา แล้วหันไปคุยกับพวกลูกบ้าน ป่าท้อผืนนี้เป็นของทุกคน ขายป่าได้เงินมาเท่าไรก็ต้องตกลงกับคนทั้งหมู่บ้าน
ครั้นพวกชาวบ้านรู้ว่ามีคนอยากได้ป่าท้อที่ไร้ประโยชน์นี้ก็ตกใจ คนผู้นั้นกลายมาเป็นคนโง่ที่ตามคนอื่นไม่ทันแล้วหรือ?
แต่ในเมื่อหวางเฟยเหนียงเหนียงดูแลพวกเขาขนาดนี้ พวกเขาก็มิอาจขายในราคาสูงได้ จึงปรึกษากันชั่วครู่หนึ่ง แล้วก็ได้ราคาที่เป็นเอกฉันท์
“หวางเฟยเหนียงเหนียง ป่าท้อในหมู่บ้านของเรามีพื้นที่ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยหมู่ หากคิดตามราคาขายที่ดินของคนอื่น ป่าหนึ่งหมู่คิดเป็นเงินสี่ตำลึง แต่ป่าท้อนี้ไร้ประโยชน์ เราจะขายให้ท่านหนึ่งตำลึงต่อหนึ่งหมู่
หัวหน้าหมู่บ้านยังกลัวว่าหวางเฟยเหนียงเหนียงจะคิดว่ามันมากเกินไป หนึ่งตำลึงต่อหนึ่งหมู่ หมู่บ้านพวกเรามีหนึ่งร้อยกว่าครัวเรือน หากแบ่งเงินหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง ทุกครัวเรือนก็จะได้คนละประมาณสิบกว่าตำลึง
สิบกว่าตำลึงเชียวนะ สามารถสร้างบ้านได้ตั้งหลังหนึ่งเลยล่ะ!
เฉียวเยี่ยนได้ยินราคานี้ก็ประหลาดใจมาก นางเคยเห็นที่ดินราคาถูกก็จริง แต่มันก็ไม่ควรถูกขนาดนี้ นางจึงรู้สึกไม่สบายใจ
ในสายตาพวกเขามันคือ ‘ต้นตอแห่งความจน’ แต่ในสายตานางมันคือภูเขาทอง หากดูแลให้ดี ๆ ปีนี้ก็เริ่มรับผลตอบแทนแล้ว!
เฉียวเยี่ยนไม่อยากเอาเปรียบจนน่าเกลียดเกินไป ด้วยกลัวว่าจะถูกฟ้าผ่า หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับหัวหน้าหมู่บ้าน “หนึ่งตำลึงมันน้อยเกินไป และข้าก็มิควรเอารัดเอาเปรียบพวกเจ้า เอาเช่นนี้ไหม ให้เป็นสองตำลึงต่อหนึ่งหมู่ ข้าจะให้คนร่างเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร เราจะลงนามต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน ข้ายื่นเงินให้เจ้า เจ้ายื่นโฉนดที่ดินให้ข้า ส่วนจะแบ่งเงินกันอย่างไรนั้น พวกเจ้าก็ไปตัดสินใจกันเอง ข้าจะไม่ถามอะไร”
อะไรนะ? ยังมีคนไม่อยากได้ที่ดินราคาถูก และอยากเสียเงินมากอยู่อีกหรือ?
หัวหน้าหมู่บ้านมึนงง รู้สึกว่าตัวเองตามความคิดของคนรวยไม่ทัน หรือว่าเงินของคนรวยจะไม่ใช่เงินกัน?
เขาเกลี้ยกล่อมเฉียวเยี่ยนอยู่หลายตลบ แต่เฉียวเยี่ยนได้ตัดสินใจแล้ว และให้มู่ฉินเจินลงลายลักษณ์อักษร หัวหน้าหมู่บ้านจึงทำได้เพียงรับตั๋วเงินสามพันกว่าตำลึงมาด้วยน้ำตาคลอหน่วย
คนหนุ่มคนแก่ในหมู่บ้านของพวกเขาไม่มีใครเคยเห็นตั๋วเงินมากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงเลย ตอนนี้ตั๋วเงินสดสามพันตำลึงมากองอยู่ตรงหน้า มันช่างเหมือนความฝันจริง ๆ
พวกเขาไม่ได้ฝันกลางวันกันอยู่ใช่หรือไม่?
ไม่คิดเลยว่าป่าท้อขนที่ทำให้พวกเขากลุ้มใจมาหลายชั่วอายุคนผืนนี้จะถูกขายไปในราคามากกว่าสามพันตำลึง!
หัวหน้าหมู่บ้านถือตั๋วเงินสองสามใบด้วยมือสั่นเทา พลางถามเสียงสั่นเครือ “หวางเฟยเหนียงเหนียง ข้าน้อยขอริอาจถามท่านได้หรือไม่ว่าท่านจะซื้อป่าท้อผืนนี้ไปทำไมรึ?”
เฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางกังวลของเขาก็หัวเราะขึ้นมา พวกชาวบ้านมองจนตกตะลึง รอยยิ้มนั้นงดงามยิ่งกว่าดอกท้อในหมู่บ้านของพวกเขาเสียอีก
นางไม่คิดจะอธิบายอะไรมาก ไม่ว่านางจะพูดมากเพียงใด การทาบกิ่งหรือการเลี้ยงไก่แบบปล่อยก็ล้วนเป็นจินตนาการในสายตาของพวกเขา รอต่อไปพวกเขาก็จะเข้าใจเอง
เฉียวเยี่ยนหาเหตุผลไม่ได้ก็ปรายสายตามองเจ้าปลาอ้วนถือดอกท้อกำลังยิ้มอย่างโง่เขลา จึงใช้มือชี้ไปที่นาง “เอ่อ ลูกสาวข้าชอบดอกไม้ เห็นป่าท้อผืนนี้งดงามนัก จึงอยากจะซื้อ”
ชาวบ้าน “…”
ช่างเถิด พวกเขาไม่เข้าใจโลกของคนรวยหรอก
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย นางเก็บดอกท้อสีชมพูอ่อนมาสวมไว้บนศีรษะของบิดากับพี่ชาย ชายทั้งสองรู้สึกจนใจกับเด็กน้อยอย่างสุดขั้ว แต่กลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เฉียวเยี่ยนชำเลืองมองท่านอ๋องที่ทัดดอกท้ออยู่ข้างหู จู่ ๆ ก็นึกคำว่า ‘คนงดงามกว่าดอกไม้’ ขึ้นมา ดวงหน้านั้นของเขายังสะดุดตากว่าดอกท้อเก้าลี้อีกกระมัง?
หลังจากลงนามสัญญาเสร็จและซื้อภูเขาเรียบร้อยแล้ว พวกเฉียวเยี่ยนก็หลีกเลี่ยงคำเชิญอันอบอุ่นของพวกชาวบ้านไม่ได้ จึงอยู่รับประทานอาหารในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวมื้อหนึ่ง
หลังรับประทานอาหารเสร็จ เฉียวเยี่ยนแทบจะไปเดินสำรวจภูเขาของนางไม่ไหว
นางเดินเลียบไปตามทางปีนขึ้นไปบนภูเขา ยิ่งนางเดินขึ้นไปสูง กลิ่นหอมของดอกท้อก็ยิ่งแรงขึ้น และยังได้ยินเสียงฝูงผึ้งที่ดอมดมเกสรดอกไม้ด้วย
เส้นทางบนภูเขาเดินลำบากมาก ทั้งยังกลัวว่าเด็ก ๆ จะถูกผึ้งต่อย เด็กทั้งสองจึงหดเข้าไปในอ้อมแขนพวกลุงองครักษ์อีกนิด
ภูเขาไม่สูงนัก ไม่นานก็เดินถึงยอดสูงสุด เฉียวเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึก กลิ่นหอมของดอกท้อและกลิ่นดินอวลจ่ออยู่ที่ปลายจมูก นางชอบที่ดินผืนนี้มากจริง ๆ !
ระบบตัวน้อยก็ยังดื่มด่ำไปกับความงามของป่าท้อ และบรรเลงเพลงในสถานที่ที่ดอกท้อบานสะพรั่ง
หลังจากชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของป่าท้อเสร็จ เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเกาจัวหยวนกับคนอื่น ๆ นำต้นกล้ามาในวันพรุ่งนี้ ก็สอนให้พวกชาวบ้านปลูกมันเทศกับพริก จากนั้นนางก็หาทีมก่อสร้างมาล้อมป่าท้อบางส่วนก่อนโดยใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นรั้ว และซื้อลูกไก่ส่งไปเลี้ยงชุดหนึ่งก่อน
อ้อ แล้วก็ต้องรับสมัครกลุ่มคนที่รับผิดชอบในการเลี้ยงไก่ และต้องสร้างบ้านสองสามหลังบนภูเขาเพื่อเป็นหอพักให้พวกเขา การทาบกิ่งต้นท้อก็ต้องกำหนดวันเวลา แต่ยามนี้มีนางคนเดียวที่รู้ทักษะนี้ จะให้นางทาบกิ่งท้อเป็นพันหมู่คนเดียวนะรึ? ตลกแล้ว นางไม่เหนื่อยตายหรือ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉียวเยี่ยนก็กลุ้มใจขึ้นมา เวลาไม่พอ! กำลังพลก็ไม่พอ!
การเพาะปลูกในวังยังรอนางอยู่ แม้เรือนกระจกกับภัตตาคารจะเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่นางยังมิอาจเป็นเถ้าแก่ที่ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียวได้
ไม่ได้ล่ะ! นางต้องอบรมกลุ่มผู้ช่วยให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นนางได้ทำงานหนักจนตายแน่!
……
หลังกลับจากหมู่บ้านจิ่วหลีพัวมาที่หมู่บ้านม่ายเซียง เฉียวเยี่ยนก็กระโจนเข้าไปในห้อง หยิบพู่กันมาเริ่มวาดวางแผน หากไม่วางแผนให้ดีก่อนจะทำอะไร นางจะรู้สึกไม่สงบใจนัก
ตอนนี้ทางด้านป่าท้อต้องหาทีมงานก่อสร้างมาล้อมรั้วกับสร้างบ้านก่อน นางต้องใช้ช่วงเวลานี้หาคนงานที่เหมาะสมมาช่วยนางเลี้ยงไก่ และยังต้องฝึกอบรมคนกลุ่มหนึ่งให้ทาบกิ่งเป็น
ทีมก่อสร้างหาง่าย แต่จะไปหาคนงานได้ที่ไหนนั้นกลายเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง
ขณะนางจดจ่ออยู่กับความคิด มู่ฉินเจินก็เคาะประตูเข้ามา ในมือถือถาดที่มีชามใบใหญ่ควันกรุ่นวางอยู่มาด้วย
“กินอะไรสักหน่อยก่อนเถิด จะยุ่งแค่ไหนก็มิควรทำให้ตัวเองหิว”
เฉียวเยี่ยนเหลือบมองท้องฟ้าด้านนอกประตู ถึงได้พบว่ามันใกล้จะมืดแล้ว ในตอนที่นางกลับมานางก็เข้าไปในห้องเขียนตารางงานทันที แม้แต่อาหารกลางวันก็ให้ฮุ่ยเซียงเป็นคนทำ แต่กระนั้นนางก็ไม่ออกไปกิน
มู่ฉินเจินวางชามยักษ์ไว้ตรงหน้านาง เป็นบะหมี่น้ำใสธรรมดาง่าย ๆ หนึ่งชาม ผักจี้ฉ่ายเขียวแวววาว ไข่ดาวที่ทอดจนเหลืองเกรียม โรยด้วยต้นหอมสับ น้ำแกงใสน่าดึงดูดมาก นอกจากบะหมี่แล้ว เขายังเตรียมซอสพริกให้เฉียวเยี่ยน
เมื่อได้กลิ่นหอมของบะหมี่ เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกหิวขึ้นมา จึงสลัดความคิดที่วุ่นวายในหัวทิ้งไปก่อน และหยิบตะเกียบขึ้นมากินบะหมี่
“ขอบใจนะ กลิ่นหอมดี”
นางขอบคุณไปพลาง ตักบะหมี่กินไปพลาง แล้วก็พลันชะงักไปครู่หนึ่ง เนื่องเพราะพบว่ามันเค็มเล็กน้อย ครั้นลองชิมดี ๆ ก็รู้สึกว่ามีกลิ่นไหม้อยู่ด้วย
เหตุใดฝีมือของฮุ่ยเซียงถึงได้ถดถอยลงเช่นนี้?
แม้เฉียวเยี่ยนจะคิดเช่นนี้ แต่นางก็ยังกินเต็มปากเต็มคำ แม้จะไม่อร่อยนัก แต่ก็ยังพอกินได้
สิ่งที่นางไม่ทันได้สังเกตคือมู่ฉินเจินบีบนิ้วเล็กน้อยในวินาทีที่นางกินบะหมี่ ราวกับประหม่าเล็กน้อย
ครั้นเห็นเฉียวเยี่ยนรับประทานอย่างมีความสุข มู่ฉินเจินก็ผ่อนคลายลง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
ดูเหมือนว่าฝีมือของเขาก็ไม่เลวนัก อย่างน้อยเจ้าท่อนไม้ก็ไม่ได้พูดว่าทานไม่ได้
หากเหล่าองครักษ์รู้ว่าความคิดของท่านอ๋องในเวลานี้ พวกเขาคงต้องลากเขาไปยังห้องครัว และให้เขาเบิกตาดูดี ๆ ว่าท่านคิดอย่างไรกับการทอดไข่ไหม้ไปห้าหกฟองและต้มบะหมี่เสียไปหลายชาม?
ขณะที่เฉียวเยี่ยนกิน นางก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ยินเสียงของเด็กทั้งสอง จึงถามขึ้น “เด็ก ๆ เล่า?”
“เล่นกับเด็กคนอื่นที่ทางเข้าหมู่บ้าน”
พอเอ่ยถึงเด็ก ๆ เสียงของลูกทั้งสองก็ดังมาจากนอกลานบ้าน ตะโกนเรียกหาแม่ คาดว่าน่าจะเล่นอย่างสนุกสนานมาก
ฮุ่ยเซียงที่อยู่ด้านหลังวิ่งตามนายน้อยทั้งสอง พลางตะโกนให้วิ่งช้า ๆ มาตลอด ด้วยกลัวว่าจะหกล้ม
เฉียวเยี่ยนได้ยินเสียงของฮุ่ยเซียงก็สงสัยขึ้นมา นางออกไปเล่นกับเด็ก ๆ แล้วบะหมี่นี่ผู้ใดเป็นคนทำกัน?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บะหมี่ฝีมืออ๋องโบ้เป็นไงบ้างคะเฉียวเยี่ยน เขาอุตส่าห์พยายามทำสุดฝีมือเลยนะ
ว่าแล้วก็อยากเห็นเฉียวเยี่ยนเข้าครัวมาเจอความเละเทะและหยุมท่านอ๋องโทษฐานทำวัตถุดิบอาหารเสียของจริงๆ แต่หยุมเบาๆ หน่อยนะเดี๋ยวขนร่วงเป็นกระจุก เห็นแก่ความพยายามเอาใจภรรยาของอ๋องโบ้เขา
ไหหม่า(海馬)