ตอนที่ 72 ผู้ชายติดภรรยากับผู้ชายกลัวภรรยา
ตอนที่ 72 ผู้ชายติดภรรยากับผู้ชายกลัวภรรยา
เฉียวเยี่ยนมองแปลงผักแต่ละแปลงพลางพยักหน้าด้วยความพอใจ วางแผนแปลงได้อย่างเหมาะสมดี ผักก็ปลูกอย่างถูกต้อง
ฮองเฮาค่อนข้างภาคภูมิใจจนยิ้มไม่หุบ ทั้งหมดนี้พระนางเชิญขุนนางกรมการคลังสองสามคนมาสอนและลงมือทำมันออกมา นางขุดดินปลูกผัก รดน้ำใส่ปุ๋ยทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างมีสีสัน ไม่รู้สึกเบื่ออีกแล้ว!
เดิมทีเฉียวเยี่ยนตั้งใจรื้อถอนแค่อุทยานอวี้ฮวาไว้ปลูกผัก ไม่ได้สนใจพวกตำหนักนางสนมเหล่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าฮองเฮาจะขุดตำหนักเพื่อปลูกผักโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เสด็จแม่ ท่านคิดไถที่ในตำหนักคุนหนิงได้อย่างไรหรือเพคะ?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮองเฮาก็มีท่าทางกริ้วขึ้นมา นังแพศยาเหล่านั้นชักออกนอกลู่นอกทางแล้ว พอเห็นฝ่าบาททรงหลงใหลในการปลูกผัก แต่ละคนจึงไถที่ปลูกผักในตำหนักตัวเองอย่างกระตือรือร้น และแสร้งทำเป็นแบกจอบขุดดินทุกวัน
เพ้ย! ใครเขาทาแป้งสวมชุดกระโปรงรัดอกขุดดินกัน!
และพวกนางยังเชิญฝ่าบาทไปยังตำหนักของตนอย่างหน้าไม่อาย บอกว่าไม่เข้าใจวิธีการปลูกผัก จึงเชิญฝ่าบาทเสด็จไปชี้แนะ!
ฝ่าบาทที่ตอบสาส์นมาครึ่งค่อนชีวิตจะเข้าใจการปลูกผักอะไร นี่มันถือโอกาสแย่งชิงความโปรดปรานชัด ๆ !
ฝ่าบาททรงหมดความสนใจต่อนางในไปนานแล้ว อีกอย่างหลายปีมานี้ที่นางบำเรอเหล่านั้นเข้ามาในวังได้ก็เป็นเพราะการบีบคั้นของเหล่าขุนนาง พระองค์ไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ กับพวกนางเลยสักนิด
ดังนั้น พระองค์จึงมอบหน้าที่อันหนักหน่วงในการปลอบขวัญ ‘สนมรัก’ ให้กับฮองเฮา ให้ฮองเฮาช่วยไล่ไป
ด้วยเหตุนี้ ฮองเฮาจึงเรียกเหล่านางบำเรอทุกตำหนักมารวมตัวกัน และเชิญเหล่าขุนนางกรมการคลังมาชี้แนะ
บุรุษภายนอกมิอาจเจอสนมนางในได้มิใช่หรือ? เช่นนั้นพวกนางก็ฟังแบบปิดห้องสิ!
เหล่าชายชราแห่งกรมการคลังยืนอยู่ด้านนอกประตูอธิบาย และพวกนางก็นั่งฟังอยู่ข้างใน แล้วค่อยส่งขันทีกับนางข้าหลวงสองสามคนออกไปเฝ้าดูอยู่ด้านนอก
พวกเจ้าปลูกผักไม่เป็นกันมิใช่รึ? อยากเชิญฝ่าบาทไปให้คำชี้แนะมิใช่รึ? ยามนี้คนที่รู้เรื่องการปลูกผักดีกว่าฝ่าบาทก็ถูกเชิญมาแล้ว ยังจะมีอะไรให้พูดอีก!
ในเวลานั้นสีหน้าเหล่านางบำเรอต่างยับยู่ยี่ พวกนางเพียงแค่อยากได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ใครจะอยากขาเปื้อนโคลนจริง ๆ กัน!
เฉียวเยี่ยนฟังฮองเฮาเล่าเรื่องด้วยความโมโหก็รู้สึกจนใจอย่างยิ่ง นางไม่คิดเลยว่าการที่นางยุยงฮ่องเต้เฒ่าให้ปลูกผักจะดึงเรื่องแย่งชิงความโปรดปรานเข้ามาพัวพันด้วยได้
แต่นางก็สงสารฮองเฮายิ่งนัก เห็นอยู่ว่าพระสวามีรักตัวเองมาก แต่เขากลับจำต้องแต่งงานกับผู้หญิงหลายคน และยังต้องมองเขากับผู้หญิงเหล่านั้นให้กำเนิดบุตร
นางเคยถามมู่ฉินเจินว่าเหตุใดฮ่องเต้ที่โปรดปรานฮองเฮาเพียงผู้เดียวยังต้องรับนางสนมเข้ามามากมาย ซึ่งเขาบอกว่าพระองค์ถูกบีบคั้น
ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ด้วยวัยยี่สิบกว่าชันษา แต่มีอำนาจปกครองไม่มั่นคง เพราะอดีตพระประยูรญาติทางสายพระราชชนนีเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง อำนาจที่ฝ่าบาทคว้าไว้ได้จึงมีน้อย แล้วต้องฝืนรับแรงกดดันจากทางราชสำนัก ฝ่าบาทเลยจำต้องรับสนมมากมายมาถ่วงดุลอำนาจ
นางฟังจบก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร นางเห็นอกเห็นใจฮองเฮา และเข้าใจความยากลำบากของฮ่องเต้ ทว่านางเป็นคนสมัยใหม่ มิอาจยอมรับการมีภรรยาหลายคนได้
ในยุคนี้นอกจากชาวบ้านยากจนที่มีผัวเดียวเมียเดียวแล้ว บุรุษคนอื่นที่ร่ำรวยหน่อยล้วนมีอนุภรรยาเป็นกลุ่มก้อน ดังนั้น นางจึงไม่เคยคิดจะหาผู้ชายในยุคนี้เลย
นางรับไม่ได้ที่คนของตัวเองปากบอกว่ารักนาง หลับนอนอยู่กับนาง แต่ก็ยังไปบอกกับหญิงอื่นเหมือนอย่างเดียวกัน และคลอเคลียกันอยู่บนเตียง
แม้จะได้พบกับคนที่สัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่กับนางสองคนไปชั่วชีวิต แต่คำสัญญามีมูลค่าไม่กี่เหรียญ เมื่อผู้ชายเปลี่ยนใจขึ้นมา ประโยคที่ว่า ‘เมื่อภูเขาไร้ยอด ฟ้าดินบรรจบกัน ข้าถึงจะแยกทางกับเจ้า’ จะหยุดไว้ได้หรือ
นางหาใช่ไม่คาดหวังความรัก เพียงแต่นางไม่กล้าคาดหวังผู้ชายในยุคนี้มากนัก แม้ตอนนี้เขาจะมีใจอยู่กับนางไปตลอดชีวิต แต่พวกเขาอยู่ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาตั้งแต่เด็ก อำนาจสูงสุดทางด้านความคิดจึงตกอยู่ที่ผู้ชาย ซึ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้เพราะนางเพียงคนเดียว
หลังจากปลูกผักเป็นเพื่อนฮองเฮาอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็กลับมาจากเลิกว่าราชกิจ และเดินตรงไปยังตำหนักคุนหนิง พวกชายชราดื้อรั้นเหล่านั้นเริ่มพูดฉอด ๆ ว่าเขาไม่ควรรื้อถอนพระราชอุทยาน ซึ่งเขาฟังจนอารมณ์เสีย
เมื่อเข้าไปในตำหนักคุนหนิงและเห็นฮองเฮากำลังถือจอบเล็กปลูกผักอยู่ ก็อดรู้สึกปิติไม่ได้ มีเพียงภรรยาเขาที่เข้าใจเขา และมีหัวข้อคุยร่วมกันกับเขา
เฉียวเยี่ยนลุกขึ้นคำนับฮ่องเต้ ชายชราโบกมือและพานางไปที่เรือนกระจก ให้นางรีบสั่งคนจัดวางเรือนกระจกโดยเร็ว เขาจะได้ปลูกผักในนั้น
หลังจากใช้เวลาไปสองวัน เฉียวเยี่ยนก็พาเหล่าขันทีกับนางข้าหลวงมาสร้าง ติดตั้งของในเรือนกระจก และส่งคนงานที่เชี่ยวชาญการเพาะต้นกล้าจากในตำหนักอ๋องมาทำหน้าที่สอนเหล่าขันทีกับนางข้าหลวงปลูกผัก
เรื่องในพระราชวังสิ้นสุดลงแล้ว เหลือป่าท้อเก้าลี้ของนางที่ยังรอนางอยู่!
นางปรึกษากับมู่ฉินเจินก่อนหน้านี้ว่าจะส่งทหารปลดประจำการไปจัดการดูแลป่าท้อ ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง ท่านอ๋องก็ไปหาคนให้นางทันที
ป่าท้อหนึ่งพันหมู่ต้องใช้คนงานจำนวนมาก อย่างน้อยก็ต้องจัดหาที่พักให้ทหารปลดประจำการกว่าหนึ่งร้อยคน เพื่อแก้ปัญหาการหางานเลี้ยงชีพหลังเกษียณของพวกเขา
ในตอนที่ทหารส่วนใหญ่มาสมัครเป็นทหาร หากไม่ถูกเกณฑ์มา ก็มาสมัครเพราะเงินเดือนอันน้อยนิด
ช่วยไม่ได้ เพราะครอบครัวยากจนนะสิ เลยต้องพึ่งพาเงินขายชีวิตอันน้อยนิดมาหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
วันที่สิบสามเดือนสี่ ทหารปลดประจำการกว่าร้อยชีวิตเข้ามาในตำหนักอ๋อง พวกเขาเปลี่ยนเป็นชุดสุภาพสำหรับทำงาน เรียงแถวเป็นขบวนระเบียบเรียบร้อย ร่างกายตั้งตรง ย่างก้าวแข็งแกร่ง ยามก้าวเดินจะมีเสียงดังที่ให้ความรู้สึกฮึกเหิมออกมา
มู่ฉินเจินเป็นคนเลือกคนเหล่านี้มา สมองของพวกเขาไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ไม่ได้โง่ทึ่ม ความประพฤติดี นอกจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว หนึ่งในสามของพวกเขายังรู้หนังสืออีกด้วย
เพราะคนส่วนใหญ่มาจากชนบท จึงมีคนรู้หนังสือน้อยมาก เขาก็เลือกกรองหลายชั้น ถึงได้หาออกมาได้สองสามคน
ผู้คนหลายร้อยคนยืนอยู่ในลานแสดงการต่อสู้อย่างเป็นระเบียบ ทำให้ลานแสดงการต่อสู้ที่เคยกว้างขวางดูคับแคบลงในพริบตา ตอนนี้ทั่วทั้งตำหนักอ๋องซู่เต็มไปด้วยแปลงผักของเฉียวเยี่ยน ยากจะหาสถานที่รองรับคนเป็นร้อยคนได้
แต่โชคดีที่มู่ฉินเจินปูพื้นแผ่นหินเป็นลานแสดงการต่อสู้อยู่ในตำหนัก และนางซึ่งไม่ชอบความยุ่งยากก็ไม่ได้รื้อถอนออกปลูกผัก ยามนี้มาคิดดูแล้วก็ยังดีใจมากกับการตัดสินใจตอนนั้น
เหล่าทหารเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ สายตามองตรงไปข้างหน้า ท่าทางจริงจัง อกผายไหล่ผึ่ง เคร่งขรึมประหนึ่งเข้าร่วมสวนสนาม
ก่อนจะมาที่นี่ นายพลแต่ละคนในค่ายได้สั่งพวกทหารห้ามทำให้พวกเขาขายหน้า และห้ามทำให้ท่านอ๋องขายหน้าเด็ดขาด!
ตอนนี้ท่านอ๋องเป็นบุรุษติดภรรยา กลัวภรรยาไปแล้ว หากพวกเขาทำให้หวางเฟยไม่มีความสุข ท่านอ๋องต้องไม่มีความสุขเป็นแน่ พอท่านอ๋องไม่มีความสุข พวกเขาก็จะซวย!
แต่พวกเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าหวางเฟยเหนียงเหนียงที่ทำให้ท่านอ๋องหลงใหลยอมอ่อนข้อให้มีหน้าตาเป็นเช่นไร?
เฉียวเยี่ยนไม่ทราบความคิดของทหารน่ารักกลุ่มนี้ นางสวมชุดชุนซาน * สีแดงอ่อน แขนเสื้อผูกแน่นด้วยเชือก ผมดำขลับถูกเกล้าขึ้นกลัดด้วยปิ่นปักผมไม้ ดวงหน้างามล่มเมืองไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมใด ๆ และเดินไปหาพวกทหารที่อยู่บนลานแสดงการต่อสู้ด้วยรอยยิ้มบางเบา
(*春衫 ชุนซาน เป็นชุดผ้าแพรที่ชาวจีนโบราณนิยมใส่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นชุดที่มีจำนวนผ้าที่ใส่ทับกันน้อยชิ้น ระบายอากาศได้ดี)
มู่ฉินเจินก็เดินตามอยู่ข้างนาง พลางปรายตามองดวงหน้าขาวงดงาม พลันเสียใจที่ให้นางมาแสดงตัวต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นางงดงามเพียงนี้ยิ่งควรซ่อนเอาไว้ให้ดี ให้เขาได้เชยชมเพียงผู้เดียว
พวกทหารมองสตรีที่เดินเข้ามาด้วยสายตาอึ้งงัน กล่าวได้ว่าทุกคนล้วนอยู่ในค่ายทหารมาเป็นเวลานานเสียกระทั่งเห็นแม่หมูยังรู้สึกว่างดงาม
แต่ตอนนี้ที่เดินมาหาพวกเขาหาใช่แม่หมู แต่เป็นหญิงงามล่มเมืองที่กระทั่งมัจฉายังจมวารีปักษียังร่วงจากนภา บอกว่าเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ก็ไม่เกินจริง
หากเฉียวเยี่ยนรู้ว่าพวกเขาเอานางไปเปรียบเทียบกับแม่หมู ต้องเข้าไปให้รางวัลเป็นมะเหงกแก่พวกเขาแต่ละคนแน่!
ข้างามปานนี้ ริอาจเอาข้าไปเปรียบกับแม่หมู!
เมื่อมู่ฉินเจินเห็นสายตาพวกลูกน้องไม่ได้เรื่องที่จ้องภรรยาตน ใบหน้าก็พลันบึ้งตึง ทั่วร่างแผ่ไอเยือกเย็นออกมา สีหน้ามืดครึ้มนั้นดูราวอยากจะฆ่าคน
เขาไล่เจ้าพวกนี้ออกไปตอนนี้ยังจะทันไหม?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าท่านอ๋องได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จริงๆ แล้วน่าจะมีปัญหานางสนมมาอีกแน่เลย คนกลัวเมีย เอ้ย เกรงใจเมียอย่างท่านอ๋องจะต้องหาทางไม่ยอมขึ้นเป็นฮ่องเต้แน่ๆ
ไหหม่า(海馬)