ตอนที่ 96 บุตรชายที่แต่งงานออกไปเสมือนน้ำที่ถูกสาดทิ้ง
ตอนที่ 96 บุตรชายที่แต่งงานออกไปเสมือนน้ำที่ถูกสาดทิ้ง
เมื่อมู่ฉินเจินเข้ามาในห้องเครื่องหลวง นางข้าหลวงที่เดิมทีรับหน้าที่ช่วยเหลือเฉียวเยี่ยนก่อไฟก็ถูกไล่ออกไป โดยมีท่านอ๋องเข้ามารับหน้าที่เป็นคนควบคุมไฟแทน
เด็กน้อยทั้งสองก็นั่งอยู่ข้างผู้เป็นพ่ออย่างว่านอนสอนง่าย ไม่วิ่งไปเรื่อย และไม่วุ่นวายอะไร
เฉียวเยี่ยนกำลังผัดผัก อาหารส่วนใหญ่ในวันนี้ล้วนปรุงโดยพ่อครัวหลวง แต่มีอาหารสองอย่างที่พวกเขาทำไม่ได้ นางจึงเข้าห้องเครื่องมาทำเอง
อาหารที่นางจะทำคือไก่ผัดพริกกับยำตีนไก่ไร้กระดูก ซึ่งจำเป็นต้องหมักตีนไก่ให้เข้าเนื้อเข้าหนัง ดังนั้นนางจึงเตรียมทำยำตีนไก่ไร้กระดูกก่อน
นำตีนไก่ที่จัดการเสร็จแล้วเอาออกจากน้ำเย็นใส่ลงไปในหม้อ เพิ่มหอม ขิง เหล้าเหลืองลงไปดับความคาว จากนั้นต้มตีนไก่ประมาณหนึ่งเค่อ แล้วตักออกมาแช่น้ำเย็น เสร็จแล้วก็ถึงขั้นตอนเลาะกระดูกที่ใช้เวลานาน
ทว่างานนี้เฉียวเยี่ยนมอบให้แม่ครัวในห้องเครื่องไปทำแล้ว นางแค่ต้องปรุงน้ำยำตีนไก่ให้อร่อยก็เท่านั้น
นางเตรียมมะนาวไว้ล่วงหน้าแล้วสองลูก ซึ่งซื้อมาจากระบบตัวน้อย และนางก็ยังไม่เคยเห็นว่าในราชวงศ์เทียนลี่มีมะนาวด้วย
ใส่กระเทียมสับ ผักชี น้ำมันพริก และเครื่องปรุงพื้นฐานอื่นๆ เช่นซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูหมักลงไปในอ่างไม้ สุดท้ายก็นำมะนาวที่ฝานเป็นแผ่นแช่ลงไปในน้ำยำ
มะนาวที่เพิ่งฝานใหม่ๆ ได้ส่งกลิ่นหอมสดชื่นลอยกระจายออกไป เจ้าปลาอ้วนได้กลิ่นนี้ก็น้ำลายสอ พลางเงยหน้าขอท่านแม่ลองชิม
“ลูกรัก สิ่งนี้เปรี้ยวมาก เจ้าไม่ควรกิน”
เฉียวเยี่ยนอธิบายเช่นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าปลาอ้วนไม่เชื่อ นางจึงไม่มีทางอื่น ทำได้เพียงส่งมะนาวแผ่นหนึ่งให้นาง และรอดูความสนุก
เมื่อเจ้าปลาอ้วนได้มะนาวฝานมาหนึ่งแผ่นก็ยัดเข้าปากอย่างมีความสุข สุดท้ายก็รู้สึกเปรี้ยวจนใบหน้าอวบอ้วนบิดเบี้ยว และแลบลิ้นคายมะนาวในปากทิ้ง
“เปรี้ยวจังเลย”
น้ำลายของเด็กน้อยไหลออกมาแล้ว เฉียวเยี่ยนแม่ใจร้ายหัวเราะจนเสียภาพลักษณ์ เจ้าปลาอ้วนจึงมองบนใส่มารดาอย่างน้อยใจ
เฮอะ! มีการหัวเราะเยาะลูกเช่นนี้ด้วยหรือ?
มู่ฉินเจินมองสองแม่ลูกแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างจนใจ ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อเช็ดน้ำลายให้เด็กน้อย
หลังจากได้ลิ้มรสชาติของมะนาว เจ้าปลาอ้วนก็ไม่ตะกละอีกแล้ว เล่นเกมเป่ายิงฉุบกับพี่ชายอยู่ในอ้อมแขนบิดาอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของน้องสาว เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็รู้ว่านางจะออกอะไร แต่ในฐานะทาสของน้องสาวเขาก็จงใจเดาผิด และหยอกล้อเจ้าปลาอ้วนจนมีความสุข
หลังจากทำยำตีนไก่ไร้กระดูกเสร็จแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เริ่มทำไก่ผัดพริก ไก่ผัดพริกต้องใช้เนื้อขาไก่มาผัด นำขาไก่มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาไปแช่ในน้ำล้างคราบเลือด จากนั้นใส่เครื่องปรุงในการหมักแล้วใส่แป้งลงไปเล็กน้อย ซึ่งแป้งที่ใส่ลงไปจะรักษาความฉ่ำน้ำของเนื้อไก่ไว้
เทน้ำมันใส่หม้อในปริมาณมาก รอจนน้ำมันร้อนก็นำเนื้อขาไก่ที่หมักแล้วลงไปทอด ทอดจนเป็นสีเหลืองทองแล้วก็ตักออกได้ หากอยากให้เนื้อกรอบมากยิ่งขึ้นก็ต้องเอาลงไปทอดอีกรอบหนึ่ง
เนื้อไก่ที่ทอดเสร็จแล้วส่งกลิ่นหอมเย้ายวน เด็กทั้งสองหิวจนกัดนิ้วหัวแม่โป้ง ความหิวของมู่ฉินเจินเองก็ถูกปลุกขึ้นมา
เฉียวเยี่ยนขบขันไปกับท่าทางมองตาปริบๆ ของสามพ่อลูก จึงไปหยิบตะเกียบมา คีบป้อนเนื้อไก่ให้สามพ่อลูกคนละชิ้น
“อร่อยไหม?”
นางถามด้วยรอยยิ้มสดใส
เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าของพวกเขาอย่างหนักแน่น ในปากถูกยัดจนป่องนูน พลางกุมแก้มทั้งสองกินเนื้ออย่างมีความสุข มู่ฉินเจินเองก็พยักหน้าเล็กน้อย
เฉียวเยี่ยนมองพวกเขารับประทานอย่างเอร็ดอร่อยก็รู้สึกพึงพอใจเป็นพิเศษ จึงไปเอาถ้วยมาตักเนื้อไก่ให้พวกเขาเล็กน้อย และให้มู่ฉินเจินกินไปด้วยป้อนลูกๆ ไปด้วย
สายตาของทุกคนในห้องเครื่องรวมกันอยู่ทางด้านนั้นจนมู่ฉินเจินรู้สึกอายเล็กน้อย แต่ก็ภาคภูมิใจขึ้นมาทันที
คนที่เหลือทำได้แค่รู้สึกหิวโหยเท่านั้น พวกเขาไม่มีทางได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าท่อนไม้ของเขาหรอก!
หลังจากทอดเนื้อไก่เสร็จแล้วก็ใส่น้ำมันลงไปในหม้อเล็กน้อย ตั้งไฟอ่อน นำพริกแห้งกับฮวาเจียวแห้งที่เตรียมไว้แล้วลงไปคั่วในหม้อให้หอม แล้วนำเนื้อไก่ลงไปผัดในหม้อ ให้กลิ่นพริกแห้งกับฮวาเจียวซึมซับเข้าไปในเนื้อไก่ จากนั้นค่อยเพิ่มต้นหอมซยลงไป ผัดจนพริกไหม้เกรียมเล็กน้อยก็เป็นอันเสร็จแล้ว
กลิ่นพริกผัดที่ลอยอวลนั้นฉุนแสบจมูกมาก เฉียวเยี่ยนกลัวว่าสามพ่อลูกจะสำลัก จึงไล่พวกเขาออกไปอยู่นอกห้องเครื่องหลวง ด้วยเหตุนี้มู่ฉินเจินจึงย้ายม้านั่งออกไปนั่งอยู่หน้าประตูห้องเครื่อง จับตะเกียบถือถ้วย ป้อนเนื้อให้ลูกทั้งสองกิน
ในที่สุดท่านอ๋องก็ออกไปแล้ว พวกพ่อครัวแม่ครัวในห้องเครื่องที่ถูกยัดอาหารสุนัขให้จนอิ่มจึงได้สติกลับมา หากเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นเบาหวานตายแน่
บรรยากาศในงานเลี้ยงคึกครื้นขึ้นมาแล้ว ฮองเฮาจึงปลีกตัวออกมาดูการเตรียมอาหารในห้องเครื่องหลวง ผลที่ได้คือ ทันทีที่เข้ามาในลานห้องเครื่อง ก็เห็นพระโอรสตัวเองกำลังเลี้ยงเด็กๆ อยู่
แค่ใช้หัวแม่เท้าคิดพระนางก็รู้แล้ว เขาต้องมาเกาะติดภรรยาอีกแล้วแน่ๆ!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พระนางก็อดรู้สึกไม่สบอารมณ์ไม่ได้ ด้านหน้ามีเหล่าขุนนางมากมายพูดคุยกัน เจ้าที่เป็นบุรุษกลับไม่ไปรับหน้าขุนนางเป็นเพื่อนฝ่าบาท แต่แอบมาซ่อนตัวเลี้ยงลูกอยู่กับภรรยาแบบนี้มันใช้ได้หรือ?
แน่นอนว่านางไม่ได้หมายความว่าการมาอยู่เป็นเพื่อนภรรยาเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ไม่ดี กลับกันนางสนับสนุนอย่างมาก แต่ก็ต้องดูสถานการณ์รอบด้านด้วยสิ
ครั้นเด็กทั้งสองเห็นเสด็จย่าเดินเข้ามา ก็กางมือออกดั่งนกน้อยวิ่งไปอยู่ด้านข้างฮองเฮา
“เสด็จย่า รีบมากินเนื้อเร็วเจ้าค่ะ มันอร่อยมากเลยนะเจ้าคะ!”
เจ้าปลาอ้วนเป็นเด็กดีที่รู้จักแบ่งปัน จึงดึงเสด็จย่าไปรับประทานเนื้อด้วยกัน
เมื่อฮองเฮาเห็นเด็กทั้งสองก็ใจอ่อนระทวย พลางลูบศีรษะพวกเขา และเอ่ยหลอกล่อ “หลานๆ กินเถิด ย่าไม่กิน”
พระนางจูงมือเด็กทั้งสองมาอยู่ด้านข้างมู่ฉินเจิน แล้วถลึงพระเนตรใส่เขา ก่อนตรัสด่า “ยังไม่รีบไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อเจ้าอีก เจ้าเป็นถึงท่านอ๋องแต่ไม่ออกหน้ารับแขกมันใช้ได้ที่ไหนกัน พรุ่งนี้ขุนนางเฒ่าพวกนั้นจะได้ไม่เล่นงานเจ้า!”
การมีส่วนร่วมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับท่านอ๋อง เขาไม่ได้นำเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาว่างไม่มีอะไรทำ จะเข้าร่วมก็เข้าร่วมไปสิ เขาไม่ไปเฉียดใกล้ความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นแน่นอน
ทว่าคำพูดนี้เขาไม่ได้เอ่ยกับฮองเฮา เพราะว่าเพียงแค่เขาเอ่ยออกมา ต้องมีคำบ่นมากมายนับไม่ถ้วนรอเขาอยู่เป็นแน่
ท่านอ๋องที่ถือชามอยู่จึงกล่าวออกมาเพียงสามคำ “กินเนื้อไหม?”
ฮองเฮาโกรธกริ้วมาก จึงถลึงพระเนตรใส่เขาอีกครั้ง ก้าวพระบาทเข้าไปในห้อง ก่อนจะถอยกลับมา ใช้ตะเกียบคีบเนื้อใส่โอษฐ์ แล้วก็เสด็จเข้าไปในห้องอย่างโมโหต่อ
ช่างทำให้นางโมโหเสียจริง !
ครั้นเห็นเฉียวเยี่ยน ฮองเฮาก็เหมือนเห็นเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง ส่วนมู่ฉินเจิน นั่นคือบุตรชายที่แต่งงานออกไปเสมือนน้ำที่ถูกสาดทิ้ง
ด้วยท่าทางเชื่อฟังคำสั่งภรรยาของเขาในตอนนี้ มันไม่ใช่ว่าเขาแต่งงานออกไปกับเฉียวเยี่ยนหรอกหรือ
ฮองเฮาเหลือบมองความคืบหน้าในการทำอาหาร แล้วก็คุยกับเฉียวเยี่ยนครู่หนึ่ง ก่อนจะจากไปด้วยความพึงพอใจ
หลังจากที่เฉียวเยี่ยนทำยำตีนไก่ไร้กระดูกกับไก่ผัดพริกเสร็จ นางก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแล้ว พวกห้องเครื่องเคยเห็นโลกกว้าง และเคยจัดงานเลี้ยงใหญ่ ดังนั้นจึงวุ่นวายอย่างเป็นระบบระเบียบ
วันนี้พวกเขาเน้นทำอาหารพื้นบ้านเป็นหลัก อาหารอย่างหนึ่งมีปริมาณมาก และใช้เป็นถาดใหญ่ทั้งหมด อย่ามองว่ามันเป็นอาหารถาดใหญ่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าตาของมันเลย ขอแค่รสชาติดี และทำให้ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงมึนเมาไปกับความหอมอร่อยก็พอแล้ว
นอกจากไก่ผัดพริกแล้วก็ยังมีอาหารที่เกี่ยวกับไก่อีกหลายอย่าง ซึ่งใช้ไก่ปล่อยเลี้ยงของเฉียวเยี่ยนทั้งหมด ซึ่งนางอยากใช้งานเลี้ยงนี้ช่วยโฆษณาให้ไก่ปล่อยเลี้ยงของนางมีชื่อเสียง
มีทั้งยำเนื้อไก่เย็น เครื่องในไก่ผัดเปรี้ยวหวาน แกงไก่ ไก่ผัดหน่อไม้ดอง นอกจากอาหารจานไก่แล้ว อาหารพื้นบ้านที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเนื้อแดดเดียว ไส้กรอกนึ่ง ผัดเนื้อรมควัน แล้วก็แกงจืดผักกาดขาวที่ใช้เนื้อหัวถุ่ยมาตุ๋นเป็นน้ำแกง
สิ่งที่ห้องเครื่องหลวงมีไม่ขาดก็คือวัตถุดิบที่หายาก เนื้อสันนอกธรรมดาๆ ในยุคปัจจุบันกลับกลายเป็นเครื่องบรรณาการในสมัยโบราณ เมื่อเร็ว ๆ นี้ห้องเครื่องเพิ่งได้รับเนื้อสันนอกมาหลายชิ้น เฉียวเยี่ยนจึงนำพวกมันไปตุ๋นเป็นเนื้อสันนอกอบมะเขือเทศ
นำผลไม้แดงที่เก็บมาจากแปลงสดๆ ปาดเป็นกากบาทสี่ส่วน จากนั้นลวกด้วยน้ำเดือดครู่หนึ่ง แล้วลอกเปลือกออก จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
ใส่น้ำมันลงในหม้อเล็กน้อย ผัดหอม ขิง และกระเทียมจนหอม จากนั้นใส่มะเขือเทศลงไปผัด หลังจากผัดจนมะเขือเทศมีน้ำออกมา ก็ใส่เนื้อสันนอกที่ล้างน้ำแล้วลงไป
หลังจากผัดเนื้อสันนอกครู่หนึ่งก็เพิ่มซีอิ๊ว เกลือลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ สุดท้ายก็เพิ่มน้ำลงไปแล้วเบาไฟค่อยๆ ตุ๋น รอจนเนื้อสันนอกสุกพอประมาณแล้ว ก็ใส่มันฝรั่งลงไปตุ๋นด้วยกัน ตุ๋นจนกระทั่งเนื้อสันนอกกับมันฝรั่งอ่อนนุ่มแล้วก็เป็นอันเสร็จ
เนื้อสันนอกตุ๋นมะเขือเทศปรุงสุกเต็มหม้อใหญ่ น้ำแกงเข้มข้น และส่งกลิ่นหอมเย้ายวนออกมาเป็นระลอกๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บ้านอื่นลูกสาวเหมือนน้ำที่สาดทิ้ง แต่ที่นี่กลับตาลปัตร กลายเป็นลูกชายเหมือนน้ำที่สาดทิ้ง เฉียวเยี่ยนเธอมันตัวแม่ ตัวปัง ตัวมัม ตัวมารดา ตัวสูตินรี
เห็นอาหารแต่ละอย่างแล้วหิวเลยค่ะ ดีที่ตอนแปลกินข้าวไปด้วยเลยไม่ทรมาน ๕๕๕
ไหหม่า(海馬)