ตอนที่ 109 เปิ่นเฟยเพียงมาบอกกล่าว หาใช่มาขอความเห็นเจ้า
ตอนที่ 109 เปิ่นเฟยเพียงมาบอกกล่าว หาใช่มาขอความเห็นเจ้า
ทันทีที่เฉียวเจิ้นผิงเลิกว่าราชกิจกลับมาถึงจวนและได้ยินพ่อบ้านมารายงานว่าท่านอ๋องซู่มาเยือนที่นี่ เขาก็ตื่นตัวขึ้น ในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดว่าราชการ เขาก็รีบตรงไปที่หอพระอย่างเร่งด่วน หลิวซื่อรอเขากลับมาตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้ถูกเฉียวเยี่ยนยั่วโมโหจนได้รับความคับแค้นใจ จึงรอเขากลับมาระบายอารมณ์ให้ตัวเอง
หลิวซื่อพาลูกชายมาขวางเฉียวเจิ้นผิงที่กำลังเร่งรีบเอาไว้ คล้องแขนเขาแล้วร้องไห้อย่างน่าสงสารออกมา
“นายท่าน วันนี้ข้าเสียใจจะตายอยู่แล้ว…”
หากเป็นเมื่อก่อนที่เจอสถานการณ์เช่นนี้ เฉียวเจิ้นผิงต้องปลอบนางแน่นอน ทว่าวันนี้เขามีเรื่องเร่งด่วน จึงไม่แม้แต่จะฟังนางพูดจนจบประโยค
“มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันทีหลัง ไม่เห็นข้ายุ่งอยู่หรือไร?”
เขาสะบัดมือ ก่อนจะชักมือออกจากมือหลิวซื่อ แล้วรีบเดินไปทางหอพระ
หลิวซื่อมึนงง ชะงักค้างด้วยท่าทางแสร้งทำเป็นร้องไห้ จวบจนได้สติกลับมา นางก็กำมือแน่นอย่างเกลียดชัง และเดินไปยังหอพระด้วย
นางอยากเห็นนัก ว่านังเฉียวเยี่ยนจะสร้างความปั่นป่วนได้เพียงใดกัน!
พ่อบ้านชราตามอยู่ข้างๆ เฉียวเจิ้นผิง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายท่านถึงรีบร้อนเช่นนี้
“นายท่าน ตามหลักแล้ว คุณหนูใหญ่กลับบ้านทั้งที ควรจะมาเยี่ยมเยียนท่านถึงจะถูกสิขอรับ”
เฉียวเจิ้นผิงมีสีหน้ามืดครึ้มลง และถลึงตาใส่เชา “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
ตั้งแต่ได้เห็นเฉียวเยี่ยนในงานเลี้ยงพระราชวังวันนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่านางแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก นางหลุดพ้นจากการรับรู้ของเขา หลุดพ้นจากการควบคุมของเขา ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่สบายใจมาก
อีกอย่าง ตอนนี้ท่านอ๋องซู่ชอบนางเข้าจริงๆ แล้ว คงไม่พ้นฟังคำพูดเฉียวเยี่ยนมาจัดการเขา
เขารีบไปที่หอพระด้วยความกระวนกระวายใจ เขาไม่ได้มาที่นี่มาสองสามปีแล้ว เพียงมองในยามนี้ก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวมาก
ขณะเพิ่งเข้าไปในลานเล็กนอกหอพระได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็ก เขากัดฟันเดินเข้าไปโดยไม่สนท่าทางคนอื่น และคำนับมู่ฉินเจิน
“กระหม่อมคารวะท่านอ๋องซู่ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะมา จึงไม่ได้จัดเตรียมการต้อนรับ”
มู่ฉินเจินอุ้มเด็กทั้งสอง และก้มหน้าหยอกล้อกับพวกเขาอยู่ เหมือนไม่เห็นคนตรงหน้า และไม่มีใครอยู่ในสายตาเลย
เฉียวเจิ้นผิงค้อมคำนับอย่างอับอาย ในใจรู้สึกโมโหทว่าไม่กล้าแสดงออกมา เขามั่นใจแล้วว่าวันนี้พวกเขาต้องมาหาเรื่องเป็นแน่!
เฉียวจิ่นกับซูเนี่ยนหว่านเห็นภาพนี้ก็ไม่สนใจ และปล่อยให้เขารู้สึกอับอายไป ความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่ออีกฝ่ายได้ถูกลบล้างไปทีละขั้นตั้งนานแล้ว
เฉียวเยี่ยนวาดยิ้มขึ้น แต่ไม่เอ่ยอะไร และรอดูเรื่องสนุกอยู่
เฉียวเจิ้นผิงเห็นท่านอ๋องชักช้าไม่ยอมให้ลุกขึ้น สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยุงตัวลุกขึ้นเองอย่างอับอาย ทว่ายังไม่ทันยืนได้มั่นคง มู่ฉินเจินก็เอ่ยปากขึ้น
“ใต้เท้าเฉียวได้รับการอบรมมาอย่างดียิ่ง เปิ่นหวางให้เจ้าลุกขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อใด? ไม่เคารพราชวงศ์มีโทษอันใด ใต้เท้าเฉียวน่าจะรู้ดีนะ?”
มู่ฉินเจินปรายตาขึ้นเล็กน้อย พลางลูบศีรษะเด็กน้อยทั้งสองอย่างอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับเยือกเย็นเข้ากระดูก
เฉียวเจิ้นผิงตกใจกับไอเยือกเย็นที่แผ่รอบตัวเขาจนเนื้อตัวสั่นเทา รีบก้มตัวคำนับอีกครั้ง “กระหม่อมผิดไปแล้ว ได้โปรดท่านอ๋องซู่อภัยให้ด้วยพะย่ะค่ะ”
เขารู้ว่ามู่ฉินเจินตั้งใจทำให้เขาลำบากใจ แต่เขาจะทำอย่างไรได้ คนยศสูงกดขี่คนยศต่ำจนตาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเขาที่เป็นท่านอ๋อง เป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด
“ลุกขึ้นเถิด”
ในตอนที่เฉียวเจิ้นผิงเมื่อยเอวจนใกล้จะเคล็ด ในที่สุดมู่ฉินเจินก็พูดให้เขาลุกขึ้นได้
“ขอบพระทัยท่านอ๋องซู่!”
เขาลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าใบหน้ากลับยังแสดงความเคารพนับถือ แล้วกุมเอวยืดตัวตรงขึ้นมา
ไม่รอให้เขาได้ยืนตรงสักพัก มู่ฉินเจินก็มองไปที่เขาอีกครั้ง ครั้งนี้นัยน์ตายิ่งเยือกเย็นกว่าเดิม สีหน้าก็ขรึมลง
“ใต้เท้าเฉียวมีปัญหากับเปิ่นหวางรึ?”
เฉียวเจิ้นผิงตื่นตัวขึ้น พลางเบิกตากว้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เขายังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเหตุใดถึงกลายเป็นมีปัญหากับเขาไปเสียล่ะ?
เขารีบปฏิเสธ “กระหม่อมไม่กล้า!”
มู่ฉินเจินยิ้มเยาะออกมา มือหนึ่งปกป้องเด็กทั้งสองไว้ อีกมือหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาเขวี้ยงออกไป
“ไม่กล้า? หากไม่กล้าแล้วเหตุใดเจ้าไม่คำนับหวางเฟยอันดับหนึ่งของเปิ่นหวางเล่า? หรือเจ้าคิดว่าเป็นเสนาบดีพอแล้ว อยากจะไปลองตำแหน่งใหม่!”
ถ้วยชาตกอยู่บนพื้นส่งเสียงดังและแตกละเอียด เด็กทั้งสองถูกผู้เป็นพ่อปกป้องไว้อย่างแน่นหนาจึงไม่ตกใจ แต่รู้สึกว่าภาพนี้แปลกใหม่มาก ขณะซบศีรษะกับแผ่นอกเขาอย่างเชื่อฟัง พลางมองการแสดงตาปริบๆ
มุมปากของเฉียวเยี่ยนยกขึ้นอย่างกลั้นเอาไว้ไม่ได้ อยากปรบมือแล้วบอกว่าเยี่ยมยอดให้กับท่านอ๋องของนางจริงๆ
หลิวซื่อเข้ามาเห็นภาพถ้วยชาตกแตก ก็กรีดร้องออกมาอย่างตกใจ
เฉียวเจิ้นผิงกำลังอกสั่นขวัญแขนอยู่ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหลิวซื่อ สีหน้าก็ยิ่งไม่สู้ดีมากขึ้น “จะร้องทำไม? ไม่เห็นท่านอ๋องซู่กับซู่หวางเฟยหรือ? ยังไม่รีบทำความเคารพอีก?”
หญิงไม่เอาไหนผู้นี้ หากยังยั่วยุท่านอ๋องซู่ให้พิโรธอีก พวกเขาต้องได้รับโทษแน่!
หลิวซื่อถูกด่าก็รู้สึกน้อยใจ แต่ก็ยังคำนับมู่ฉินเจินอย่างรู้หน้าที่
ส่วนเฉียวเยี่ยน? ไม่มีทาง! นางไม่มีวันคำนับหญิงต่ำช้าคนนั้นแน่!
แต่ไม่รอให้นางอวดเก่งได้นาน เฉียวเจิ้นผิงก็ลากนางมาคำนับเฉียวเยี่ยนด้วยกัน และกลั้นความอัปยศไว้ในใจ ก่อนเฉียวเจิ้นผิงจะเอ่ยเสียงดัง “กระหม่อมพร้อมหลิวซื่อฮูหยินคารวะซู่หวางเฟย!”
หลิวซื่อดีดดิ้นอยากลุกขึ้นมา แต่เฉียวเจิ้นผิงกลับยึดนางไว้ทั้งยังหยิกแขนนางจนรู้สึกเจ็บมาก และทำได้เพียงก้มหัวคำนับให้เฉียวเยี่ยน
เฉียวเยี่ยนซดชาล้างคอไปอึกหนึ่ง และเอ่ยด่วยความพอใจ “ใต้เท้าเฉียวลุกขึ้นเถิด หากรู้มารยาทเร็วหน่อยก็น่าจะดีไม่น้อย จะได้ไม่ต้องทรมานให้นาน”
ความโกรธเกรี้ยวในใจเฉียวเจิ้นผิงใกล้จะปะทุออกมา ทว่าเขาที่เห็นแก่หน้าตาตัวเองมาตลอดก็ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ พลางตอบกลับคำพูดเฉียวเยี่ยน “ซู่หวางเฟยขี้แนะได้ถูกต้องแล้ว”
หบิวซื่อรู้สึกอัปยศอย่างมาก นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดท่านพี่ถึงต้องกลัวนังชั่วช้าคนนี้ด้วย!
โชคดีที่นางให้ลูกชายรออยู่ด้านนอก หากตามเข้ามา เขาต้องรับความอัปยศอดสูด้วยกันเป็นแน่!
เฉียวเยี่ยนไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระกับเฉียวเจิ้นผิงให้มากความอีก จึงเข้าประเด็นโดยตรง และเอ่ยอย่างเย็นชา “ใต้เท้าเฉียว วันนี้เปิ่นเฟยมาเพื่อบอกเจ้าว่า มารดาของหวางเฟยต้องการหย่ากับเจ้า ทั้งนี้ได้เตรียมใบหย่าไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญเจ้ารีบลงนามบนนั้นโดยเร็วเสีย!”
หย่า?
เฉียวเจิ้นผิงร่างสั่นเทาไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ นี่นางบีบให้เขาหย่ารึ?
ไฟพิโรธที่เขามีอยู่ได้ระเบิดออกมาในเวลานี้ และเอ่ยด่วยโทสะ “ไม่มีทาง! ข้าไม่มีทางเห็นด้วยกับการหย่าเด็ดขาด!”
หย่ากับภรรยา หากมีใครพูดออกไปต้องถูกสหายหัวเราะเยาะไปกี่คน อีกอย่างหญิงที่มีอายุใกล้จะเกินครึ่งชีวิตอย่างซูเนี่ยนหว่านหย่ากับเขาแล้วจะมีชีวิตที่ดีหรือ มิสู้พึ่งอาศัยเขาจะดีกว่า!
เฉียวเยี่ยนยิ้มเยาะ บนร่างแฝงไปด้วยพลังไม่ยอมแพ้ “เปิ่นเฟยเพียงมาแจ้งเจ้า หาใช่มาถามความเห็นเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นเปิ่นเฟยก็ทำได้แค่เขียนใบฟ้องหย่าแทนมารดาแล้ว นับแต่บัดนี้ เจ้า เฉียวเจิ้นผิง ถูกมารดาข้าซูเนี่ยนหว่านหย่าแล้ว! นับแต่นี้พวกท่านทั้งสองแยกคนละทางกัน และไม่เกี่ยวข้องกันอีก! ”
เฉียวเจิ้นผิงโมโหจนเวียนหัว ดวงตาทั้งสองแดงฉาน “เฉียวเยี่ยน! ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบิดาเจ้า ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เจ้ากลับส่งเสริมให้บิดามารดาหย่ากัน หากมันถูกเผยแพร่ออกไป เจ้าไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะใส่รึ?”
“เฮอะ! หัวเราะเยาะ? เปิ่นเฟยไม่กลัว! เจ้าหลงใหลในอนุจนทำลายภรรยาเอก ปล่อยให้อนุมากดขี่ภรรยาเอก และไล่ท่านไปอยู่หอพระ เจ้ายังไม่กลัวที่จะถูกเยาะเย้ยเลย แล้วเปิ่นเฟยจะกลัวอะไร?”
เฉียวเยี่ยนยืดหลังตั้งตรง นั่งอยู่บนเก้าอี้ และจ้องเฉียวเจิ้นผิงเหมือนผู้สูงศักดิ์มองลงมา สายตาสบประสาน จิตสังหารรุนแรง ไม่ยอมอ่อนให้เลยแม้แต่น้อย
เฉียวเจิ้นผิงโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน รู้สึกแค่ว่าใจเต้นเร็วขึ้น ใกล้จะเป็นลมแล้ว
เมื่อหลิวซื่อได้ยินว่าซูเนี่ยนหว่านต้องการหย่า ความปิติดีใจในดวงตาก็แทบจะเอ่อล้นออกมา หย่าก็ดีสิ นางก็จะได้เป็นนายหญิงใหญ่แบบถูกต้องตามธรรมเนียม!
นางพยุงเฉียวเจิ้นผิงไว้ และทำให้เขาคลายความโมโหอย่างรู้ใจ
“ท่านพี่อย่าโมโหไปเลย เราค่อยๆ คิดกัน หากโมโหจนร่างกายย่ำแย่ มันจะไม่ดีเอานะเจ้าคะ”
ซูเนี่ยนหว่านผิดหวังในตัวบุรุษที่อยู่ตรงหน้ามากๆ มานานแล้ว ท่าทางตอบสนองกลับของเขาล้วนอยู่ในการคาดเดาของนางทั้งสิ้น
นางบีบลูกประคำในมือ ก่อนเปิดปากเอ่ย “เฉียวเจิ้นผิง ปล่อยข้าไปเถิด วาสนาของท่านกับข้าได้แยกกันไปนานแล้ว หลายปีมานี้ที่ท่านกักขังข้าไว้ในกรงแห่งนี้ ก็น่าจะสาแก่ใจท่านแล้วนะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะหย่าไม่หย่า ไม่หย่าจะใช้ไม้แข็งแล้วนะ อย่าลืมสิว่าท่านอ๋องซู่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย เพียงเอ่ยปากก็สลายเป็นภัสม์ธุลีได้แล้ว
ไหหม่า(海馬)