ตอนที่ 123 พิธีล่าสัตว์ของราชวงศ์
ตอนที่ 123 พิธีล่าสัตว์ของราชวงศ์
ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ในรถม้าสีเหลืองสดใสและมีทหารรักษาพระองค์จำนวนมากห้อมล้อมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ถัดจากรถม้าก็เป็นริ้วขบวนยาวโดยเรียงลำดับตามสถานะของพวกเขา
เฉียวเยี่ยนที่มีบรรดาศักดิ์เป็นหวางเฟยเป็นรองเพียงเหล่านางสนมชั้นสูงในวังเท่านั้น นับว่ามีสถานะเป็นอันดับต้นๆ
ครั้งนี้พระสนมเต๋อเฟย พระสนมเสียนเฟยและลู่จาวอี๋ล้วนตามมาทั้งหมด แต่เนื่องจากองค์ชายคนโตถูกคุมขังอยู่ พระสนมเสียนเฟยจึงหมดอำนาจโดยสิ้นเชิง ตอนนี้นางจึงสงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นมากและไม่เหิมเกริมวางอำนาจเหมือนเมื่อก่อนอีก
เฉียวเยี่ยนนั่งในรถม้าอันกว้างขวางกับลูกๆ ลูบเนื้อตัวเด็กๆ ไปพลางกินขนมผลไม้ไปพลาง รู้สึกสบายอย่างยิ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะผนังรถม้าจากด้านนอก นางจึงเลิกม่านขึ้นและเห็นว่าเป็นมู่ฉินเจิน
เนื่องจากท่านอ๋องเป็นผู้บัญชาการของเหล่าองครักษ์รักษาพระองค์ และวันนี้เขาก็มีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของขบวนเสด็จ จึงเป็นคนนำทัพด้วยตัวเอง
วันนี้เขาสวมชุดเกราะสีเงินสว่าง สวมหมวกเกราะ เหน็บดาบยาวไว้พร้อม ที่ข้างเอวและนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำนิล ดูสง่างามน่าเกรงขามและหล่อเหลาอย่างยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเยี่ยนได้เห็นเขาอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ นางรู้สึกทึ่งมากเสียจนไม่อาจละสายตาได้ เขาช่างหล่อเหลาอะไรเช่นนี้!
เมื่อเห็นเจ้าท่อนไม้มองเขาด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม มู่ฉินเจินก็รู้สึกสุขใจ เอ่ยถามขึ้น “ดูดีไหม?”
เฉียวเยี่ยนยอมรับอย่างใจกว้าง: “ดูดีสิ กลับบ้านไปแล้วก็ใส่แบบนี้ให้ข้าดูบ่อยๆ นะ ได้ยินไหม?”
มู่ฉินเจินหัวเราะเบา ๆ ประสานกำปั้นทำความเคารพนาง “น้อมรับคำสั่งของฮูหยิน”
เฉียวเยี่ยนก็อารมณ์ดีเช่นกัน หยิบผลไม้จากจานผลไม้ ยื่นมือออกไปป้อนให้เขา
มู่ฉินเจินก้มหน้าลงและกินผลไม้ และทั้งสองก็มองหน้ากันผ่านหน้าต่างบานเล็ก และยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กัน
บรรดาขุนพลที่ตามหลังมู่ฉินเจินเห็นท่านอ๋องควบม้านำล่วงหน้าไปเมื่อครู่นี้ ก็คิดว่ามีบางอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น พวกเขาจึงตามไป จากนั้นจึงพบว่าตัวเองถูกยัดอาหารสุนัขเข้าอย่างเต็มเปา
ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจะไม่ไว้หน้าสักหน่อยหรือ? ตอนนี้เรากำลังอยู่ในภารกิจอยู่นะ หากจะแสดงความรักต่อกันและโปรยอาหารสุนัขแบบนี้ก็ควรกลับตำหนักและปิดประตูเสียดีหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ขีดจำกัดล่างของท่านอ๋องมีมากกว่านั้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นบิดาของพวกเขา เด็กทั้งสองก็ขยับศีรษะเล็กๆ ของตนไปหาแม่อย่างมีความสุข ร้องเรียกพ่อด้วยเสียงแบบเด็กๆ โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าพวกเขากลายเป็นหลอดไฟ*ดวงน้อยไปแล้ว
(*ผู้มาขัดจังหวะ หรือก้างขวางคอคนอื่น)
เด็กทั้งสองมองไปยังบิดาที่กำลังขี่ม้าตัวใหญ่ด้วยสายตาตื่นเต้น มู่ฉินเจินมองเห็นสายตาอันกระตือรือร้นนั้นก็เอ่ยถามนุ่มนวล “พวกลูกอยากขี่ม้าหรือไม่?”
เด็กทั้งสองพยักหน้าพร้อมเพรียง ขณะเฉียวเยี่ยนมองสถานการณ์ภายนอกรถแล้วถามขึ้น “มันจะไม่กระทบงานท่านหรือ?”
“ไม่หรอก”
มู่ฉินเจินส่ายหน้า หากทั้งกองทัพล้วนวุ่นวายเพราะขาดเขาไป เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
เมื่อเห็นเขาบอกเช่นนี้ เฉียวเยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและอุ้มเด็กทั้งสองออกไป มู่ฉินเจินอุ้มเด็กทั้งสองและส่งมอบให้กับนายพลที่เดินตามหลังเขาโดยขอให้พวกเขาช่วยดูแลเด็ก ๆ
นายพลชราผู้หยาบกระด้างดีใจขณะคร่ำครวญในใจว่าในที่สุดท่านอ๋องก็ได้เป็นมนุษย์แล้ว จึงยอมปล่อยให้เด็กทั้งสองเล่นกับพวกเขา
เด็กทั้งสองมักจะไปค่ายทหารและคุ้นเคยกับท่านลุงหน้าดำเหล่านี้ดี เมื่อพ่อของพวกเขาโยนพวกเขาขึ้นหลังม้าของพวกท่านลุง พวกเขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่และบังคับม้าตัวใหญ่ด้วยขาสั้นป้อมของตนอย่างตื่นเต้น
บุรุษหยาบกระด้างเหล่านั้นที่เคยโผงผางกลับกลายเป็นอ่อนยวบยามเผชิญกับเด็กทั้งสอง พวกเขาขานรับเสียงหวานและพาม้าของพวกเขาย่างเหยาะ
หลังจากมู่ฉินเจินจัดการเด็กทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปหาเฉียวเยี่ยน
“อยากขี่ม้าไหม?”
เขารอคอยคำตอบของเฉียวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม
เฉียวเยี่ยนเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาต้องการชวนนางไปขี่ม้าด้วยกัน!
นางเกิดไม่แน่ใจขึ้นมา “เช่นนี้จะดีหรือ?”
มีผู้คนจำนวนมากอยู่ข้างนอก และการแสดงออกของพวกเขาก็ดูโดดเด่นจนเป็นจุดสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่มู่ฉินเจินไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และดวงตาของเขายังคงลุกเป็นไฟ: “ตราบใดที่เจ้าคิดว่ามันเหมาะสม มันก็เหมาะสม”
เฉียวเยี่ยนรู้สึกขบขันกับคำพูดเอาแต่ใจของเขาและไม่ลังเลอีกต่อไป ลุกขึ้นและออกจากรถม้า มู่ฉินเจินขี่ม้าไปที่ประตูรถม้า ดึงบังเหียนด้วยมือข้างเดียว เอนตัวไปและคว้าตัวเฉียวเยี่ยนมาไว้บนหลังม้าด้วยมือข้างเดียว
เขากอดเฉียวเยี่ยนให้นั่งลงข้างหน้าและกอดนางจากด้านหลัง จนตัวติดกันเหมือนแฝดสยาม
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนที่อยู่บนถนนก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ จากนั้นก็ปรบมือให้ท่านอ๋องซู่และซู่หวางเฟย
หากจะบอกว่าใครคือคู่รักต้นแบบในเมืองหลวงก็คงต้องเป็นคู่รักตรงหน้าพวกเขาคู่นี้ ถึงตอนนี้ก็ไม่เคยได้ยินว่าท่านอ๋องซู่มีแผนจะแต่งอนุแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นซู่หวางเฟยยังทรงอิทธิพลยิ่ง มีทรัพย์สินอยู่ในมือไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีจิตใจเมตตาอันเป็นคุณสมบัติที่หญิงหลายคนพากันอวดอ้าง
เฉียวเยี่ยนหน้าแดงเมื่อได้ยินเสียงปรบมือ คิดจะซุกหน้าลงในอ้อมแขนของมู่ฉินเจิน แต่ท่านอ๋องก็หน้าหนาพอที่จะพาหวางเฟยของเขาขึ้นหลังม้าอย่างไร้ยางอาย และเสียงปรบมือที่ดังข้างหูก็ทำให้เขายิ่งมีความสุขมากขึ้น
ระบบตัวน้อยกินของว่างจุบจิบอย่างไม่พัก รู้สึกเกลียดเหล็กที่ไม่ยอมเป็นเหล็กกล้า
[ท่านโฮสต์ ผู้ชายของท่านหยอดเก่งเรื่อยๆ แล้วนะ ท่านที่เป็นสาวยุคใหม่ทำไมถึงทำเหนียมอายไปได้? ท่านจะตั้งสติและรวบรวมความกล้าสู้เขาหน่อยไม่ได้หรือ!]
เฉียวเยี่ยนโดนระบบตัวน้อยค่อนแขวะดังนั้นแล้วก็กระตุกมุมปากด้วยความอับอาย พร้อมกับไฟแห่งการเอาชนะเจ้าเด็กเหม็นที่ลุกโชนขึ้นมา
เหล่าขุนพลที่พาเด็กทั้งสองเดินเล่นอย่างมีความสุขพลันเข้าใจทุกสิ่งเมื่อเห็นภาพดังกล่าว สาเหตุที่ท่านอ๋องขอให้พวกเขาดูแลเด็กๆ เหล่านี้ก็เพราะจะได้เอาเวลามาจู๋จี๋กับภรรยานี่เอง!
ฮ่องเต้และฮองเฮาได้ยินเสียงโห่ร้องของฝูงชนก็ทอดพระเนตรไปข้างหลัง ก่อนสรวลอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นพระโอรสและพระสุณิสาขี่ม้าด้วยกัน
เมื่อก่อนโอรสคนนี้หลีกเลี่ยงสตรีราวกับเจองูหรือแมงป่องจนพวกเขากลัวว่าเขาจะมีปัญหาด้านสุขภาพ มาตอนนี้ได้เจอคนที่เหมาะสมก็หายจากอาการนั้นเป็นปลิดทิ้ง ตัวติดกับอีกฝ่ายทั้งวัน กอดภรรยาไม่ยอมปล่อยจนคนที่เห็นต่างรู้สึกเข็ดฟันไปตามๆ กัน
ฮ่องเต้เฒ่าจับพระหัตถ์ฮองเฮาแล้วถอนพระทัย “น่าเสียดายที่ข้าแก่แล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะพาเจ้าไปเดินเล่นได้”
ฮองเฮาชำเลืองมองเขาและดุด้วยรอยยิ้ม “อย่าเลย ข้าไม่รู้สึกถือโทษโกรธเคืองหรอก ดีเสียอีกที่จะได้ดูหนุ่มสาวแสดงความรักกัน”
ขบวนเสด็จยังดำเนินต่อไป ส่วนเฉียวเยี่ยนไม่ได้กลับไปที่รถม้าแล้ว ตอนนี้นางนั่งอยู่บนหลังม้าแนบอ้อมอกของมู่ฉินเจิน เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ยามต้นวสันตฤดูไปพลาง
เหล่าสตรีชั้นสูงที่นั่งอยู่ในรถม้าด้านหลังเห็นฉากนี้เข้าต่างก็พากันอิจฉา บ้างก็เกิดความริษยา โดยเฉพาะอี้จื่อจิ้นที่กำลังคลุ้มคลั่ง และหวังว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้นจะเป็นนาง
สนามล่าสัตว์อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปหลายลี้ และขบวนเสด็จก็เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เมื่อพวกเขาไปถึงที่หมาย ดวงตะวันก็เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว
เหล่าทหารรักษาพระองค์ฉวยโอกาสตั้งค่ายพักแรม และเหล่าพ่อครัวของราชวงศ์ที่ตามมาก็รีบจัดเตรียมอาหาร
เมื่อมู่ฉินเจินมาถึงพื้นที่ล่าสัตว์ เขาก็ยุ่งมาก เพราะต้องจัดกำลังคนเพื่อยืนคุ้มกันและลาดตระเวนทุกที่เพื่อตรวจสอบว่ามีสัตว์ร้ายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่และเพื่อป้องกันการลอบสังหารจากคนที่คิดไม่ซื่อ
เมื่อเขากลับมาหลังจากทำทุกอย่างเสร็จก็เป็นเวลามืดค่ำพอดี และเลยเวลารับประทานอาหารไปแล้ว เฉียวเยี่ยนเก็บอาหารบางส่วนไว้ให้เขา แต่มันก็เย็นชืดแล้ว ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่นของเขา
“ท่านพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวข้าหาอะไรให้ท่านกิน”
เด็กทั้งสองกำลังหลับอยู่ นางจึงพูดเบาๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้พวกเขาตื่น
นางออกไปจากค่าย แต่มู่ฉินเจินต้องการติดตามนาง ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามหาเกาจัวหยวนและปล่อยให้เขาปกป้องเด็กทั้งสอง
ห้องครัวในพื้นที่ล่าสัตว์ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเป็นการชั่วคราว มีเตาแบบเปิดโล่ง บนโต๊ะหลายตัวก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบ
เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องซู่และซู่หวางเฟยกำลังมาหาอาหาร ทหารฝ่ายดูแลเสบียงก็ไม่ได้หยุดพวกเขาและเพียงเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ
เฉียวเยี่ยนมองวัตถุดิบและพบว่ามีไหผักดองและแป้งมันเทศที่ผลิตโดยโรงงานเฉียวจี้ของพวกเขา ดังนั้นนางจึงตัดสินใจปรุงบะหมี่ชามหนึ่งให้มู่ฉินเจิน
ต้มน้ำร้อนในหม้อก่อน จากนั้นนำเส้นลงไปลวก ขณะเดียวกันก็เตรียมเครื่องเคียงเอาไว้ ล้างผักใบเขียว นำไปลวกพร้อมกับบะหมี่สักพัก จากนั้นจึงซอยต้นหอมโรยหน้า
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สนามล่าสัตว์หวานมาก ได้รับอาหารสุนัขกันถ้วนหน้า
ไหหม่า(海馬)