ตอนที่ 148 ท่านอ๋องกลายเป็นคนโง่งมอีกแล้ว
ตอนที่ 148 ท่านอ๋องกลายเป็นคนโง่งมอีกแล้ว
[ท่านโฮสต์ที่รัก หลังจากออกมาแล้ว ท่านสามารถสั่งงานข้าเยอะ ๆ ได้เลย ข้าสัญญาว่าจะทำงานให้เต็มที่!]
เฉียวเยี่ยนหัวเราะ: “ไม่อยากเป็นปลาเค็มตัวน้อยอีกแล้วหรือ?”
ระบบตัวน้อยลูบใบหน้าอ้วนกลมน้อย ๆ ของตนด้วยความทุกข์ใจ สองวันมานี้ คิ้วเล็ก ๆ ของนางย่นเข้าหากันราวตัวหนอน
[ชีวิตของปลาเค็มตัวน้อยน่าเบื่อมาก ข้าไม่มีจุดหมายอะไรเลย ทุกวันไม่มีกิจกรรมอื่นนอกจากกิน ดื่ม และนอน น้ำหนักข้าขึ้นเยอะมาก!]
เฉียวเยี่ยนสำลักและพูดไม่ออก เด็กน้อยเอ๋ย นี่คือชีวิตในวังหลวงอันแสนสุขสบายไม่ใช่หรือ?
ไม่รู้มีกี่คนที่อิจฉาชีวิตแบบปลาเค็มของนาง แต่นางกลับเริ่มไม่ชอบแล้วจริง ๆ
ในตอนที่นอนไม่หลับ ก็มีระบบตัวน้อยคุยเป็นเพื่อนได้ดี เพราะนางเหมือนคนช่างพูดที่ยกโน่นนี่มาพูด และในที่สุดก็กล่อมตัวเองให้หลับได้สำเร็จ
เฉียวเยี่ยนฟังเสียงกรนเบา ๆ ของนาง แล้วเผลอยิ้มออกมา นี่ยังเป็นปลาเค็มน้อยที่ไร้หัวใจอยู่หรือเปล่า?
พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างสงบตลอดทั้งคืน ครั้นถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้น คณะเดินทางก็ออกเดินทางต่อ ในตอนที่เฉียวเยี่ยนออกจากเมืองหลวง นางได้ส่งคนขี่ม้าไปรายงานมู่ฉินเจินล่วงหน้าแล้ว แต่กว่าเขาจะได้รับจดหมาย พวกนางก็อาจจะไปถึงแล้วก็ได้
มู่ฉินเจินไม่ได้รับจดหมายจนกระทั่งอีกห้าวันต่อมา เมื่อเขาเห็นว่านางกำลังจะมาหาเขา มือของเขาก็สั่นด้วยความตื่นเต้น และเผลอฉีกมุมหนึ่งของจดหมาย
แต่หลังจากมีความสุข เขาก็รู้สึกโกรธเล็กน้อยอีกครั้ง เจ้าท่อนไม้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว ปัจจุบันคดียังไม่คืบหน้า ศัตรูยังเร้นกายอยู่ในความมืด เขาไม่สามารถปกป้องนางได้ แต่นางยังคงวิ่งมาทางนี้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางไม่ควรเอาความปลอดภัยของตัวเองมาล้อเล่นแบบนี้สิ!
ท่านอ๋องเดินไปมาในกระโจมพร้อมกับถือกระดาษจดหมายที่มีมุมขาดรุ่งริ่ง จนเกาจัวหยวนที่อยู่นอกกระโจมได้ยินเสียงเคลื่อนไหวและแอบยกม่านขึ้นดู หลังจากเห็นแล้ว เขาก็สงสัยอยู่ในใจว่าเจ้านายเปลี่ยนกลับไปเป็นคนโง่งมแล้วใช่หรือไม่?
ประเดี๋ยวก็หน้าบึ้งประเดี๋ยวก็ยิ้ม เขาดูเหมือนคนโง่งมเลย
ทว่าก่อนที่เขาจะตัดสินใจได้ หนังสือเล่มหนึ่งก็ลอยออกมาจากกระโจม มันพุ่งทะลุผ่านช่องตรงกลางม่านอย่างแม่นยำ และกระแทกเข้าที่ศีรษะของเขาเต็ม ๆ
“โอ๊ย!”
เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเสียงเย็นชาของท่านก็ดังมาจากกระโจม “เข้ามานี่!”
เขาแหวกม่านกระโจมเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม ขณะกุมศีรษะบ่นด้วยเสียงอ่อย “นายท่าน คราวหน้าอย่าเล็งหัวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ถ้ายังโดนที่หัวเช่นนี้อีก ข้าอาจจะกลายเป็นคนโง่ แล้วจะแต่งงานกับภรรยาในอนาคตได้อย่างไร!”
สิ่งที่ตอบสนองเขาคือดวงตาที่กลอกไปมาของมู่ฉินเจิน พร้อมคำเสียดสีที่รุนแรง “หากเจ้ากลายเป็นคนโง่ ก็อย่าแต่งภรรยาจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เป็นภาระคนอื่นไปตลอดชีวิต”
เกาจัวหยวนหลั่งน้ำตาในใจ เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องปล่อยให้ขุนนางวางเพลิง แต่ไม่ยอมให้ชาวบ้านจุดตะเกียง* เจ้านายมีความรักที่หวานชื่น และยังมีลูก ๆ น่ารักวิ่งกระโดดโลดเต้น แต่ตัวเขากลับยังโสดสนิท
( * 只许州官放火,不许百姓点灯 เป็นสำนวน หมายถึง ให้แค่พวกพ้องหรือตัวเองทำได้ แต่ห้ามคนอื่นทำ)
ว้า~ คิดแล้วก็เศร้าใจนัก!
มู่ฉินเจินไม่โต้เถียงกับเขาอีกต่อไป แล้วมอบหมายภารกิจให้เขา
“เปิ่นหวางจะออกไปข้างนอกสองสามวัน ตั้งแต่วันนี้เจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการฝึก และให้ไปหาคนมาสวมรอยเป็นเปิ่นหวางด้วย อย่าเปิดเผยว่าเปิ่นหวางออกไปจากค่าย”
เกาจัวหยวนรับคำสั่ง แต่เขาไม่รู้ว่าท่านอ๋องกำลังจะไปที่ไหน
“นายท่าน ท่านจะไปสืบคดีที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ฉินเจินเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเย่อหยิ่งเล็กน้อย “หวางเฟยกำลังมา เปิ่นหวางรู้สึกไม่สบายใจหากไม่ได้ไปรับด้วยตัวเอง”
เกาจัวหยวน “…”
ท่านอ๋องเอาอีกแล้ว! ในที่สุดก็เปิดเผยออกมาจนได้!
เกาจัวหยวนรู้สึกหมั่นไส้มาก หากอยู่ในเมืองหลวง ท่านอ๋องกับหวางเฟยแสดงความรักกันทุกวันก็นับว่าเป็นเรื่องปกติดี แต่ตอนนี้พวกเขาออกจากเมืองหลวงเพื่อมาทำภารกิจ พวกเขายังจะมาแสดงความรักหวานชื่นกันอีก การมีภรรยามันวิเศษถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
ถือว่าน่าจับตามองเลยทีเดียว!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เกาจัวหยวนก็แทบจะร้องไห้ออกมาจากกระโจมของมู่ฉินเจิน เขาต้องแจ้งข่าวนี้กับสหายคนสนิท จะมัวเหยียบไว้เพียงคนเดียวไม่ได้!
คืนนั้นมู่ฉินเจินออกเดินทางบนหลังม้าคนเดียว และเดินทางไปตามทิศทางที่เฉียวเยี่ยนและคนอื่น ๆ ต้องผ่านโดยไม่หยุด
เจ้าท่อนไม้บอกไว้ในจดหมายว่านางได้พาทหารรักษาพระองค์มาด้วยหนึ่งร้อยคน เนื่องจากมีคนจำนวนมาก ความเร็วในการเดินทางจึงช้า จึงอาจต้องใช้เวลาอีกประมาณสามวัน แต่เขาแทบรอพบนางไม่ไหวแล้ว
เขาเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก นอกจากให้ม้าหยุดดื่มน้ำและกินหญ้ากลางทางแล้ว เขาก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการเดินทาง และใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อไปพบกับกลุ่มของเฉียวเยี่ยน ที่ต้องใช้เวลาเดินทางสามวัน
ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำและกำลังจะมืดในไม่ช้า พวกเขายังไม่พบโรงเตี๊ยม คณะเดินทางจึงต้องหาที่ราบโล่งเพื่อจุดไฟทำอาหาร
ตั้งเตาง่าย ๆ ขึ้นมาสองเตา ตั้งหม้อเหล็กขนาดใหญ่สองใบบนกองไฟ เมื่อน้ำเดือดก็ใส่เส้นมันเทศลงไป ในป่าไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก แป้งมันเทศจึงไม่จำเป็นต้องแช่ก่อน แต่ต้มลงในหม้อให้นิ่มได้เลย
หลังจากทำเส้นมันเทศแล้วก็ใส่ผักใบเขียวในน้ำเดือด จากนั้นตักเส้นแป้งและผักใบเขียวลงในชาม เติมซอสเนื้อหนึ่งช้อนพูนจากกระป๋อง กลิ่นหอมก็โชยไปไกล
เหล่าทหารองครักษ์ต่างสูดกลิ่นหอมนั้น พวกเขาไม่สามารถหยุดกลืนได้ แม้ว่าปากของพวกเขาจะถูกลวกก็ตาม เป็นเรื่องหายากมากที่จะได้เพลิดเพลินกับบะหมี่ร้อน ๆ สักชามในถิ่นทุรกันดาร
หม้อใบหนึ่งใช้ลวกเส้นมันเทศ และอีกหม้อใช้ต้มบะหมี่หูแมว* การทำบะหมี่หูแมวก็สะดวกมากเช่นกัน เพียงแค่นวดแป้งให้นุ่มแต่ไม่เหนียว ปั้นแป้งเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนลงไปในน้ำ จากนั้นก็ต้มจนแป้งหูแมวสุกลอยขึ้นมา
(* บะหมี่หูแมว (猫耳朵) เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งปั้น แล้วนำไปต้ม รสชาติคล้ายมักกะโรนีรูปเปลือกหอย )
เครื่องเคียงบางอย่างเช่น ฟักทอง มันฝรั่ง หัวผักกาดเหลือง และผักใบเขียวก็ถูกนำมาต้มในน้ำแกงบะหมี่เช่นกัน เมื่อต้องออกเดินทาง นางได้คัดเลือกผักที่ทนทานต่อการจัดเก็บและขนส่งเป็นพิเศษ
หม้อใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยบะหมี่หูแมวร้อน ๆ ดูน่าอร่อยมาก เมื่อทหารรักษาพระองค์ที่เพิ่งกินบะหมี่มันเทศไปสองชามได้กลิ่น ก็รู้สึกหิวอีกครั้ง
เฉียวเยี่ยนตักอาหารให้สามคนแม่ลูก แล้วพาเด็ก ๆ กลับไปที่รถม้าเพื่อรับประทานอาหารเย็น
มันฝรั่งและฟักทองถูกต้มจนเปื่อยนิ่ม ทำให้น้ำแกงมีรสชาติหวานหอม ขณะที่บะหมี่หูแมวก็นิ่มกำลังดี นางไม่ได้กินเส้นแป้งที่ทำง่ายและสะดวกเช่นนี้มานานแล้ว วันนี้นางจึงเจริญอาหารมาก และกินไปแบบเต็มชามใหญ่
เด็กน้อยทั้งสองก็ชอบกินมาก พวกเขาซดน้ำแกงบะหมี่ด้วยช้อน เจ้าปลาอ้วนตัวน้อยกินจนพอใจก็เริ่มพูดถึงเรื่องในนิทาน
“ท่านแม่ ไม่มีภรรยาในขนมภรรยา แล้วก็ไม่มีหูแมวในบะหมี่หูแมวด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เฉียวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้ นางอุ้มเด็กน้อยลงจากรถม้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ลูกของแม่เป็นเจ้าตัวแสบที่ฉลาดจริง ๆ หลังกินข้าวเสร็จอย่าเพิ่งนอนนะ ไปเดินเล่นกับพี่ชายของเจ้าก่อน”
เด็กน้อยเชื่อฟัง แล้วจูงมือพี่ชายไปเดินเล่น จากนั้นพากันไปหาท่านลุงหวัง เพื่อให้พาพวกเขาไปขี่ม้าตัวใหญ่
เด็กทั้งสองมักจะไปที่ค่ายทหารกับพ่อ ทำให้คุ้นเคยกับหวังสยงอันมาก แม้ว่าหวังสยงอันจะไว้หนวดเครา ตัวสูงใหญ่แข็งแรง และดูดุร้าย แต่ทั้งสองก็ไม่กลัวเขาเลย
หวังสยงอันเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ เมื่อเขาเห็นเด็กน้อยสองคนเดินเข้ามา ตอนแรกเขายังมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่วินาทีต่อมาก็เผยรอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้บาน
“เด็กน้อยน่ารักมากันแล้ว กินอิ่มกันหรือยัง?”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ตอบอย่างอ่อนหวานว่าอิ่มแล้ว แต่เสี่ยวฉวนเอ๋อร์รู้สึกว่าน้ำเสียงเกลี้ยกล่อมเด็กของผู้ใหญ่นั้นทำให้เขาดูเด็กมาก เขาจึงไม่เปิดปากตอบ
เขาอายุสี่ขวบแล้ว ไม่ใช่เด็กสามขวบ เขาจึงไม่อยากให้ผู้ใหญ่พูดกับเขาด้วยเสียงเล็ก ๆ เช่นนี้!
………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลองมีภรรยาดูไหมล่ะคะองครักษ์เกา จะได้เข้าใจถึงอาการคลั่งรักของท่านอ๋อง
ไหหม่า(海馬)