ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 155 การทดสอบสมรรถภาพ ใครผ่านอยู่ต่อ

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 155 การทดสอบสมรรถภาพ ใครผ่านอยู่ต่อ

ตอนที่ 155 การทดสอบสมรรถภาพ ใครผ่านอยู่ต่อ

ทหารเยวี่ยโจวเริ่มการฝึกตามปกติในช่วงบ่าย ปกติการฝึกจะเริ่มตอนเช้าตรู่ในช่วงยามเหม่าเพื่อฝึกฝนร่างกาย ก่อนจะมาเรียนวรยุทธ์และฝึกยิงธนูที่สนามฝึกในตอนบ่าย

นับตั้งแต่ที่เฉียวเยี่ยนกระตุ้นความคิดของมู่ฉินเจิน สมองของเขาก็เต็มไปด้วยความคิด เขาจึงร่างแผนการประเมินกองทัพภายในสองชั่วยาม

เขาแสดงเอกสารฉบับร่างให้เฉียวเยี่ยนดูและรอฟังความคิดเห็นของนาง เฉียวเยี่ยนรับมาอ่านอย่างละเอียด หลังจากอ่านจบแล้วนางก็ถอนหายใจ ด้วยเห็นว่าความคิดอ่านของท่านอ๋องช่างล้ำหน้ายิ่งนัก

นางเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ แต่เขากลับเขียนแผนการประเมินออกมาได้สมบูรณ์แบบ และเนื้อหาการประเมินก็คล้ายกับแบบประเมินสมรรภภาพที่นางเคยรู้จัก

แต่นางก็ได้เสนอเพิ่มเติมเล็กน้อยในตอนต้นของแบบประเมิน เพื่อให้ทหารได้รับการตรวจร่างกายอย่างเต็มรูปแบบ เหมือนกับการตรวจสุขภาพสมัยใหม่สำหรับการเกณฑ์ทหาร เพื่อคัดคนที่มีโรคประจำตัวออกไปก่อน

มู่ฉินเจินเห็นด้วย หลังจากเตรียมแผนเสร็จแล้ว เขาก็ส่งองครักษ์ไปเตรียมการทันที

ก่อนอื่นแพทย์ทหารต้องได้รับการคัดเลือกมาจากภายนอก แพทย์ทหารที่จ้าวซุ่นเฉียนจ้างมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นพวกขี้เมาหยำเป ทักษะทางการแพทย์ของพวกเขาก็มีแค่งู ๆ ปลา ๆ เท่านั้น หลังจากที่มู่ฉินเจินรู้เข้าก็ไล่พวกเขาออกไปหมด

ทว่าการรับสมัครแพทย์ทหารนั้นไม่ยากเลย มีหมอจำนวนมากที่อยากเข้าทำงานในค่ายทหาร เพราะอย่างแรกคือได้เบี้ยเลี้ยงเป็นรายเดือน อย่างที่สองคืออยากทำความฝันที่อยากเป็นทหารให้เป็นจริง

เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเป็นทหารที่เข้าสู่สนามรบเพื่อสังหารศัตรูได้ พวกเขาจึงต้องการช่วยกอบกู้อาณาจักรด้วยการเป็นแพทย์ทหาร ที่ช่วยชีวิตและรักษาทหารที่บาดเจ็บ

เมื่อทหารเยวี่ยโจวรู้ว่ากำลังจะมีการประเมิน พวกเขาก็อยู่ในความโกลาหล ซึ่งคนที่ต้องการจะอยู่สุขสบายในค่ายทหารล้วนเป็นคนกลุ่มแรกที่คัดค้าน

“เราทุกคนเป็นทหารเกณฑ์อย่างเป็นทางการ และได้รับการจดทะเบียนแล้ว เหตุใดพวกเราต้องถูกคัดออกด้วย!”

ผลประโยชน์พื้นฐานที่สุดของทหารเยวี่ยโจวที่ไม่กล้าต่อต้านหลังจากถูกกดขี่มาหลายวันถูกละเมิดเสียแล้ว บัดนี้พวกเขาไม่คำนึงถึงความหวาดกลัวอีกต่อไป และรีบคัดค้านการตัดสินใจของมู่ฉินเจิน

แต่ก็มีทหารบางคนคิดว่าข้อตกลงนี้ดีมาก เมื่อก่อนพวกเขาโง่เขลาเบาปัญญา เป็นดั่งพระที่ทำหน้าที่เพียงตีระฆังบอกเวลาไปวัน ๆ ทว่านับตั้งแต่ท่านอ๋องเข้ายึดค่ายทหาร พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าชีวิตของพวกเขามีเป้าหมาย และกำลังก้าวหน้าขึ้นทุกวัน พวกเขาจึงต้องการโอกาสทดสอบตัวเองอย่างเร่งด่วน

เมื่อหวังสยงอันได้ยินเสียงวุ่นวายและความโกลาหลในฝูงชน เขาก็สั่งคนมาระงับทันที แล้วตะโกนสุดเสียง “พวกเจ้ามันเป็นไอ้ขี้ขลาด มีศักดิ์ศรีกันบ้างหรือไม่? รู้ตัวว่าจะถูกคัดออกตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเลยหรือ? “

“แล้วพวกเจ้าจะยังมาทำอะไรอยู่ในค่ายทหารอีก เก็บข้าวของไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! ค่ายทหารแห่งนี้ไม่ต้องการพวกไร้ศักดิ์ศรี!”

“ออกไปแล้วอย่าได้บอกใครนะว่าเคยเป็นทหาร ข้าอับอายขายขี้หน้าคนอื่น! รู้จักละอายใจกันบ้างหรือไม่!”

เสียงคำรามดั่งราชสีห์ของแม่ทัพหน้าดำทำให้โลกแทบหยุดหมุน เหล่าทหารเยวี่ยโจวที่วุ่นวายเมื่อสักครู่นี้ต่างหดหัวเป็นนกคุ่ม และไม่กล้าส่งเสียงอีกแม้สักแอะ

ทั่วบริเวณเงียบกริบ และบรรยากาศก็ตึงเครียด แต่เสียงเล็ก ๆ น่ารักก็ทำลายทุกอย่าง

“พวกเจ้าเป็นคนชั่ว ขี้ขลาด ไร้ศักดิ์ศรี ไร้ยางอาย!”

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยืนเท้าสะเอว นางจดจำคำพูดของท่านอาหวังเมื่อสักครู่นี้ได้หนึ่งส่วน และนำมาใช้ได้อย่างแม่นยำ

คนตัวเล็กรู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี้ท่านอาหวังดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก และนางก็อยากจะดูสง่าผ่าเผยเช่นนั้นบ้าง เพราะนางใฝ่ฝันอยากจะเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน นางจึงยืนเท้าสะเอวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และคิดว่าต้องสั่งสอนพวกทหารที่ทำตัวเป็นโคลนเหลวฉาบไม่ติดกำแพงเหล่านี้ให้หนัก

แต่ในสายตาของผู้ใหญ่ ท่าทางดุร้ายของเด็กน้อยกลับดูน่ารักมาก ทันใดนั้นทหารรักษาพระองค์สองสามคนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังครื้นเครงไปทั้งค่าย

เมื่อเห็นว่าตนถูกหัวเราะเยาะ ใบหน้าของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม หลังจากหยุดไปราวสองวินาที นางก็พูดอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง “อย่าหัวเราะ! ข้ากำลังสอนพวกเจ้าอยู่ แต่พวกเจ้ายังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก!”

เมื่อเสี่ยวฉวนเอ๋อร์เห็นว่าน้องสาวของเขากำลังเดือดดาล ก็รีบจับมือเล็ก ๆ ของนางไว้เพื่อปลอบโยน และจ้องมองไปยังกลุ่มทหารที่กำลังหัวเราะจนตัวโยนอยู่ตรงหน้า

พวกทหารกำลังจะหัวเราะ แต่ใบหน้าของหวังสยงอันตอนนี้กลับดำคล้ำ เขารีบลูบหลังเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ แล้วเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ตัวน้อย ท่านจะใช้คำด่าเลียนแบบกระหม่อมไม่ได้ รีบถุยน้ำลายออกมาสักสองสามคำ แล้วลืมคำพูดเมื่อสักครู่นี้ไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เวรกรรม! เมื่อสักครู่นี้เขาด่าโดยลืมไปว่าข้างหลังมีเด็กน้อยสองคนอยู่ด้วย หากท่านอ๋องและหวางเฟยรู้เรื่องนี้ เห็นทีเขาต้องเดือดร้อนเป็นแน่!

แต่วิธีที่เขาใช้เกลี้ยกล่อมเด็กน้อย ยิ่งทำให้กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังหัวเราะอย่างหนักจนปวดท้อง และเสียงหัวเราะก็ดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง

ขุนพลหวังรู้สึกหงุดหงิด เขาหันกลับไปพูดอย่างเกรี้ยวกราด “หัวเราะอะไรกัน! ถ้าเจ้ามีเวลาหัวเราะ เหตุใดไม่เอาเวลาไปฝึก ข้าพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว คำสั่งของท่านอ๋องถือเป็นประกาศิตเด็ดขาด การประเมินจะเริ่มขึ้นในอีกสามวัน คนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ก็รอกลับไปทำสวนที่บ้านเกิดได้เลย!”

หลังจากที่พูดจบ เขาก็อุ้มเด็กทั้งสองวิ่งหนีไป ปล่อยให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากบังเอิญได้เรียนรู้คำหยาบคายอีก เขาคงทนไม่ได้!

เด็กน้อยสองคนที่ถูกอุ้มออกไปกอดอกราวกับว่ากำลังนั่งชิงช้า แกว่งตัวไปมาตามการเคลื่อนไหวของท่านอาหวังด้วยความสนุกสนาน

…… 

หลังจากที่ทหารเยวี่ยโจวรู้ว่ากำลังจะมีการประเมิน พวกเขาก็เริ่มฝึกในค่ายทหารอย่างจริงจังมากขึ้น ถึงขนาดที่บางครั้งนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และลุกขึ้นไปฝึกที่สนามฝึก

ส่วนบรรดาคนที่รู้ว่าต่อให้พยายามเพียงใดก็ไม่ผ่านได้ตัดสินใจยอมแพ้ เพราะท่านอ๋องกล่าวไว้ว่าคนที่ถูกคัดออกยังสามารถรับเงินอุดหนุนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะนำเงินกลับบ้านไปแต่งงานกับภรรยาและทำไร่ทำสวน

สามวันต่อมา เมื่อถึงเวลาประเมิน ทหารทุกคนก็ลุกขึ้น แล้วแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม จากนั้นเข้าแถวรอรับการตรวจสุขภาพ

แพทย์ทหารสามคนถูกคัดเลือกจากในค่ายทหาร ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือนั้นคัดมาจากร้านขายยาในท้องถิ่น แพทย์แต่ละคนมาพร้อมกับทหารรักษาพระองค์สองคน คนหนึ่งทำหน้าที่ช่วยเหลือ อีกคนหนึ่งทำหน้าที่สอดส่องป้องกัน ไม่ให้ทหารเยวี่ยโจวติดสินบนหมอและทุจริต

หลังจากการตรวจร่างกายของทหารเยวี่ยโจวแต่ละคนแล้ว จะมีการออกรายงานทางการแพทย์ให้ ผู้ที่ผ่านการตรวจร่างกายจะเข้าร่วมการประเมินครั้งต่อไปพร้อมกับรายงาน ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจร่างกายจะหยุดเพียงเท่านี้ และรอถูกคัดออกจากค่ายทหาร

มีสองสามคนที่มีโรคประจำตัวแอบแฝง พวกเขาถือใบรายงานด้วยท่าทางเคร่งเครียดเหลือแสน เมื่อก่อนที่ได้มาเป็นทหาร แม้ไม่ต้องฝึกก็ยังได้เงินจากงบทหารทุกเดือน ซึ่งช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตได้ดีมาก ทว่าตอนนี้รายได้ทางเดียวถูกตัดไปหมดแล้ว พวกเขาจึงกลุ้มใจมาก และไม่รู้จะทำอย่างไร

การประเมินครั้งต่อไปเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสี่รายการ รายการแรกเป็นการวิ่งระยะไกลรอบสนามฝึก รายการที่สองเป็นการปีนข้ามกำแพงสิ่งกีดขวาง รายการที่สามเป็นการปีนป่ายตาข่าย ปีนเขา และรายการที่สี่คือการหมอบคลานไปข้างหน้า

แต่ละรายการไม่มีเวลาให้พัก ต้องกระทำต่อเนื่องกัน และต้องทำให้ครบทุกรายการภายในเวลาที่กำหนด จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์

การทดสอบสมรรถภาพทางกายเพียงอย่างเดียวก็สามารถคัดคนจำนวนมากออกไปได้ สนามฝึกมีขนาดใหญ่มาก หนึ่งรอบสนามประมาณหนึ่งลี้ หลายคนไม่สามารถทนได้หลังจากวิ่งไปเพียงหนึ่งรอบ ไม่ต้องพูดถึงการเผชิญด่านอื่นหลังจากวิ่งเสร็จเลย

หลังผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย พวกเขาก็เข้าสู่การทดสอบทักษะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทดสอบทักษะพื้นฐาน รวมถึงการต่อสู้ระยะประชิดและการต่อสู้ด้วยอาวุธ

ในรอบนี้ องครักษ์สองสามคนถูกใช้เป็นคู่ฝึก ซึ่งพิจารณาจากทักษะของพวกเขาแล้ว ย่อมไม่มีทหารเยวี่ยโจวคนใดเทียบได้ ดังนั้นการประเมินรอบนี้จึงไม่ได้มุ่งหวังผลแพ้ชนะ แต่ผู้ควบคุมจะสังเกตทักษะของคนถูกประเมิน แล้วให้คะแนนอย่างรอบคอบ จากนั้นเมื่อมีการออกใบรับรองผล ก็จะได้เข้าสู่การประเมินรอบสุดท้าย

วันนี้เหล่าองครักษ์เพลิดเพลินยิ่งนักที่ได้ทุบกระสอบทรายมนุษย์ มีเป้าหมายจำนวนนับไม่ถ้วนให้พวกเขาทุบตีได้อย่างสาแก่ใจ จึงถือโอกาสระบายความเครียดทั้งหมดที่เกิดจากการสืบสวนคดีในช่วงนี้ลงกับเหล่าทหารที่รับการประเมิน

ทหารเยวี่ยโจวถูกซ้อมจนจมูกช้ำและหน้าบวมปูด แต่ผู้ผ่านการทดสอบยังคงยิ้มได้ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถอยู่ในค่ายทหารต่อได้ การถูกซ้อมครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มค่า

ส่วนบรรดาผู้ที่ล้มเหลวจากการประเมินก็ทรุดตัวลงกับพื้นพลางหลั่งน้ำตา แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าตนต้องแพ้แน่ แต่การถูกไล่ออกจากค่ายทหารก็โหดร้ายเกินไปสำหรับพวกเขาอยู่ดี!

………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ทดสอบโหดมาก ใครจะอยู่ใครจะไปก็ได้รู้กันตอนนี้แหละ

เด็กๆ อุดหูไว้ค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรพูดคำหยาบนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท