ตอนที่ 198 เสนอตัวเอง
ตอนที่ 198 เสนอตัวเอง
เดิมทีเฉียวเยี่ยนวางแผนจะส่งสตรอเบอรี่ส่วนหนึ่งไปยังโรงงานเพื่อผลิตเป็นแยมสตรอเบอรี่ แต่ยอดขายผลไม้สดกลับเกินความคาดหมายของนาง จึงทำได้แค่ทำให้ครอบครัวตัวเองรับประทาน
ขณะที่เฉียวเยี่ยนได้เงินมากมายเพราะสตรอเบอรี่อีกครั้งนี่เอง อี้จื่อจิ้นกับคนอื่นๆ ที่ปลูกผักในเรือนกระจกก็พากันล้มละลาย
ตลอดทั้งฤดูหนาว ผักที่พวกเขาปลูกแม้แต่ตัวเองก็ไม่ได้กิน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการขายเพื่อหารายได้
หลายคนยอมแพ้กับเส้นทางนี้ไปแล้ว และหวังเพียงว่าจะมีใครสักคนเข้ามารับช่วงต่อเรือนกระจกของพวกเขา เพื่อฟื้นฟูรายได้กลับคืนมาเช่นเดิม
หลังจากอี้จื่อจิ้นพยายามมาทั้งฤดูหนาว ในที่สุดนางก็ประจักษ์ความจริง และกลับจากบ้านไร่มายังเมืองหลวง
ความจริงแล้วสาเหตุสำคัญที่นางกลับมาก็คือ บรรดาชาวนาที่เช่าที่ดินทำสวนส่วนใหญ่ต่างพาครอบครัวหนีกลับบ้านเกิดกันหมดแล้ว
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลมาจากความเผด็จการ และกดขี่พวกเขาอย่างต่อเนื่องของนาง
ไม่มีใครยอมฟังนางอีกต่อไป ส่วนนางเองก็หาคนงานมาทำงานไม่ได้ จะให้หญิงสาวผู้ดีอย่างนางลงไปทำงานด้วยตัวเองยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ นางจึงทำได้เพียงกลับไปยังจวนอัครเสนาบดีอย่างสิ้นหวัง
ครั้งนี้ทางจวนอัครเสนาบดีทุ่มเงินจำนวนมากไปกับเรือนกระจก จนอาจกล่าวได้ว่าตอนนี้พวกเขาสูญเสียเงินทั้งหมด ท่านอัครเสนาบดีที่ปกติจะใจดีมีเมตตากับอี้จื่อจิ้นมาตลอดก็มีท่าทางเย็นชาต่อนางยิ่งขึ้น
อัครเสนาบดีกับหลู่ซื่อภรรยาของเขากำลังปรึกษาหารือกันเรื่องหาครอบครัวร่ำรวยให้นางแต่งงาน หลังจากอี้จื่อจิ้นรู้ข่าวนี้ นางก็เอะอะโวยวายในจวนอยู่นาน
หัวใจของนางอยู่ที่มู่ฉินเจิน การได้แต่งงานกับเขาคือความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนาง นางยังไม่ได้ดึงให้เฉียวเยี่ยนตกต่ำลงเลย เช่นนั้นจะยอมแพ้ได้อย่างไร!
แต่ท่านอัครเสนาบดีกลับค้านการแต่งงานของนางกับท่านอ๋องซู่ ตอนนี้ตำหนักอ๋องซู่ได้ประกาศแยกทางกับจวนอัครเสนาบดีแล้ว นอกจากเข้าไปสวามิภักดิ์มิได้แล้วยังถูกเยาะเย้ยกลับมาอีกด้วย
แม้ท่านอ๋องซู่จะมีแนวโน้มเป็นว่าที่ฮ่องเต้มากที่สุด แต่จากท่าทางของเขาที่มีต่อจวนอัครเสนาบดีแล้ว หากเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ชีวิตต่อจากนี้ของพวกเขาคงไม่ง่ายอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาต้องเลือกเส้นทางที่เชื่อถือได้ใหม่ และพยายามรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาให้มากที่สุด
การแต่งงานเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ในตอนนี้แล้ว โดยเลือกตระกูลที่มีกำลังแข็งแกร่งมาเป็นเขย ถึงครานั้นพวกเขาก็จะร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่ง แม้มู่ฉินเจินจะได้ครองบัลลังก์ เขาก็จะมีความหวั่นเกรงพวกเขา
เพียงครู่เดียวข่าวที่ท่านอัครเสนาบดีให้อี้จื่อจิ้นเลือกคู่แต่งงานก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวง หลายครอบครัวที่มีความคิดในเรื่องนี้ต่างหาแม่สื่อมาทำการสู่ขอ
อัครเสนาบดีกับหลู่ซื่อพอใจกับผลลัพธ์มาก ในตอนที่เลือกผู้คนจากจวนต่างๆ ก็ยังเลือกคนที่เหมาะสมไม่ได้
แต่ในบรรดาตัวเลือกตอนนี้ ตระกูลที่พวกเขาค่อนข้างพอใจก็คือจวนศาลาว่าการต้าหลี่กับจวนผิงจินโหว
แม้ตระกูลชิงแห่งศาลาว่าการต้าหลี่จะเป็นขุนนางเพียงระดับสาม แต่ตระกูลนี้ก็มีรากฐานหยั่งรากลึก เป็นตระกูลเก่าแก่ร้อยปี และมีฐานะในเมืองหลวงที่มิอาจดูแคลนได้ง่าย
ส่วนผิงจินโหวก็เป็นท่านโหวที่สืบทอดมา และมีฐานะสูงที่สุดในบรรดาผู้มาสู่ขอแต่งงาน
ขณะท่านอัครเสนาบดีกับภริยากำลังจัดการเรื่องแต่งงานให้อี้จื่อจิ้น อี้จื่อจิ้นก็ถูกขังอยู่ในห้อง โมโหกระฟัดกระเฟียดทุกวัน
นางไม่อยากแต่งงานกับพวกแตงเน่าพุทราเละเหล่านั้น คุณชายตระกูลชิงแห่งศาลาว่าการต้าหลี่เป็นคนอ้วนหัวใหญ่หูใหญ่ ส่วนท่านโหวน้อยแห่งจวนผิงอันโหวกลับมีหน้าตาและคุณสมบัติธรรมดาอย่างยิ่ง หากเอาไปทิ้งไว้ท่ามกลางผู้คน แม้แต่บ่าวไพร่ก็ยังดูสะดุดตายิ่งกว่าเขา
นางมีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาบุคคลหล่อล่ำกำยำเช่นท่านอ๋องซู่ หากแต่งงานกับพวกอัปลักษณ์เหล่านี้ ต่อไปนางจะเชิดหน้าชูตาอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร!
ไม่ได้! นางต้องหาวิธี มิควรนั่งรอความตายอยู่เช่นนี้!
สองสามวันต่อมา นางแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง ทำเป็นคิดได้แล้ว และปล่อยให้บิดาจัดการไป อัครเสนาบดีกับหลู่ซื่อคิดว่านางคิดได้แล้ว ก็ปลื้มใจอย่างมาก และไม่ขังนางไว้อีก
นางที่ได้รับอิสระจึงหาข้ออ้างออกไปเที่ยวนอกบ้าน พร้อมพาชิงเหลียนสาวใช้ประจำตัวออกจวนไปด้วย
หลังออกมาจากจวนได้ นางก็ตรงไปดักรออยู่ระหว่างทางที่มู่ฉินเจินต้องผ่านเมื่อกลับมาจากค่ายทหารทันที
ยามโหย่วในช่วงบ่าย มู่ฉินเจินก็ออกมาจากค่ายทหาร ระหว่างทางเก็บดอกไม้ป่ามาไม่น้อย
ตอนนี้ดอกไม้ป่าจำนวนมากบานสะพรั่งแล้ว ทุกวันตอนที่เขากลับก็จะเก็บมาหนึ่งช่อ เอากลับบ้านไปให้เฉียวเยี่ยน
ทุกวันตอนกลับบ้าน แค่นึกถึงท่าทางมีความสุขจนดวงหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มในตอนที่เจ้าท่อนไม้รับดอกไม้จากเขา เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
ทว่าวันนี้ อารมณ์ปีติตลอดทางพลันหายไปในพริบตาเมื่อเจอตัวซวยบางคน
อี้จื่อจิ้นรอมาตลอดทั้งเช้า ครั้นเห็นมู่ฉินเจินควบม้าเข้ามา นางก็วิ่งไปอยู่กลางถนนขวางทางเขาไว้ด้วยอาการตื่นเต้นสุดขีด และเพิกเฉยต่อมู่เวินเหยียนที่อยู่ข้างมู่ฉินเจินอย่างลืมตัวราวกับมองไม่เห็น
ครั้นมู่เวินเหยียนเห็นเช่นนี้ ในสายตาก็ปรากฏแววนึกสนุก และรู้ว่าต้องมีละครสนุกให้ดูแน่
วันนี้นางตั้งใจแต่งตัวมาอย่างประณีต สวมชุดกระโปรงสีอ่อน แต่งหน้าอ่อนเบา ดวงตาเป็นประกายวิบวับคลอไปด้วยน้ำตา และมีท่าทางดูเหมือนดอกไม้ขาวดอกน้อยอันบอบบางน่าสงสาร
ลักษณะท่าทางเช่นนี้ของสตรีสามารถกระตุ้นสัญชาตญาณการปกป้องของบุรุษได้ นางเคยลองใช้กลอุบายนี้หลายครั้งแล้ว และทุกครั้งนางก็ปั่นหัวเหล่าบุรุษที่ตามจีบนางจนหัวหมุนได้อยู่ร่ำไป
นางยืนอยู่กลางถนนอย่างน่าสงสาร ในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความสิ้นหวังเจ็บปวด และยังไม่ทันเปล่งเสียงออกมา หยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมาประหนึ่งลูกปัดขาดร่วงจากสาย
หากเฉียวเยี่ยนอยู่ด้วย คงต้องมอบรางวัลตุ๊กตาทองคำให้นางทันทีอย่างแน่นอน!
ดูสิว่านางมีอารมณ์ร่วมขนาดไหน ดูสิว่านางแสดงความรู้สึกในแววตาซับซ้อนมากเท่าใด หากนางเกิดในยุคสมัยใหม่ ต้องถูกพวกผู้กำกับรุมแย่งตัวแน่
นางร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจราวดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณ แต่มู่ฉินเจินกลับขมวดคิ้วแน่นสีหน้าคร่ำเคร่ง รู้สึกอยากควบม้าออกไปอย่างควบคุมไม่ได้และเหยียบหญิงตาบอดคนนี้ให้แหลกเละเสีย
อี้จื่อจิ้นมั่นใจในรูปลักษณ์กับความสามารถของตัวเองเป็นพิเศษ โดยไม่สังเกตเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายเริ่มแผ่รังสีสังหารแล้ว
นางปาดน้ำตาบนดวงหน้าออก ราวกับความรู้สึกที่เก็บทนไว้มานานได้ระเบิดออกมาในที่สุด พลางเอ่ยเจือสะอื้น “ท่านอ๋อง ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“บิดามารดาข้าบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับคนที่ไม่ชอบ ข้าไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ จึงได้มาหาท่าน”
“หลังจากที่ได้เห็นท่านครั้งแรกตอนข้าอายุสิบแปด เงาร่างของท่านก็ตึดตรึงอยู่ในมโนสำนึกของข้า มิอาจลืมเลือนไปได้…”
นางบรรยายความในใจของตัวเองออกมา หากท่าทางลุ่มหลงนั้นตกสู่สายตาชายธรรมดา เขาคงอดสงสารไม่ได้ไปนานแล้ว
ทว่าท่านอ๋องที่ไม่ธรรมดาผู้นี้กลับรู้สึกสะอิดสะเอียดประหนึ่งกินแมลงวันเข้าไปก็มิปาน
อี้จื่อจิ้นไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางสะอิดสะเอียนของบุรุษที่หมายปอง จึงบรรยายต่อ “ท่านอ๋อง ข้าชอบท่านมาสิบกว่าปีแล้ว ขอโปรดท่านเห็นแก่ความจริงใจของข้า ช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ในที่สุดมู่เวินเหยียนก็เข้าใจความคิดของสตรีนางนี้ ไม่รอให้พี่สี่ของตนเปิดปากกล่าว ก็เปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา “หากขอให้ช่วยเจ้าก็ไปหาหมอนู่นสิ พี่สี่ของเปิ่นหวางจื่อหาใช่หมอ รักษาไม่เป็นหรอก”
ความหมายในคำพูดคือ หากเจ้าป่วย ก็รีบไปหาหมอโดยเร็วเสียสิ
ในฐานะที่เป็นสาวกของเฉียวเยี่ยนด้วยใจจริง องค์ชายหกหนุ่มน้อยจะยอมให้บรรดาดอกหญ้าริมทางมาแปดเปื้อนบุรุษของพี่สะใภ้สี่ได้อย่างไร เขาต้องช่วยปกป้องความบริสุทธิ์ของพี่สี่แทนพี่สะใภ้สี่จึงจะถูก
อี้จื่อจิ้นถูกตอกหน้าจนแทบสะอึก ในใจก็แอบด่ามู่เวินเหยียนว่ามากเรื่อง ก่อนเอ่ยกับมู่ฉินเจินต่อ “ขอให้ท่านรับข้าเข้าจวนเถิด ข้ายอมเป็นอนุก็ได้ ขอแค่ท่านยกที่อยู่ให้ข้าสักเรือนหนึ่ง จะให้ข้าเป็นสาวใช้หรือเป็นบ่าวก็ได้”
มู่เวินเหยียนกริ้วจนอยากสบถคำหยาบออกมา เขาเคยเห็นคนหน้าด้าน ทว่ากลับไม่เคยเห็นคนหน้าด้านเช่นนี้มาก่อน ถ่อหน้าจะมาเป็นอนุคนอื่น ทำลายความรู้สึกคนอื่น แถมยังพูดจาด้วยสีหน้ากล้ำกลืนฝืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาน้ำใจทุกฝ่าย นี่เขาไว้หน้านางเกินไปแล้วใช่หรือไม่!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อื้อหือ ยกตัวเองให้ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอคุณหนูอี้ ไม่กลัวคำครหาว่าใจง่ายหรือราคาถูกเป็นผักกาดขาวแล้วว่างั้น?
ตอนหน้าจะมีคนเละไหมนะ ท่านอ๋องปริ่มๆ จะปล่อยพลังทำลายล้างแล้ว
ไหหม่า(海馬)