ตอนที่ 208 อันธพาลน้อย
ตอนที่ 208 อันธพาลน้อย
เด็กทั้งสองป้อนกันที ป้อนตัวเองที ไม่นานไอศครีมกล่องเล็กๆ ก็พร่องลงไปจนหมด หลังกินหมดก็มิวายเลียริมฝีปากตัวเองอย่างรู้สึกยังไม่หนำใจ
เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินก็กินกล่องเดียวกัน ยามหันไปเห็นท่าทางคาดหวังของเด็กทั้งสอง เฉียวเยี่ยนก็เอ่ยกล่อมเสียงเบา “เย็นนี้กินอีกไม่ได้แล้วนะ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้จะท้องเสีย แล้วจะกินอะไรไม่ได้เลย แม้แต่เค้กหรือทาร์ตไข่พวกเจ้าก็กินไม่ได้”
เด็กทั้งสองรู้สึกเสียดายเล็กน้อย กระนั้นในฐานะที่เป็นลูกผู้มีสายตากว้างไกล พวกเขาก็ต้องเห็นแก่ภาพรวม เพื่อให้ได้กินของอร่อยมากมายพรุ่งนี้ วันนี้ก็เป็นแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน
……
วันรุ่งขึ้น ผู้คนทั่วบ้านเมืองเฉลิมฉลองร่วมกัน การว่าราชกิจในยามเช้าของพวกขุนนางถูกยกเลิก รอคอยถึงตอนเย็นเพื่อพาครอบครัวเข้าวังเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง
ส่วนทูตของอาณาจักรต่างๆ ก็มาถึงอาณาจักรเทียนลี่ตั้งแต่เมื่อวานหรือเช้านี้แล้ว และพักอยู่ในศาลาพักม้าชั่วคราว(1)
มู่ฉินเจินรับหน้าที่ไปต้อนรับทูตจากแต่ละอาณาจักร ตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางก็ออกจากตำหนักไปแล้ว
สองสามวันมานี้เฉียวเยี่ยนเหนื่อยสายตัวแทบขาด หลังจากนอนตื่นสายแล้ว ก็ตื่นขึ้นมากินอาหารแสนอร่อยที่ห้องครัวใหญ่เตรียมไว้ให้
เด็กน้อยทั้งสองตื่นเช้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลังจากตื่นขึ้นมาก็ไม่ไปรบกวนเสียงดังใส่มารดา กินอาหารเช้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ไปฝึกวรยุทธ์ร่วมกับพวกลุงองครักษ์
หลังจากเรียนวรยุทธ์มาสองปี ร่างกายของพวกเขาแข็งแรงกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก
ตอนบ่าย เฉียวเยี่ยนให้ลุงฉูหารถม้ามาสองสามคันรถ และเริ่มลำเลียงของไปยังพระราชวัง
ของหวานเปราะบางมาก ระหว่างทางหากตกหลุมบ่อก็จะเละ ดังนั้นคนขับรถม้าต้องมีประสบการณ์มากๆ อีกทั้งต้องชะลอความเร็วให้มากที่สุด ทางที่ดีคือเดินจนกว่าจะถึงพระราชวัง
ในบรรดาของหวานเหล่านั้น ที่เปราะบางที่สุดคือเค้กก้อนใหญ่ห้าชั้นที่เป็นจุดสนใจของวันนี้ หากระหว่างทางเกิดผิดพลาดอะไรขึ้น นางต้องร้องไห้ตายแน่
เค้กถูกคุ้มกันเข้าวังโดยคนสองคนที่นั่งซ้ายขวาอยู่ในรถม้า ขณะเฉียวเยี่ยนค้นเสื้อผ้าที่ตัวเองจะใส่คืนนี้ หลังแต่งตัวลูกทั้งสองเสร็จก็เข้าวัง
การจัดแต่งของหวานพวกนี้อย่างไรก็ยังต้องให้นางจัดการ เพราะนางกลัวว่าพวกขันทีกับนางข้าหลวงจะซุ่มซ่ามทำมันเสียหาย
เมื่อเข้าวังมา ฮองเฮากับพวกนางสนมต่างวุ่นกันหัวหมุน สั่งพวกขันที นางข้าหลวงจัดสถานที่
วันปกติ หากนางสนมพวกนี้ว่างก็จะไปปลูกผักกัน ยามนี้ไม่ง่ายนักที่จะมีงานทำ จึงทำอย่างตั้งใจมาก
ฮองเฮามองขนมหวานหลากหลายที่เฉียวเยี่ยนให้คนส่งเข้าวังมา สีหน้าก็เต็มเปี่ยมด้วยความตกใจ เดิมทีคิดว่าเค้กกับขนมอบที่นางเคยเสวยก่อนหน้านี้ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว กลับไม่คิดเลยว่าจะมีหลายหลายรูปแบบเช่นนี้
นางดึงมือเฉียวเยี่ยนไว้ และเอ่ยอย่างตื่นเต้นและชื่นชม “เสี่ยวเยี่ยน เจ้ามีวิชาความรู้มากแค่ไหนกันแน่ เหตุใดถึงได้เก่งเพียงนี้!”
เฉียวเยี่ยนยิ้มและไม่พูดอะไร หาใช่นางฝีมือดีไม่ แต่เป็นเพราะนางเกิดอยู่ในยุคอื่นต่างหาก
ในสมัยปัจจุบัน มีผู้เชี่ยวชาญการทำขนมมากมายที่เก่งกาจกว่านาง นางแค่อาศัยประสบการณ์ก่อนหน้านี้กับระบบสุดโกงอย่างระบบตัวน้อยที่ทำให้นางโดดเด่นก็เท่านั้น
ยังมีเวลาอีกหลายชั่วยามก่อนงานเลี้ยงเริ่ม เฉียวเยี่ยนจึงให้คนไปเอาน้ำแข็งจำนวนมากที่ห้องเก็บน้ำแข็งในพระราชวัง และจัดวางไว้ในจานอย่างสวยงาม เพื่อให้ขนมหวานยังสดใหม่
หลังจากจัดแจงขนมหวานเสร็จแล้ว นางก็ไปเดินเล่นที่ห้องเครื่องหลวงรอบหนึ่ง ตอนนี้ห้องเครื่องหลวงกำลังยุ่งกันเซ็งแซ่ ตั้งแต่งานครัวจนถึงงานเบ็ดเตล็ด ต่างวุ่นจนเท้าย่ำไม่อยู่กับที่
เฉียวเยี่ยนเหลือบมองอาหารที่พวกเขาทำเสร็จแล้ว ก่อนพยักหน้าด้วยความชื่นชม สมแล้วที่เป็นห้องเครื่องหลวง ช่างมีทักษะการทำอาหารจริงๆ
ใช้ฟักทองมาแกะสลักเป็นมังกรกับหงส์ อาหารในจานก็ดูสวยงามน่ารับประทาน หลังจากดูสักพักนางก็จากไป ไม่อยากรบกวนพวกเขาทำงาน
ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น นางไปแต่งตัวที่ห้องบรรทมของฮองเฮา
งานในวันนี้ยิ่งใหญ่มาก นางต้องสวมอาภรณ์ประจำตำแหน่งของหวางเฟย อาภรณ์ทั้งงดงามทั้งหนัก สวมแล้วทำให้รู้สึกว่าไหล่ถูกกดทับ แล้วต้องสวมศิราภรณ์เต็มยศ จนรู้สึกราวกับทูนหินหนักสิบชั่งเอาไว้บนศีรษะ
สีอาภรณ์ของนางเป็นสีม่วงที่ดูหรูหราเป็นสง่า ปักลวดลายอันวิจิตรบรรจงด้วยดิ้นไหมทอง หลังจากได้สวมใส่แล้ว ราศีของเฉียวเยี่ยนก็เปลี่ยนไปทันที
ปกตินางมักจะแต่งตัวเรียบๆ และปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างสนิทสนม เจอคนก็ยิ้มแย้ม ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแสงแดดอันอบอุ่นยามฤดูวสันต์
แต่นางในตอนนี้ช่างดูสง่างามสูงส่ง ให้ความรู้สึกนิ่งสงบ บวกกับการแต่งหน้าอันประณีตงดงามแล้ว ก็ดูเหมือนราชินีผู้สูงศักดิ์
นางข้าหลวงน้อยที่เกล้าผมให้นางมองใบหน้างามล่มเมืองของนางแล้วก็อดมองค้างไม่ได้ ในแววตาเปี่ยมด้วยความชื่นชม
เฉียวเหยียนเห็นสีหน้านางผ่านกระจก จึงหันกลับมา และเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างหยอกเย้า “เปิ่นหวางเฟยงามขนาดนั้นเลยหรือ?”
นางข้าหลวงน้อยผงะไป มองนางอย่างนิ่งค้าง และพยักหน้าอย่างจริงใจยิ่ง คอยจนได้สติกลับมาว่าหวางเฟยทำอะไรกับนาง ดวงหน้าน้อยก็พลันแดงเรื่อ
“หวะ…หวางเฟย บ่าวผิดไปแล้ว!”
เฉียวเยี่ยนแตะศีรษะน้อยเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “หึ ล้อเจ้าเล่นน่ะ ข้าก็คิดว่าตัวเองดูดีมากเหมือนกัน”
นางข้าหลวงน้อยตามคำพูดนางไม่ทัน พลางลูบศีรษะตรงที่โดนจับเมื่อครู่อย่างมึนงง และยิ้มแหยๆ
เฉียวเยี่ยนส่องกระจกอย่างหลงตัวเอง จนระบบตัวน้อยที่อยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกผิวปากออกมา
[คนบางคนนะ หน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ เลย]
เฉียวเยี่ยนกลอกตาใส่เด็กน้อย และเอ่ยอย่างหลงตัวเองทันใด “ก็คนมันสวยมาตั้งแต่เกิด ข้าชมตัวเองหน่อยมันจะทำไม?”
ใบหน้าตอนนี้ของนางต่างจากใบหน้าสมัยใหม่มาก แม้ในยุคปัจจุบันนางจะหน้าตาดี แต่มันไม่ใช่รูปแบบเดียวกับตอนนี้ และไม่สวยเท่าใบหน้าในตอนนี้
งานเลี้ยงตอนเย็นใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว มู่ฉินเจินจึงมารับเฉียวเยี่ยนที่ตำหนักฮองเฮา เมื่อเห็นนางในชุดสีม่วง ดวงตาก็เป็นประกายแวววับเล็กน้อย มุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้น
เมื่อเห็นสีหน้าเขา เฉียวเยี่ยนก็ยืดตัวตรง และยื่นมือเรียวดุจหยกที่เคลือบสีทาเล็บไว้อย่างสง่างาม ก่อนเอ่ยอย่างซุกซน “เจ้ามู่น้อย ยังไม่รีบมาพยุงเปิ่นเฟยออกไปอีก”
เจ้ามู่น้อย?
ปากมู่ฉินเจินกระตุกเมื่อถูกเรียกเช่นนี้ แต่กระนั้นก็ยื่นมือออกไปอย่างเชื่อฟัง ท่าทางประหนึ่งขันทีประคองพวกเหนียงเหนียงแต่ละตำหนักก็ไม่ปาน รับมือนางมาจับไว้
เฉียวเยี่ยนแค่อยากแกล้งเขาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำจริง พลันยิ้มอย่างมีความสุขทันใด พู่ที่ห้อยอยู่บนเครื่องประดับศีรษะก็ส่ายไปมา
“มู่กงกงไปเฉือนส่วนนั้นออกเมื่อใด ใยเปิ่นเฟยจึงไม่รู้?”
เฉียวเยี่ยนเหล่มองเขาอย่างหยอกล้อ จนมู่ฉินเจินรู้สึกระอาและบีบหน้าน้อยของนาง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ โดยใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคน “ข้าเฉือนหรือไม่เฉือนเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? เจ้าอันธพาลน้อยเอ๊ย”
เฉียวเยี่ยนอายหน้าแดงเพราะคำว่าอันธพาลน้อยของเขา ก่อนหันไปมองเด็กน้อยทั้งสองที่เล่นกับขันทีด้านข้างถึงได้วางใจ
ดีแล้วๆ ที่เด็กๆ ไม่ได้ยิน ไม่เช่นนั้นภาพลักษณ์สูงส่งของนางในใจเด็กๆ คงถูกทำลาย
นางค้อนมองเขาอย่างอารมณ์เสีย “เรียกข้าว่าอันธพาลน้อยได้อย่างไร หรือว่าท่านไม่ชอบใจ?”
นางยอมรับว่าตัวเองปล่อยตัวมากเกินไปเมื่อหยอกเกี้ยวเขาแบบนี้
แต่ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันมามากว่ายี่สิบปี ไม่ว่าจะนิยายเรื่องสั้นหรือภาพเคลื่อนไหวก็ผ่านตานางมาแล้วมากมาย เมื่อถึงเวลาใช้ความคิดก็ดึงมาใช้ได้ทันทีและทดลองกับเขาไปแล้ว
แม้พวกเขาจะยังไม่ไปถึงขั้นท้ายสุดอย่างแท้จริง แต่ทุกสิ่งที่ควรสัมผัสและจุมพิต ก็ไม่มีตกหล่น
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)ศาลาพักม้า ในสมัยโบราณ ไม่ได้มีความสำคัญที่เป็นแค่ศาลาพักม้า แต่มีความสำคัญด้านการส่งข่าวสาร ซึ่งการส่งข่าวสารนั้นสำคัญมากในการทำศึกสงคราม
สารจากผู้แปล
แน้ หยอกท่านอ๋องมากๆ เดี๋ยวพี่แกเอาจริงขึ้นมาแล้วจะล้อไม่ออกนะเสี่ยวเยี่ยน
ไหหม่า(海馬)