ตอนที่ 265 สรุปแล้วให้กำเนิดใครมากันแน่
ตอนที่ 265 สรุปแล้วให้กำเนิดใครมากันแน่
ครั้นเว่ยอวิ๋นซูร้องไห้พอแล้ว เฉียวจิ่นก็เก็บผ้าเช็ดหน้า และเอื้อมมือไปกอดนาง
ครั้งแรกที่กระทำบุ่มบ่ามเช่นนี้ เขารู้สึกแปลกเล็กน้อย และลองเอาแขนโอบหลังนางอย่างหยั่งเชิง แต่เว่ยอวิ๋นซูไม่ได้สงวนท่าทางสักนิด เขาจึงโอบแขนรอบเอวและวางศีรษะไว้บนไหล่
ทั้งสองกอดกันเงียบๆ เนิ่นนาน จากนั้นเฉียวจิ่นก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นศีรษะคนสามคนซ้อนกันอยู่ที่ประตู ก็ตกใจทันใด
เว่ยอวิ๋นซูหันหลังให้ประตู ดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามารดาตนพาพี่ชายกับพี่สะใภ้มาแอบดู
นางรับรู้ถึงความผิดปกติ ก่อนถามเสียงเบา “เป็นอะไรรึ?”
เฉียวจิ่นปล่อยนาง และลุกขึ้นจากพื้นอย่างเก้อเขิน ก่อนคำนับอย่างสุภาพไปทางหน้าประตู
“เป็นข้าน้อยที่วู่วามเอง หวังว่านายหญิงกับพี่เหล่ยจะให้อภัย”
ตอนนี้เองเว่ยอวิ๋นซูถึงได้สังเกตเห็นศีรษะของทั้งสามคน และพลันรู้สึกเก้อเขินขึ้นมา พลางกระทืบเท้าจ้องพวกเขาทั้งสามคน
“ท่านแม่ ท่านพี่ พี่สะใภ้ คนอย่างพวกท่านก็คอยดูความสนุกอยู่ด้วยหรือ?”
ทว่าความโกรธของนางถูกทั้งสามคนเพิกเฉย ในเวลานี้สายตาของพวกเขาต่างมารวมกันอยู่ที่เฉียวจิ่นผู้มีเสน่ห์
นี่คือบุตรเขย(น้องเขย) สดๆ ร้อนๆ ทำให้หญิงสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวมายี่สิบปีไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป
อันซีโหวฮูหยินกล่าวกับลูกสะใภ้ด้วยความพึงพอใจ “นับว่าเป็นสุภาพชนคนหนึ่ง”
ลูกสะใภ้ของนางพยักหน้าเห็นด้วยทันที
เว่ยอวิ๋นเหล่ยเอ่ยแทรกต่อ “แน่นอนอยู่แล้ว เขาคือทั่นฮวาผู้สุภาพเรียบร้อย อ่อนโยนสูงส่งดุจหยกอันล้ำค่าเชียวนะ”
อันซีโหวฮูหยินรีบผลักประตูเปิดออก และทักทายอย่างอบอุ่น “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เชิญบรรพบุรุษตัวน้อยเข้าเถิด ข้ายังดีใจได้ไม่สุดเลย”
พูดจบไม่รอให้เฉียวจิ่นตอบ นางก็รีบเชิญเขาเข้าไปในจวน “ยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่? รีบเข้ามาเร็ว วันนี้มาเป็นครั้งแรก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่กินข้าวที่นี่”
“เจ้าชอบกินอะไรหรือ? มีข้อห้ามอะไรหรือไม่? ข้าจะให้คนครัวทำให้เจ้า หากไม่ชอบอาหารของข้าที่นี่ก็ไม่เป็นไร ข้าจะสั่งจองจากภัตตาคารของซู่หวางเฟย”
เฉียวจิ่นรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยที่ถูกต้อนรับอย่างกระตือรือร้นรัวๆ เช่นนี้ เขาอยากโบกมือปฏิเสธ ทว่าอันซีโหวฮูหยินได้ดึงแขนเสื้อของเขาไว้ จะลากเขาเข้าไปในจวนแล้ว
พี่สะใภ้ของเว่ยอวิ๋นซูก็ช่วยพูดคุยด้วยเช่นกัน และเชิญเขาเข้าไป ในขณะที่เว่ยอวิ๋นเหล่ยยิ่งตรงไปตรงมา ร่างกายอันแข็งแรงเหยียดแขนออกหนึ่งออกไปกอดเขาเอาไว้อย่างพี่น้องที่ดีต่อกัน พลางลากเขาเข้าไปในจวน
เว่ยอวิ๋นซูยืนอยู่กับที่อย่างอ้างว้าง มองเฉียวจิ่นถูกคนโอบล้อมพาเข้าไปในจวน บนหัวมีปรากฏเพียงแค่สองคำ…งงงัน!
สรุปแล้วให้กำเนิดใครมากันแน่?
เฉียวเยี่ยนส่งคนออกไปไถ่ถามเรื่องของพี่ชาย เมื่อรู้ว่าเขาสารภาพความในใจกับอวิ๋นซูเรียบร้อยแล้ว แถมยังถูกคนในจวนโหวเชิญเข้าไปในบ้าน ก็วางใจทันที
หลังจากเฉียวจิ่นถูกลากเข้าไปในจวน ก็เข้าใจคำหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ดาวล้อมเดือน!
อันซีโหวฮูหยินกล่อมเขาเหมือนเขาเป็นลูก แค่เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางก็จะถามแล้วว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า จนทำให้เขารู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม เกรงใจเป็นอย่างมาก
ในขณะที่เว่ยอวิ๋นซูมองพี่เฉียวจิ่นถูกมารดากับพี่ชายพี่สะใภ้ตนห้อมล้อมไว้ ก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวเล็กน้อย
ทั้งๆ คนผู้นี้คือสามีในอนาคตของนาง วันนี้เพิ่งยืนยันความสัมพันธ์ ต้องการเวลาที่มั่นคง แต่พวกเขากลับไม่ให้ช่องว่างเลยแม้แต่น้อย และไม่ให้เวลานางเลย
น่าโมโหนัก!
……
อีกเดี๋ยวก็เข้าสู่เดือนห้าแล้ว ภัตตาคารแห่งใหม่ของเฉียวเยี่ยนยังคงเร่งรีบปรับปรุงอยู่ นางวางแผนจะเพิ่มเครื่องดื่มเย็นๆ สองสามอย่างในร้านเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน และยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นการซ่อมแซมก็น่าจะใกล้เสร็จแล้ว
แต่ในระหว่างที่นางทุ่มเทให้กับการตกแต่งภัตตาคารใหม่ ในหอหวาอวิ้นกลับมีข่าวที่น่าตกใจเผยแพร่ออกมา
คนตาย! มีคนตายคนหนึ่งอยู่ในภัตตาคารนาง! แถมยังเป็นขุนนางขั้นห้าของราชสำนักด้วย
วันนี้กิจการร้านอาหารยังคงเฟื่องฟูเช่นเคย รองเจ้ากรมพิธีการหวังจงก็มากินข้าวกับสหายในหอหวาอวิ้นเช่นเดิม
ห้องอาหารส่วนตัวหนึ่งห้อง เขาสั่งอาหารที่ชอบกินมาสองสามอย่าง มีห่านตุ๋นหม้อไฟ ปลาหลี่ฮื้อตุ๋นน้ำแดง ไก่อบหม้อดิน แล้วก็ยังมีอาหารผัดกับอาหารรองท้องอีกหลายอย่าง
ปกติเขาจะมากินข้าวที่หอหวาอวิ้นทุกๆ หนึ่งหรือสองวัน บางครั้งก็มากับสหายร่วมงาน บางครั้งก็มากับภรรยาและลูก
วันนี้ก็เหมือนเคย เขารินเหล้าหนึ่งจอก จิบเล็กน้อย แล้วกินอาหารอร่อยๆ บนโต๊ะ
ห่านตุ๋นหม้อไฟมีเนื้อแน่น มีกลิ่นหอมแบบไม่ใช่กลิ่นฟืน เขากินจนปากเต็มไปด้วยน้ำมันเยิ้ม แล้วจิบเหล้าไปสองสามจิบ และหรี่ตาด้วยความพึงพอใจ
หลังจากดื่มเวียนไปสามหน ก็คุยกันหลังอาหาร สหายร่วมงานสองสามคนเฝ้าโต๊ะที่มีของเหลือ พูดคุยโอ้อวด จนใบหน้าแดงระเรื่อ
ทันใดนั้น หวังจงรู้สึกแค่ว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก จากนั้นทั้งร่างก็ไร้เรี่ยวแรง แน่นิ่งอยู่บนเก้าอี้
เขาถีบเท้าดิ้นรนไปมาสองครั้ง ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง มือเท้าเริ่มชา ริมฝีปากก็เริ่มซีดเซียว
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้พวกสหายตกใจอย่างมาก รีบสั่งคนไปตามหมอมา ทว่าเมื่อหมอมาถึง คนก็ไร้ลมหายใจไปแล้ว
ความโกลาหลนี้ใหญ่เกินไป คนที่กินข้าวอยู่บริเวณรอบๆ ได้ยินคนตะโกนว่ามีคนตาย ก็รีบมาดูเหตุการณ์
ผู้คนกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่าเป็นใครตะโกนว่าในอาหารมีพิษ ทำให้ผู้คนแตกฮือทันที
ผู้ดูแลร้านดูสถานการณ์แล้ว คิดว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก จึงส่งคนไปแจ้งเฉียวเยี่ยน
เมื่อเฉียวเยี่ยนมาถึงร้าน ข้างในก็วุ่นวายไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้อยู่แล้ว
“แจ้งทางการ! ต้องแจ้งทางการ! ต้องมีคนวางยาพิษในอาหารเป็นแน่!”
“ไม่ได้! ข้าต้องรีบไปหาหมอ หากข้าโดนวางยาพิษด้วยจะทำอย่างไร?”
……
เมื่อครู่ตอนที่พวกเขากินข้าว จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ด้วยกลัวว่าตัวเองจะถูกวางยาด้วย
เฉียวเยี่ยนมองสถานการณ์ยุ่งเหยิงด้วยใบหน้าจริงจัง นางเบียดเข้าไปในฝูงชน และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม”ทุกท่านใจเย็นๆ ทางร้านจะจัดหาหมอมาให้ทุกคน หากไม่วางใจ สามารถไปหาหมอตรวจชีพจรได้”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หอหวาอวิ้น เราจะสืบสวนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน หากเป็นความผิดของเรา เราจะไม่ปัดปฏิเสธเด็ดขาด”
สิ้นเสียงนาง ฝูงชนก็เงียบลง บางคนทำตามนาง ทว่าบางคนกลับไม่ทำตาม
“พูดดีกว่าการร้องเพลงอีก ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าวางยาพิษในอาหาร หรือคนครัวทำอาหารใส่เครื่องปรุงผิดหรือเปล่า หมอที่พวกเจ้าหามา พวกเราไม่กล้าเชื่อหรอก พวกเราจะไปหาหมอกันเอง!”
เฉียวเยี่ยนกัดฟัน ระงับอารมณ์รุนแรงของตัวเองไว้ โมโหตอนนี้ไม่ช่วยให้แก้ปัญหาได้ นางต้องสงบสติอารมณ์ลง
“เปิ่นเฟยรู้ว่าตอนนี้พูดอะไรไปพวกเจ้าก็ไม่เชื่อ มิสู้อดทนรอสักสองสามวัน หลังากสืบหาความจริงได้แล้ว ทุกคนจะประณามข้าก็ยังไม่สาย!”
หลายคนในฝูงชนเป็นคนรู้จักเก่ากับเฉียวเยี่ยน ก็ช่วยพูดด้วย “ใช่แล้ว ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้เลย ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อนเถิด”
มีคนคอยช่วยเหลือ สถานการณ์โกลาหลจึงสงบลง ผู้ดูแลร้านกับบริกรในร้านส่งลูกค้ากลับด้วยความเคารพ ในขณะที่เฉียวเยี่ยนจดจ่ออยู่กับศพของหวังจง
ตอนนี้เขามีสีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากดำคล้ำแล้ว ดูเหมือนถูกวางยาพิษจริงๆ
“ระบบ สามารถตรวจสอบได้ไหมว่าเกิดสิ่งใดขึ้น?”
ระบบเปิดฟังก์ชันแสกนของนางออกมา ตรวจสอบร่างศพตั้งแต่บนลงล่าง แล้วคิ้วน้อยของนางก็ขมวดเป็นปมขึ้นมา
[ท่านโฮสต์ ในร่างกายเขามีพิษจริงๆ แต่พิษไม่แรงนัก ทั้งยังแผ่กระจายไปทั่วร่าง เหมือนกับถูกค่อยๆ วางยา ทว่าสาเหตุที่เขาสิ้นวันนี้ หาใช่เพราะพิษเหล่านี้ แต่เป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย]
เฉียวเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งมีท่าทางตึงเครียดขึ้น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายนี้ ไม่รู้ว่าหมอตอนนี้วินิจฉัยออกมาได้หรือไม่ ทั้งยังพิษในร่างกายเขา หากหาต้นตอของพิษไม่ได้ ตัวเองก็อาจจะกลายเป็นแพะรับบาป
ต่อให้ในอาหารที่พวกเขากินไม่มีพิษ ทว่าเขาตายในร้านตัวเองกลับเป็นเรื่องจริง แม้นางจะบริสุทธิ์ แต่กลับหาหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ง่ายนัก
ในขณะที่นางกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด คนของทางการก็มาถึง
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อวิ๋นซูร้องไห้แล้ว หนูไม่ใช่ลูกม๊าเหรอ
อยู่ดีๆ ความซวยก็มาเยือน ต้องมีคนจงใจใส่ร้ายเฉียวเยี่ยนแน่ๆ จะสืบเบาะแสยังไงดีล่ะเนี่ย
ปล.วันนี้มาช้าต้องขอโทษด้วยค่ะ มีเรื่องวุ่นวายทั้งวันเลย
ไหหม่า(海馬)