ตอนที่ 288 สัญญาอันน่าเบื่อ
ตอนที่ 288 สัญญาอันน่าเบื่อ
ฮุ่ยเซียงกำลังต่อสู้กับเจ้านายน้อยทั้งสี่ ในขณะที่เฉียวเยี่ยนพามู่ฉินเจินไปจัดการกับกบนาที่จับมาได้วันนี้
มู่ฉินเจินไม่อยากให้มือน้อยขาวๆ ของภรรยาไปสัมผัสกับสิ่งน่าเกลียดเหล่านั้น จึงรับหน้าที่ฆ่ากบนาแทน
ท่านอ๋องที่ไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อนได้ลงมืออย่างไร้ความปรานี เขาจับกบขึ้นมา และออกแรงเล็กน้อย ทำให้พวกมันถูกบีบจนตายคามือ
หลังจากทำกบตายแล้ว ก็ลอกผิวหนังมันออก ล้างอวัยวะภายในให้สะอาด ตัดหัว และเท้าทั้งสี่ของมันออก เป็นภาพเหตุการณ์เลือดสาดชวนสยองใจนัก
มือของเขาเต็มไปด้วยเมือกมัน ปลายจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น สีหน้าของท่านอ๋องแสดงชัดว่ารังเกียจกบไม่ไหว
เฉียวเยี่ยนที่นั่งเก็บผักอยู่ข้างๆ ดูใบหน้าย่นยับคิ้วขมวดแน่นของเขา และรู้สึกขบขันอย่างยิ่ง
ขณะมู่ฉินเจินยังคงจัดการกบอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูลานบ้านดังขึ้น
องครักษ์ทั้งแปดยังไม่กลับมาจากการไถนา ฮุ่ยเซียงอาบน้ำให้เด็กๆ อยู่ในห้อง มีเพียงเฉียวเยี่ยนผู้เดียวที่สามารถปลีกตัวไปได้
นางวางผักในมือลง เดินไปเปิดประตู
เมื่อประตูเปิดออก ก็เผยให้เห็นชายคนหนึ่งที่มีหน้าตาซื่อตรง อายุราวๆ สามสิบปี
เขาสวมชุดผ้าไหม และยังมีคนรับใช้ตามอยู่ข้างหลัง ดูเหมือนฐานะทางบ้านจะไม่เลว
เมื่อชายคนนั้นเห็นเฉียวเยี่ยน เขาก็รีบทำความเคารพนาง และเอ่ยตะกุกตะกัก “มะ…เแม่นาง ข้าน้อยโจวผิงฟาน มาเยี่ยมเยือนทะ…ท่านอ๋องซู่”
เฉียวเยี่ยนฟังเขาแนะนำตัวเอง ก็อดขบขันไม่ได้
ไม่คิดเลยว่าชายซื่อสัตย์เป็นมิตรผู้นี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการอันเฉลียวฉลาดที่ออกมาจากปากมู่ฉินเจิน ช่างไม่สามารถดูคนจากภายนอกได้จริงๆ
นางส่งรอยยิ้มใจดีตอบกลับไป พลางเอียงตัวเชิญเขาเข้ามาด้านใน “เชิญเข้ามา”
นางกำลังคิดว่าจะให้มู่ฉินเจินเขียนจดหมายถึงเขา เชิญเขามารับประทานอาหารเสียหน่อย กลับไม่คิดเลยว่าเขาจะมาเองก่อน
หลังจากโจวผิงฟานเข้ามาในลานบ้านแล้ว ก็สำรวจไปทั่วและมองหามู่ฉินเจิน
ผลคือ เขาเห็นมู่ฉินเจินนั่งอยู่บนม้านั่งล้างของสดอย่างจริงจังข้างถังเก็บน้ำตรงมุมลานบ้าน
ปากของเขาเผยอออกกว้างอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาเบิกโพลง อ๋องซู่ยังสามารถติดดินขนาดนี้ได้ด้วย?
เขาตาฝาด หรือว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว?
มู่ฉินเจินที่ลอกหนังกบในมือออกได้ในที่สุด ก็เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ครั้นพบว่าเป็นโจวผิงฟาน แววตาของเขาฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย
เฉียวเยี่ยนเห็นสถานการณ์ของทั้งสองก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย ก่อนเดินไปหามู่ฉินเจิน หยิบกบจากมือของเขามา แล้วเทน้ำให้เขาล้างมือ
“สหายท่านมาแล้ว เหล่านี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าแล้วกัน พวกท่านไปคุยรำลึกความหลังกันเถิด”
โจวผิงฟานมองแม่นางโฉมสะคราญที่เพิ่งเปิดประตูให้เขากำลังจับมือของอ๋องซู่และล้างมือให้อีกฝ่าย ในใจก็ยิ่งตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง
นี่คือภรรยาของเขา? ปีก่อนสัญญากันว่าจะเป็นโสดไม่ใช่หรือ ไฉนเขาจึงมีภรรยาได้เล่า?
หวนนึกถึงตอนนั้น มู่ฉินเจินที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดปีมีจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิม ฉายราศีความเป็นหนึ่งเหนือคนนับหมื่น ท่าทางราวกับเทพเจ้าแห่งสงคราม ทว่านอกสนามรบนั้นเย็นชาดุจน้ำแข็ง มองสตรีดุจมูลสัตว์
สาวงามหลายคนที่เขตชายแดนล้วนชอบเขา แต่เขากลับไม่ชายตาแล และยังบอกว่าสตรีล้วนส่งผลต่อความเร็วในการชักดาบของเขาเท่านั้น
โจวผิงฟานชื่นชมในความสามารถของเขา จึงเลื่อมใสเขาเป็นพิเศษ โดยถือเขาเป็นมาตรฐานในทุกสิ่ง และเอนเอียงเข้าหาเขา ดังนั้นเด็กหนุ่มมุทะลุทั้งสองจึงทำข้อตกลงปกป้องบ้านเมือง อยู่ห่างจากสตรี
แต่ไม่คิดเลยว่าตอนนี้เขาโจวผิงฟานในวัยสามสิบยังเป็นโสดอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับมีภรรยาที่งามดุจดอกไม้แล้ว
หลังตกตะลึงอย่างมากแล้ว โจวผิงฟานก็บังคับตัวเองให้สงบลง เดินไปหามู่ฉินเจินและทำความเคารพเขา
“ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง”
มู่ฉินเจินยื่นมือออกไปให้เฉียวเยี่ยนล้างมือให้ราวกับเด็กน้อยเชื่อฟัง ความตกตะลึงเมื่อครู่ได้คลายลงแล้ว ก่อนเหลือบมองโจวผิงฟาน และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากของคนอื่นมาก “แม้แต่เจ้าก็มาไม้นี้กับข้าหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวผิงฟานก็ยืดตัวขึ้นและหัวเราะอย่างโง่เขลา เขาแน่ใจแล้วว่า นี่ยังคงคือสหายที่ดีของเขาในสนามรบไม่มีเปลี่ยนแปลง
ไม่ได้พบกันมาหลายปี อีกฝ่ายยังคงเป็นท่านอ๋องผู้สูงส่ง ส่วนเขาเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง ยังเป็นความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงกับประชาชน แม้พวกเขาจะเคยเป็นสหายกัน แต่ที่ควรต้องมีคือมารยาทที่จะขาดไปไม่ได้
เฉียวเยี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือมู่ฉินเจินให้แห้ง “พวกท่านเข้าไปคุยกันในบ้านก่อน ข้าจะไปทำอาหาร”
มู่ฉินเจินแตะมือน้อยของนางเบาๆ และเอ่ยอย่างนุ่มนวล “เรื่องนี้ไม่รีบ ข้าจะจัดการกบให้เสร็จก่อน”
ขณะกล่าว เขาก็จับกบอีกตัวหนึ่งขึ้นมา บีบมันให้ตายแล้วจัดการถลกหนังมันต่อ
เฉียวเยี่ยน “…”
แล้ว เมื่อครู่ที่ข้าล้างมือให้ท่านมันไม่มีความหมายเลยหรือ?
แน่นอนว่ามู่ฉินเจินไม่พูด เขาแค่เพลิดเพลินไปกับการที่ภรรยาล้างมือให้เขา
ทั้งคู่แสดงความรักราวกับว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ซึ่งทำให้โจวผิงฟานที่อยู่ข้างๆ รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แต่ก่อนที่ความอึดอัดของเขาจะสิ้นสุดลง ในที่สุดมู่ฉินเจินนึกถึงเรื่องแนะนำเฉียวเยี่ยนให้เขารู้จักได้
“นี่คือจัวจิง*ของข้า”
(*拙荆 จัวจิง คำแสดงความถ่อมตัวในสมัยเก่าใช้เรียกภรรยาของตน ส่วนใหญ่ภรรยาจะเป็นผู้รับผิดชอบภายในบ้าน )
โจวผิงฟาน “…”
ฮ่าฮ่า ไม่ต้องแนะนำให้ข้าหรอก ข้าไม่ได้ตาบอด
เฉียวเยี่ยนปล่อยให้ชายร่างใหญ่สองคนคุยกันในลานบ้าน ส่วนตัวเองเข้าครัว ชงชามาหนึ่งกา และเตรียมของว่างส่งออกไปให้
โจวผิงฟานนั่งอยู่ข้างมู่ฉินเจิน เฝ้าดูเขาฆ่ากบอย่างจริงจัง ท่าทางทั้งดูเงอะงะทั้งแปลกพิกลและโหดร้ายอย่างยิ่ง สุดท้ายเขาก็ทนดูต่อไปไม่ได้ จึงถกแขนเสื้อขึ้นและเข้าไปช่วย
เขาเป็นชาวเมืองหางโจว เคยอยู่ในชนบทมาก่อน และกินกบนามาตั้งแต่เด็ก เอ่ยถึงการฆ่ากบ เขาย่อมมีความชำนาญอยู่แล้ว หลังจากมู่ฉินเจินมองอย่างเงียบๆ วินาทีหนึ่งก็ถลกหนังอย่างเงอะงะต่อ
บ่าวที่โจวผิงฟานพามาด้วยหิ้วของขวัญมาสองห่อใหญ่ หลังจากเฉียวเยี่ยนรับมาก็ให้ของว่างแก่เขา ให้เขาไปกินในลานบ้าน
บ่าวรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เขารู้จักตัวตนของเฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจิน ซึ่งเป็นท่านอ๋องกับหวางเฟยผู้สูงส่งทรงเกียรติ กลับลงมือทำงานด้วยตัวเอง อีกทั้งหวางเฟยยังเข้าครัวทำอาหารเองด้วย
ในบรรดาฮูหยินคุณหนูในตำบลเหล่านั้น มีคนไหนเคยทำอะไรบ้าง หวางเฟยแบบนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
มู่ฉินเจินกับโจวผิงฟานนายท่านทั้งสอง คุยกันไปพลางถลกหนังกบไปพลาง ทั้งสองคนไม่ใช่คนช่างพูด บรรยากาศการสนทนาจึงดูแปลกประหลาดและกลมกลืน
บ่าวที่นั่งกินของว่างอยู่มุมลานรู้สึกกดดันมาก เขาที่เป็นข้ารับใช้คนหนึ่งกินอยู่คนเดียว ในขณะที่เจ้านายทั้งสองกำลังทำงาน มันทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อย
แต่ประเด็นสำคัญคือ เขาก้าวจะเข้าไปช่วย ก็ถูกเจ้านายทั้งสองไล่อย่างไม่ชอบใจออกไปพร้อมกัน
โจวผิงฟานเอ่ยอย่างถอดใจ “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี เจ้าก็แต่งงานแล้ว ภรรยาเจ้าเป็นคนพิเศษมาก”
มู่ฉินเจินเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าที่สงบไม่เปลี่ยนแปลงแสดงความพึงพอใจออกมาเล็กน้อย “มันแน่อยู่แล้ว”
เจ้าท่อนไม้ของเขา เป็นสตรีที่ดีเลิศที่สุด
โจวผิงฟานไม่คิดเลยว่าเขาจะยังได้เห็นสีหน้าแบบคนปกติของมู่ฉินเจินในชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาอีก และจ้องมองใบหน้าเขาอยู่หลายครั้งด้วยความประหลาดใจ
อานุภาพของสตรีมีมากขนาดนี้เชียว?
เปลี่ยนปีศาจหน้านิ่งให้กลายเป็นสุนัขเชื่องๆ ได้!
มู่ฉินเจินอวดจบ ก็ถามขึ้น “เหตุใดเจ้าไม่พาลูกเมียมาที่นี่ด้วยล่ะ?”
โจวผิงฟานเงียบไปสองวินาที และตอบกับอย่างเก้อเขิน”ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”
……
มู่ฉินเจินเงียบไป ดวงตาน่าดึงดูดล่อลวงคู่นั้น สำรวจมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ร่างกายเจ้ามีปัญหาหรือ?”
ได้ยินน้ำเสียงมีความสุขนั้น โจวผิงฟานก็แทบอยากกระอักเลือด ณ ตรงนั้น
เขากล้ามั่นใจว่า สหายสนิทคนนี้ลืมสัญญาที่พวกเขาตกลงกันไว้หลายปีก่อนไปจนสิ้นแล้ว!
เขากัดฟัน ตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย “ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่รักษาสัญญาหนึ่งไว้ก็เท่านั้น”
มู่ฉินเจินมองเขาอย่างประหลาดใจอีกครั้ง “เจ้ามีสตรีที่ชื่นชอบอยู่ในใจหรือ?”
โจวผิงฟานกัดฟันอีกครั้ง “ไม่มี แค่ตอบรับสัญญาน่าเบื่อของพวกเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ทั้งชีวิตนี้จะอยู่ให้ห่างสตรี”
มู่ฉินเจินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับ “ใครกันที่พูดแบบนี้? น่าเบื่อจริงๆ ที่สำคัญที่สุดเลยคือเจ้าก็โง่ กลับตอบตกลงไปจริงๆ ”
โจวผิงฟาน…ได้เสียชีวิตลงตอนอายุสามสิบแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สงสารน้องกบ TT__TT
เพื่อนงอนแล้วท่านอ๋อง อุตส่าห์ครองตัวเป็นโสด แต่เพื่อนดันลืมสิ้นสัญญาแล้วหนีไปมีเมียก่อน
ไหหม่า(海馬)