ตอนที่ 340 ทำไมมันไม่เหมือนที่พวกเขาคิดไว้เลยล่ะ
ตอนที่ 340 ทำไมมันไม่เหมือนที่พวกเขาคิดไว้เลยล่ะ
ทันทีที่ประตูเปิดออก ทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น
อาคารแต่ละหลังทั้งความประณีตและงดงาม ใหญ่โตโอ่โถงจนพวกเขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
สำนักศึกษายิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ และไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย
หากต้องเดินไปทั่วสำนักศึกษารอบหนึ่ง จะไม่เหนื่อยตายเลยหรือ!
คนที่พร้อมเหน็บแหนมเฉียวเยี่ยนก่อนเดินทางมา ตอนนี้พลันเป็นใบ้พูดไม่ออก
ทีแรกพวกเขาคิดว่า สำนักศึกษาที่ไท่จื่อเฟยกล่าวถึงคงไม่ต่างอะไรกับสำนักศึกษาทั่วไปเท่าใดนัก
อีกทั้งนางยังให้คลังหลวงจัดสรรเงินให้ และครอบครัวของพวกเขาก็บริจาคเงินภายใต้การนำของฮองเฮาด้วย เงินมหาศาลอยู่ในมือนาง ต้องถูกหักเอาไปกินแน่
ทว่าพอเห็นในยามนี้ เงินน้อยนิดที่คลังหลวงกับพวกเขาบริจาคให้นั้น อาจเพียงพอที่จะสร้างอาคารได้แค่สองหลังเท่านั้น แล้วส่วนที่เหลือพวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?
ไท่จื่อเฟยออกเงินเองหรือ?
พระเจ้าช่วย ค่าใช้จ่ายนี้คิดๆ ดูแล้วก็น่าตกใจ บนโลกนี้ยังมีคนไม่เห็นค่าของเงินอยู่อีกหรือ?
ถนนหินชนวนและถนนหินกรวดแต่ละเส้นตัดสลับกันอยู่ภายในสำนักศึกษา โดยมีถนนแผ่นหินขนวนเป็นถนนสายหลัก ค่อนข้างกว้าง และถนนหินกรวดเป็นแค่ถนนเส้นเล็กๆ ไว้สัญจรไปๆ มาๆ ทุกที่ ซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติและสวยงาม
พื้นที่ว่างยกเว้นทางเดินเป็นผักที่ปลูกไว้งอกงามแล้ว และยังมีผักป่ากับหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มด้วย
เดือนสี่เป็นช่วงที่ผักป่าเติบโตพอดี พื้นที่ในสำนักศึกษามีผักจี้ไฉ่ ผักโขมป่า และผักปีเช้าไม่น้อยเลย
ฮองเฮาทอดพระเนตรผักป่าพวกนี้แล้วก็รู้สึกคันไม้คันมือ ดูสิผักพวกนี้อ่อนนุ่มมาก ช่างเสียใจนักที่ไม่ได้นำจอบกับตะกร้าผักมาด้วย หากขุดไปเล็กน้อย ตอนเย็นกลับไปก็นำไปห่อเกี๊ยวได้
เฉียวเยี่ยนขัดข้องเรื่องงานบางอย่างเมื่อครู่เล็กน้อย เมื่อมาถึงหน้าประตูสำนักศึกษา ฮ่องเต้ ฮองเฮากับพวกขุนนางเพิ่งเข้าประตูสำนักศึกษาไปพอดี นางจึงทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ อธิบายให้กลุ่มคนพวกนี้ฟังไปพลาง นำพวกเขาเที่ยวชมไปพลาง
“กล้าผักที่ปลูกในพื้นที่โล่งและพื้นที่สีเขียวของสำนักศึกษาเหล่านี้พวกนักเรียนเป็นคนปลูกเองทั้งหมด เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ในสำนักศึกษามาจากครอบครัวยากจน ดังนั้นทางโรงเรียนจึงจัดระเบียบการเรียนและการทำงานให้กับพวกนักเรียน นักเรียนทุกคนสามารถรับเงินผ่านการลงแรง เพื่อลดความกดดันในการเรียน”
เฉียวเยี่ยนเดินไปด้วย ชี้ต้นกล้าผักที่เพิ่งปลูกใหม่บนพื้นไปด้วย และอธิบายให้พวกเขาฟัง
ฮ่องเต้ ฮองเฮากับพวกครอบครัวขุนนางทุกคนต่างก็พยักหน้า อย่างไรเสียพวกเขาเคยชินกับการปลูกผักในวังอยู่แล้ว หากสำนักศึกษาของไท่จื่อเฟยแห่งนี้ปลูกผักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ทว่าขุนนางบางคนที่จงใจมาเถียง คิดว่าในที่สุดก็หาจุดบกพร่องของเฉียวเยี่ยนเจอแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เรียนหนังสือก็ควรจะใจจดใจจ่อกับการเรียนสิ ปล่อยให้นักเรียนมาปลูกผัก ไม่เสียเวลาการเรียนของพวกเขาหรือ? ตามความเห็นของกระหม่อม ไท่จื่อเฟยยังจัดการได้ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!”
เฉียวเยี่ยนกวาดมองคนที่ชอบมาหาเรื่องเหล่านี้ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “พวกเจ้าคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลก็คิดไปสิ เกี่ยวอะไรกับเปิ่นเฟย? สำนักศึกษาแห่งนี้เปิ่นเฟยเป็นคนเปิด กฎเกณฑ์ย่อมเป็นเปิ่นเฟยกำหนดอยู่แล้ว ไม่พอใจ? ไม่พอใจก็กลั้นเอาไว้สิ!”
คำพูดที่ทั้งเท่ทั้งตึงของเฉียวเยี่ยนทำให้ขุนนางเหล่านี้หน้าแดงก่ำ พวกเขายังอยากไว้หน้าเล็กน้อย แต่กลับไม่คิดเลยว่าไท่จื่อเฟยจะฉีกหน้าพวกเขาตรงๆ เช่นนี้!
ครั้นชายชราได้ยินคำพูดของลูกสะใภ้ ก็รู้สึกแค่ว่าในใจสบายผ่อนคลายมาก
ด่าได้ดี ด่าได้เยี่ยม ครู่เดียวโทสะที่อัดอั้นมาหลายวันก็คลายลงทันที จะดีกว่าหากก่นด่าไปอีกหน่อย ให้เขารู้สึกดีขึ้นอีกนิด!
ตั้งแต่เข้าประตูสำนักศึกษา เดินลัดเลาะไปตามถนนหินชนวน ไม่นานก็มาถึงอาคารสอนหลังแรก
พวกนักเรียนกำลังเรียนอยู่ในชั้นเรียน พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบเดียวกัน เป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นแล้วดูสะดุดตามาก
อาจารย์บรรยายการสอนอย่างดูภาคภูมิใจด้วยเสียงไพเราะเพราะพริ้ง พวกนักเรียนเองก็ตั้งใจเรียนมาก ดวงตาสดใสแต่ละคู่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้
ผ่านชั้นเรียนห้องหนึ่งไป พวกนักเรียนกำลังเรียนวิชาวัฒนธรรม และอาจารย์ที่เข้าสอนเป็นเฉียวจิ่นพอดี
ครั้นขุนนางบางคนเห็นเฉียวจิ่น ในดวงตาก็ทอแววประหลาดใจเล็กน้อย ขุนนางน้อยผู้เงียบสงบจากสำนักฮั่นหลินผู้นี้กลับวิ่งมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษานี้ ทั้งยังสอนอักษรพื้นฐานที่สุดด้วย!
ฮ่องเต้เฒ่าหยุดอยู่นอกห้องเรียน ตั้งใจฟังเฉียวจิ่นสอน และลูบเคราตัวเองด้วยความพึงพอใจ
เฉียวจิ่นยืนอยู่บนแท่นเวที ในมือถือชอล์กที่ทำจากปูน และสอนให้พวกนักเรียนเขียนอักษรตามขีดต่อขีด
และนักเรียนที่อยู่ด้านล่างก็ถือพู่กัน เขียนอักษรตามจังหวะที่อาจารย์สอนอย่างตั้งใจทีละขีด
สำนักศึกษาในเทียนลี่ยังไม่มีชอล์คกับกระดานดำ เมื่อฮ่องเต้เฒ่าเห็นกระดานดำรวมถึงแท่งยาวๆ สีขาวในมือเฉียวจิ่น ก็รู้สึกฉงนอย่างยิ่ง
เขาลดเสียงถามเฉียวเยี่ยน “นี่คือสิ่งใด? มันเป็นของที่เจ้าคิดออกมาเองเหมือนกันหรือ?”
เฉียวเยี่ยนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนตอบกลับเสียงเบา “แผ่นสีดำนั้นเรียกว่ากระดานดำ ส่วนสีขาวนั้นเรียกว่าชอล์คซึ่งทำมาจากปูนปลาสเตอร์ ใช้ชอล์คเขียนอักษรลงบนกระดานดำเพื่อสาธิตเป็นตัวอย่างให้แก่นักเรียน ”
ชายชราฟังคำอธิบายจบ ก็พอใจมาก และรู้สึกว่าสิ่งที่ดูเหมือนธรรมดานี้กลับมีประโยชน์อย่างมาก สำนักศึกษาอื่นๆ ก็ควรจะต้องมีเช่นกัน
ดูนักเรียนเหล่านั้น เขียนคำตามอาจารย์ และสามารถเขียนคำหนึ่งออกมาได้อย่างช้าๆ
ขุนนางบางคนเห็นสภาพการเรียนของพวกนักเรียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจ พวกเขาพอจะทราบเกี่ยวกับสำนักศึกษาในตอนนี้บ้างแล้ว ตอนเข้าเรียนนักเรียนส่งเสียงดังในชั้นเรียนหรือทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน ภาพเช่นนี้เห็นบ่อยจนชินตาไปแล้ว
ทว่าในห้องเรียนนี้ นักเรียนทุกคนมีสมาธิ ไม่มีใครวอกแวก จากกิริยาท่าทางของพวกเขาดูออกว่าเคารพและขยันในการเรียนมาก
หลังจากเฉียวจิ่นเขียนแสดงคำที่จะสอนให้นักเรียนเสร็จแล้ว ก็ก้าวลงมาจากแท่นเวที เดินไปตรวจสอบคำที่นักเรียนเขียนด้วยตัวเอง รวมถึงแก้ไขจุดที่พวกเขาเขียนผิดด้วย
เขามีความอดทนมาก น้ำเสียงทั้งอบอุ่นทั้งน่าดึงดูด ท่าทางใจเย็นแฝงไปด้วยความเป็นมิตร ซึ่งทำให้นักเรียนชอบเขาเอามากๆ
หลังจากมองอยู่หน้าประตูห้องเรียนสักพัก ชายชราก็เดินไปต่อ แค่เยี่ยมชมเพียงครู่เดียว เขาก็รู้แล้วว่า สำนักศึกษาที่พระสุณิสาเขาเปิดนั้นมีค่ามาก และมีความหมายมาก!
วันหน้าหากมีโอกาส มีความสามารถ จะต้องส่งเสริมแน่!
ส่วนขุนนางที่เพิ่งเป็นใบ้พูดไม่ออกหลังถูกตอกกลับเมื่อครู่ก็ยังเหน็บแหนมต่อไป ตอนนี้ในใจรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด ทำไมมันถึงได้แตกต่างจากที่พวกเขาคิดนักล่ะ?
เด็กๆ ที่ครอบครัวยากจนจนไม่มีข้าวกิน ควรจะสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มีรอยเย็บปะ บนตัวทั้งสกปรกทั้งเหม็น กระทั่งจมูกมีน้ำมูกไม่ใช่หรือ?
แต่เด็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แม้จะหน้าซูบตอบร่างกายผอมโซเล็กน้อย ทว่าทุกคนแต่งตัวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และจัดการตัวเองอย่างสะอาดหมดจด
ที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่าคือสภาพการเรียนในชั้นเรียนของพวกนักเรียน บ้านไหนไม่มีบรรพบุรุษน้อยแสนซนบ้าง การปล่อยให้พวกเขาไปเรียนหนังสือ ช่างเป็นการทำร้ายชีวิตพวกเขา
หากพวกเขามีนักเรียนที่ตั้งใจเรียนสักครึ่งหนึ่ง พวกเขาคงไม่คร่ำครวญอยู่ทุกวี่ทุกวัน
สองสามห้องถัดไป กำลังเรียนวิชาวัฒนธรรมบ้าง และเรียนวิชาเฉพาะทางบ้าง
และบังเอิญมากที่วันนี้เก๋อต้าโหย่วกำลังสอนวิชาช่างไม้ของเขาพอดี ครั้นเห็นกลุ่มคนเซ็งแซ่นอกห้องเรียน ก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
นั่นคือฮ่องเต้เชียวนะ ไหนจะพวกขุนนางระดับสูงที่ตามหลังเขามาอีก วันนี้พวกเขามาฟังชั้นเรียนของเขาแน่ เวลานี้เหมือนกับกำลังฝันอยู่!
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่อาจารย์ใหญ่บอกตอนประชุมวันนั้น เขาก็สงบสติลงทันที
อาจารย์ใหญ่บอกว่า ไม่ว่าจะมากันสักกี่คน หรือคนที่มาจะเป็นใคร ในสำนักศึกษานี้ หน้าที่พวกเขาคือสอนให้ความรู้แก่คนอื่นๆ หากคนอื่นมาดูพวกเขาสอน ก็มองพวกเขาให้เป็นกองผักกาดขาวเสีย!
ผักกาดขาว! ผักกาดขาว! ผักกาดขาวราคาถูก!
หลังจากท่องในใจเงียบๆ หลายครั้ง จิตใจของเขาก็มั่นคงเหมือนสุนัขแก่ และเริ่มอธิบายโครงสร้างร่องและเดือยให้พวกนักเรียนฟัง
เขาถือแบบจำลองโครงสร้างร่องและเดือยอย่างง่ายไว้ในมือ และวาดแผนภาพโครงสร้างร่องและเดือยบนกระดานดำ อธิบายของที่ใช้บ่อยที่สุดในงานไม้ให้นักเรียนฟังอย่างมีชีวิตชีวา
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่เหมือนที่คิดไว้ล่ะสิ หัดออกมาเปิดโลกบ้าง อย่ามัวแต่อยู่ในกะลานะคะคนช่างติทั้งหลาย
ไหหม่า(海馬)