ตอนที่ 344 ปาเกอยาลู่
ตอนที่ 344 ปาเกอยาลู่
นางเขียนจดหมายตอบกลับเขาไป เหล่าลูกๆ เองก็เขียนจดหมายถึงบิดาเช่นกัน เนื้อหาหลากหลายปนเปกันไปหมด ทว่าทั้งหมดล้วนแสดงถึงความคิดถึงกับความห่วงใยที่มีต่อบิดา
ณ ตำหนักอ๋องรุ่ย
อี้จื่อจิ้นตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว ช่วงนี้นางได้แต่หมกตัวอยู่ในตำหนักดูแลลูกในครรภ์ ไม่กล้าออกไปเตล็ดเตร่ข้างนอก ด้วยกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายเด็กในครรภ์ของนาง
โดยเฉพาะเฉียวเยี่ยน หากอีกฝ่ายรู้ว่านางท้อง จะต้องอยู่ไม่สุขเป็นแน่ และต้องหาวิธีกำจัดลูกของนาง นางไม่มีทางให้โอกาสอีกฝ่ายหรอก!
ตั้งแต่นางตั้งครรภ์มา ท่าทางของอ๋องรุ่ยที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนไม่อ่อนโยนไม่แยแส แต่ตอนนี้เขามักจะมากินข้าวกับนางบ่อยๆ แถมยังเป็นห่วงนาง ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกันใหม่ๆ
นางรู้ดี สายตาในการมองผู้ชายของนางไม่มีทางผิดแน่นอน!
เมื่อก่อนเหตุที่เขาปฏิบัติต่อนางแบบนั้น ต้องเป็นเพราะเขามีความลำบากส่วนตัว และเขาก็รักนาง!
วันนี้ มู่เจ๋อจิ่นยังคงมารับประทานอาหารเย็นกับอี้จื่อจิ้นอยู่ น้ำเสียงดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ ทั้งยังเป็นถามสารทุกข์สุขดิบกับนาง บางครั้งก็เอาแต่จ้องมองท้องนาง
อี้จื่อจิ้นยิ้มอ่อนหวาน คีบอาหารให้เขา แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาท ลองชิมสิ่งนี้ดูสิเพคะ นี่เป็นอาหารใหม่ที่คนครัวทำ ช่วงนี้หม่อมฉันไม่ค่อยอยากอาหาร มีแต่อาหารนี้ที่กินได้อยู่บ้าง”
มู่ฉินเจินรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าไว้ ก่อนรับอาหารที่นางคีบให้ใส่ปาก “ไม่เลวเลย อร่อยมาก หากเจ้าอยากกินอะไรก็อย่าอดทนไว้ ให้คนครัวทำให้เจ้ากิน หากทำไม่ได้ก็ไปหาซื้อข้างนอก อย่าทำให้ตัวเองลำบากเด็ดขาด”
อี้จื่อจิ้นตื้นตันใจจนขอบตาแดงก่ำ มือนุ่มนิ่มวางลงบนบ่าเขา พลางเอียงศีรษะลงซบ
“ฝ่าบาท ท่านดีกับหม่อมฉันเหลือเกิน หม่อมฉันก็จะปฏิบัติต่อท่านอย่างดี เมื่อลูกของเราคลอดออกมา พวกเราก็จะเป็นครอบครัวสุขสันต์สามคน”
มู่เจ๋อจิ่นโอบนางไว้ พลางแตะหลังนางเบาๆ ดูเป็นชายชาตรีแสนดีอย่างยิ่ง
แต่อี้จื่อจิ้นมองไม่เห็นแววตาของเขา แม้ใบหน้านั้นจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าแววตากลับเย็นชา ซับซ้อน เยือกเย็น
ครอบครัวสุขสันต์สามคน?
เฮอะ!
นางเห็นว่าเขาโง่จริงๆ หรืออย่างไร!
หมอวินิจฉัยมานานแล้วว่าร่างกายเขาอ่อนแอเกินไป มีทายาทได้ไม่ราบรื่นนัก อีกทั้งเขายังร่วมหลับนอนกับนางนับครั้งได้ แล้วเด็กในท้องนางมาได้อย่างไร?
แต่บังเอิญว่าเขาต้องการลูกคนหนึ่งพอดี เมื่อมีลูก ก็จะทำให้เขามีแต้มต่อในการชิงบัลลังก์เพิ่มขึ้น
จะสนใจไปทำไมว่าเป็นลูกของใคร รอเขาเป็นฮ่องเต้เมื่อใด ก็ฆ่าหญิงคนที่สวมหมวกเขียวให้เขาและลูกของนางเสียก็จบเรื่อง
กลางดึก
มู่เจ๋อจิ่นอยูในห้องหนังสือ ตรวจสอบรายงานลับที่ส่งมาจากลูกน้องใต้บังคับบัญชา หลังจากทราบเนื้อหาของรายงานลับแล้ว เขาก็ถีบเท้าลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความโกรธ และกวาดข้าวของบนโต๊ะลงกับพื้น
“สวะ! ไอ้พวกเศษสวะ! มู่ฉินเจินจากเมืองหลวงไปตั้งนานแล้ว พวกเจ้าเพิ่งสืบข่าวมาได้ เปิ่นหวางจะต้องการพวกเจ้าไปทำไมกัน!”
เขาด่าออกมาแล้วก็ยังไม่คลายโทสะ ก่อนคว้าตราประทับที่อยู่ใกล้มือเขวี้ยงใส่หัวลูกน้อง จนหัวแตกเลือดไหลอาบ
แต่ลูกน้องทำได้เพียงคุกเข่าอยู่กับพื้น ปล่อยให้เจ้านายระบายอารมณ์ออกมา
“เตรียมพร้อมให้ดี ให้โจรดักซุ่มโจมตีบนถนน ห้ามให้พวกคนตงอิ๋งเข้าเมืองหลวงมาเด็ดขาด ใช้โอกาสนี้จัดการกับมู่ฉินเจินซะ”
“และให้อีกกลุ่มรีบสะกดรอยตามอี้จื้อกวนแห่งหน่วยงานหงลู่ซื่อ และหาโอกาสจัดการซะ”
หน่วยงานหงลู่ซื่อเปรียบเหมือนกระทรวงการต่างประเทศในสมัยใหม่ รับหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับต่างชาติ อี้จื้อกวนยิ่งเทียบได้กับล่าม มีหน้าที่สื่อสารกับผู้คนจากประเทศอื่นๆ
มู่ฉินเจินไปเยวี่ยโจวคุมคนตงอิ๋งกลับเมืองหลวงด้วยตัวเอง จะต้องให้อี้จื้อกวนมาไต่สวนพวกเขาแน่นอน แล้วสอบถามล้วงข้อมูลจากในนั้น
เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จแน่!
ถูกแล้ว เขาเป็นคนปล่อยกลุ่มคนตงอิ๋งกลุ่มนี้เข้ามาเอง
หลายปีมานี้ เขาเดินทางไปทั่วสารทิศ และได้รู้จักกับพ่อค้าชาวตงอิ๋งโดยบังเอิญจากนั้นมาเขาก็ไปเยี่ยมเยือนตงอิ๋งด้วยตนเอง เรียนรู้ภาษาตงอิ๋ง และติดต่อคบหากับจักรพรรดิแห่งตงอิ๋ง
เขาบรรลุข้อตกลงกับจักรพรรดิแห่งตงอิ๋งเรียบร้อยแล้ว คอยช่วยพวกเขาเปิดศุลกากรส่วนตัว หลังจากที่พวกเขามาถึงเทียนลี่ พวกเขาจะช่วยเขายึดอำนาจ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็จะยกหมู่เกาะหลิวฉิว[1] รวมถึงเกาะเล็กๆ บริเวณรอบๆ ให้แก่พวกเขา
อย่างไรเสียเทียนลี่ก็มีพื้นที่กว้างขวาง ยกที่ดินให้พวกเขาไปผืนหนึ่งก็ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อเขา
ขอเพียงแค่เขาได้เป็นราชาแห่งแผ่นดิน ผืนดินที่ยกให้ไปก็เป็นแค่เบี้ยล่างใต้เท้าตนก็เท่านั้น!
วิชาการต่อสู้ของนักรบตงอิ๋งนั้นไม่อาจพยากรณ์ได้ เขากล้ารับรองว่า เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา กองทัพของเทียนลี่ก็จะเปราะบาง
ต่อให้มู่ฉินเจินเดินทางไปเยวี่ยโจวด้วยตัวเองแล้วอย่างไร ตอนนี้คนตงอิ๋งที่มาถึงเยวี่ยโจวไม่ได้มีเพียงแค่คนที่พวกเขาจับได้ คนที่เหลือต้องหาวิธีช่วยสหายตัวเองเป็นแน่
เขาเพียงแค่คอยผสมโรงอยู่ข้างหลัง ช่วยเหลือพวกเขาอีกแรง ก็จะสามารถจัดการมู่ฉินเจินได้!
จินตนาการของเขาช่างสวยหรูนัก ทว่าสถานการณ์จริงที่เกิดกับมู่ฉินเจินกลับไม่เป็นไปตามที่เขาจินตนาการไว้
องค์รัชทายาทได้มาเจอกับกลุ่มหวังสยงอันแล้ว ทหารนับร้อยนับพันทั้งหน้าทั้งหลัง ได้คุ้มกันรถขนส่งนักโทษตงอิ๋งหกคนสองคันรถไป
ระหว่างทางพวกเขาพบกับนักฆ่ามาเป็นระลอกๆ ซึ่งล้วนพุ่งเป้ามาที่คนตงอิ๋ง ทว่าถูกพวกมู่ฉินเจินต่อสู้ขับไล่ไปหมด
กลางดึก
ทุกคนค้างคืนที่ข้างทาง พวกทหารตั้งหม้อใบใหญ่ ต้มน้ำในหม้อ หลังจากน้ำเดือดแล้วก็ใส่เส้นมันเทศลงไป จากนั้นตามด้วยต้มผักและมันฝรั่ง
หลังจากตักออกจากหม้อแล้วก็นำไปผสมกับซอสพริกและน้ำพริกหมู สูดเส้นมันเทศร้อนๆ ชามใหญ่ลงท้องไป ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินมาทั้งวันก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ตอนนี้เส้นมันเทศกับผักดองอัดไหจากโรงงานเฉียวจี้กลายเป็นเสบียงจำเป็นสำหรับทหารในการเดินทัพไปแล้ว
เส้นมันเทศน้ำหนักเบาพกพาง่าย ไม่กินพื้นที่ ประเด็นหลักคืออร่อย ใครไม่อยากกินดีๆ สักมื้อระหว่างเดินทางกัน
พวกทหารกินเส้นมันเทศอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ด้านข้าง ในขณะที่มือเท้าของคนตงอิ๋งต่างถูกล่ามโซ่ไว้ และได้กินเพียงแป้งย่างเย็นชืดไม่กี่ชิ้น
ครั้นได้กลิ่นหอมกรุ่นฟุ้งในอากาศ ท้องของพวกเขาร้องดังแข่งกันขึ้นเรื่อยๆ
คนพวกนี้กินอะไรกัน? เหตุไฉนถึงได้หอมเช่นนี้?
แต่ของที่มีกลิ่นหอมขนาดนี้ อีกฝ่ายกลับไม่ให้พวกเขากิน! ช่างสมควรตายจริงๆ !
รอจักรพรรดิของเรายึดพื้นที่แห่งนี้มาได้เมื่อใด พวกเขาจะยึดทรัพยากรของคนนากะฮาระ[2]พวกนี้มาเป็นของตัวเอง ถึงตอนนั้นอาหารแสนอร่อยก็เป็นของพวกเขาแล้ว!
หวังสยงอันถือชามใบใหญ่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนรถคุมนักโทษ กินเส้นมันเทศต่อหน้าพวกนักโทษ
“อร่อยจังเลย รู้ไหมว่านี่คืออะไร? ข้าว่านกที่มาจากไหนไม่รู้อย่างพวกเจ้าต้องไม่รู้จักเป็นแน่ นี้เป็นสิ่งที่ไท่จื่อเฟยเราคิดค้นออกมา!”
“ในชามนี้ของข้ามีทั้งผักทั้งเนื้อทั้งเส้น แถมยังดื่มน้ำแกงได้ด้วย อร่อยมาก! ไอ้สารเลวอย่างพวกแกเหมาะกับการกินแป้งย่างเย็นชืดที่สุดแล้ว เพ้ย มื้อหน้าแม้แต่แป้งย่างเย็นชืดข้าก็ไม่ให้พวกเจ้ากิน”
“ริอาจแอบเข้ามาในเทียนลี่ของเรา ข้าจะทำให้พวกเจ้ากลับออกไปไม่ได้อีก!”
หวังสยงอันด่าไปด้วยกินไปด้วย กลิ่นหอมฟุ้งของเส้นมันเทศบวกกับน้ำพริกหมู ทำให้นักโทษที่ไม่ได้กินอาหารดีๆ มาหลายวันต่างน้ำลายไหลกันถ้วนหน้า
“ปาเกอยาลู่[3]!”
คนตงอิ๋งหิวจนแทบจะทนไม่ไหวเริ่มสบถด่า หวังสยงอันได้ยินก็หัวร้อนขึ้นทันใด
“ฟันแปดซี่! ถุ้ย! ข้ามีฟันเก้าซี่[4]เถอะ! วันๆ เอาแต่พูดจิ๊บๆๆ อะไรไม่รู้ พูดจาให้มันรื่นหูหน่อยได้ไหม? หูข้าจะมีรังไหมขึ้นมาแล้ว!”
คนตงอิ๋งพวกนี้ พูดไปพูดมาก็พูดเป็นแต่ปาเกอยาลู่ แม้จะฟังไม่ออกว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ก็รู้ได้ว่าไม่ใช่ประโยคที่ดีแน่นอน
[1] 琉球 หมู่เกาะริวกิว ปัจจุบันคือจังหวัดโอกินาวะของญี่ปุ่น
[2] 中原人 คนจงหยวนหรือคนจีน ในภาษาตงอิ๋ง
[3] 八嘎呀路 เป็นการทับศัพท์ตามเสียงภาษาจีนของคำว่า バカヤロหรือบะกะยาโร่ ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ไอ้พวกบ้าเอ๊ย
[4] 九个牙路 เป็นการเล่นคำจาก 八个牙路 ที่แปลว่าฟันแปดซี่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณหนูอี้ไร้เดียงสาไปไหม เขี้ยวลากดินอย่างอ๋องรุ่ยจะไม่รู้เหรอว่าเธอมีชู้
อ้าว อ๋องรุ่ย เจ้านี่เองที่เป็นไส้ศึกให้คนตงอิ๋งเข้ามาในเทียนลี่ อย่าเพิ่งฝันหวานไปเชียว มาดูเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับอ๋องซู่ซะก่อน ฮาไม่ไหว
ภาษาตงอิ๋งในความคิดของคนจงหยวนก็คงจะฟังคล้ายเสียงนกกระจอกแตกรังสินะ
ไหหม่า(海馬)