ตอนที่ 359 สามปีต่อมา
ตอนที่ 359 สามปีต่อมา
หูอวี้กุ้ยลนลานทันที ตอนพวกเขามาต่างวางแผนว่าจะแอบปะปนเข้าไปในโรงเรียน หาครูมาอธิบายสถานการณ์นิดหน่อยให้เด็กสามารถเข้าเรียนได้ ใครเล่าจะคิดว่าการเข้าโรงเรียนหนึ่งจะยากขนาดนี้
เขาอึกๆ อักๆ พูดไม่ออก ทำให้สีหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเคร่งขรึมขึ้นทันใด “ลูกของพวกเจ้าไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนเราล่ะสิ บอกมา! พวกเจ้าจะเข้าโรงเรียนไปด้วยจุดประสงค์อันใด?”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นทหารปลดประจำการที่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เมื่อเคร่งขรึมขึ้นมาทั่วร่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ทำให้ครอบครัวของหูอวี้กุ้ยตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
มีใครเคยบอกพวกเขาเล่าว่าเหตุใดสถานที่ที่เรียกว่าโรงเรียนจะมีคนเฝ้าที่เก่งกาจขนาดนี้ และยังดุกว่าผู้คุมในห้องขังเสียอีก!
หลังจากตกใจกลัวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หูอวี้กุ้ยก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“พวกเราได้ยินมาว่าโรงเรียนนี้ดีมากๆ จึงอยากส่งลูกมาเข้าเรียน รบกวนพี่ชายให้พวกเราเข้าไปเถิด”
เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่สร้างความลำบากให้พวกเขาอีก ทว่ายังคงขวางไม่ให้เข้าไป “เดือนสี่ปีหน้า โรงเรียนถึงจะรับนักเรียนเข้าใหม่ ตอนนี้โรงเรียนไม่รับนักเรียนใหม่แล้ว พวกเจ้ากลับไปเถิด ”
หวังซื่อได้ยินสิ่งนี้ ก็รู้สึกไม่ยินยอมอยู่ในใจ นังตัวขาดทุนสองคนของครอบครัวหูอวี้หลินเรียนหนังสือหาเงินอยู่ในนั้น ไม่มีเหตุผลใดที่ลูกชายสุดที่รักของนางจะเข้าไปไม่ได้
หากรู้เร็วกว่านี้ นางคงลงสมัครให้ลูกชายตอนที่พวกอาจารย์มารับสมัครนักเรียนก่อนหน้านี้แล้ว แบบนั้นจะมีวันที่ครอบครัวของหูอวี้หลินภูมิใจได้อย่างไร!
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไป และลูกชายสองคนของหูอวี้กุ้ยก็หมดความอดทน เริ่มงอแงอยู่หน้าประตูโรงเรียน
ลูกชายคนโตอายุสิบกว่าปีแล้ว รูปร่างอ้วนท้วนสูงใหญ่ มองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ข้าขอแนะนำเจ้ายุ่งเรื่องชาวบ้านให้มันน้อยๆ หน่อย ปล่อยให้เราเข้าไปข้างใน!”
ลูกชายคนเล็กวัยแปดขวบกอดขาของหวังซื่อไว้ และกำลังจะกลิ้งไปมากับพื้นแล้ว
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่เคยถูกคุกคามเช่นนี้มานานแล้ว จึงหัวเราะอย่างโกรธเคืองขึ้นมาทันที “ไอ้หนู ตอนข้าไปรบฆ่าศัตรูเจ้ายังอยู่ใต้ชายกระโปรงอยู่เลย ตอนนี้กลับริอาจมาขู่ข้า ข้าว่าเจ้าคงคันเนื้อคันตัวสินะ !”
ขณะที่พูด สีหน้าของเขาได้เย็นชาลงดุจน้ำแข็ง เขาถือไม้ตะบองอยู่ในมือและขับไล่ครอบครัวของหูอวี้กุ้ยออกไปข้างนอก
หูอวี้กุ้ยและภรรยาเป็นคนจำพวกรังแกคนที่อ่อนแกกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่สามารถยั่วยุได้ง่าย ก็ไม่กล้าเข้าไปข้างในอย่างสะเพร่าอีก
พวกเขาถอยออกไปจากประตูโรงเรียนและยืนดูอยู่ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นเห็นรถม้าคันหนึ่งมาที่หน้าประตูโรงเรียน และมีคนหน้าตาคุ้นเคยลงมาจากรถม้า
เป็นเฉียวเยี่ยน!
พวกเขาจำเฉียวเยี่ยนได้ นี่คืออาจารย์หญิงคนนั้นที่มารับสมัครนักเรียนบ้านพวกเขาก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ?
หูอวี้กุ้ยกับหวังซื่อดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างมาก รีบวิ่งเข้าไปเรียกรั้งเฉียวเยี่ยนเอาไว้
พวกเขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเฉียวเยี่ยน คิดว่าเป็นเพียงอาจารย์ธรรมดาๆ ในโรงเรียน จึงวิ่งไปด้วย ตะโกนเรียกไปด้วย “อาจาร์ยท่านนี้ ช้าก่อน!”
เฉียวเยี่ยนทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสร็จ กำลังจะเข้าไปในโรงเรียน เก็ได้ยินเสียงคนเรียกนางจากด้านหลัง
นางหยุดฝีเท้า หันกลับไปมอง ครั้นเห็นครอบครัวของหูอวี้กุ้ย ก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย และวาดยิ้มเยาะเย้ยขึ้นทันใด
ครอบครัวมหัศจรรย์มาที่นี่แล้ว เห็นทีจะมีละครสนุกๆ มาให้ชมกันอีกแล้วสิ!
หวังซื่อลากลูกชายทั้งสองวิ่งไปหาเฉียวเยี่ยน รอยยิ้มบนใบหน้าดูสดใสเป็นพิเศษ แถมยังถลึงตาใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ขวางพวกเขาก่อนหน้านี้อย่างได้ใจเล็กน้อย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยงงงวย หรือพวกเขาจะรู้จักกับไท่จื่อเฟย?
ก่อนที่เขาจะคิดออก ก็ได้ยินหวังซื่อเอ่ยว่า “อาจารย์ท่านนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเคยไปบ้านเรามาแล้ว ยังจำได้ไหม? นี่คือลูกชายของข้า ตอนนี้เราตกลงให้เขามาเข้าเรียนแล้ว ท่านช่วยดูและจัดการเรื่องนี้ให้หน่อย”
เชี่ยเอ๊ย!
คนผู้นี้ช่างบังอาจนัก! เหมือนกับว่าไท่จื่อเฟยไปขอร้องอ้อนวอนให้ส่งลูกเจ้าเข้ามาเรียนอย่างไรอย่างนั้นแหน่ะ!
เฉียวเยี่ยนไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะพูดจาเช่นนี้ นางหัวเราะเยาะ น้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “ขอโทษด้วย เปิ่นเฟยไม่รู้จักพวกเจ้า เปิ่นเฟยจำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยบอกว่า โรงเรียนของเราไม่รับลูกๆ ของพวกเจ้า!”
หวังซื่อได้ยินอีกฝ่ายปฏิเสธ ก็ไม่พอใจเล็กน้อยทันที ลูกชายของนางคือมังกรหงส์ในฝูงชน แต่กลับไม่รับลูกชายของนาง!
นางกำลังจะเริ่มก่นด่าคน แต่กลับนึกถึงคำเรียกตัวเองที่อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อครู่ ‘เปิ่นเฟย’
ความคิดอาจหาญได้ก่อตัวขึ้นในหัวนาง ว่ากันว่าโรงเรียนแห่งนี้ไท่จื่อเฟยเป็นคนจัดตั้งขึ้น คงไม่ใช่คนตรงหน้าหรอกกระมัง?
แต่นั่นไม่น่าเป็นไปได้ หากอีกฝ่ายเป็นไท่จื่อเฟยจริง ตอนนั้นจะไปหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ของพวกเขาด้วยตัวเองได้อย่างไร!
นางยิ่งคิดยิ่งสับสน ในใจก็แอบบอกตัวเองว่าเป็นไปไม่ได้
แต่แล้วคำพูดของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ทำให้จินตนาการของนางแตกสลาย
“เจ้ารู้ไหมว่านี่คือใคร? นี่คือไท่จื่อเฟยองค์ปัจจุบัน ริอาจลบหลู่ไท่จื่อเฟยเช่นนี้ คิดว่าเจ้ามีสองหัวหรือ?”
ครอบครัวหูอวี้กุ้ยได้ยินคำพูดนี้พลันรู้สึกเย็นไปทั่วร่าง และตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หวังซื่อขาอ่อนแรงทันที ทรุดฮวบลงกับพื้น ปากก็พร่ำว่าเป็นไปไม่ได้
เฉียวเยี่ยนยิ้มเย้ยหยัน ไม่อยากเสียเวลากับพวกเขาอีก นางยังต้องเข้าไปประชุมอยู่
นางสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย “ครอบครัวนี้ถูกโรงเรียนของเราขึ้นบัญชีดำแล้ว หากพวกเขากล้ามาสร้างปัญหาอีก ให้ไล่ไปเลย!”
นางพูดจบก็จากไปอย่างสง่างาม ครอบครัวของหูอวี้กุ้ยถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับไล่ออกไปไกล ขณะมองไปที่ประตูอันสง่างามของโรงเรียน ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก
……
วันเวลาผันผ่าน จนกระทั่งสามปีต่อมา
ในสามปีนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทว่าวิถีชีวิตของเฉียวเยี่ยนยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ทำไร่ไถนาหาเงินเลี้ยงลูก รักหลงสามีรวมถึงถูกสามีรักหลง
ปีนี้เฉียวเยี่ยนอายุยี่สิบแปดปีแล้ว และเป็นนักธุรกิจหญิงผู้แข็งแกร่ง ภัตตาคารของนางได้ขยายออกไปนอกเมืองหลวงแล้วและมีสาขาอีกหลายแห่งทั่วประเทศ
โรงงานแปรรูปอาหารก็ใหญ่ขึ้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ผูกขาดตลาดในอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังสร้างความสัมพันธ์กับอาณาจักรเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรอีกหลายแห่งด้วย
เดือนหก
นักเรียนที่รับสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนอาชีวะปีแรกกำลังจะสำเร็จการศึกษาแล้ว หลังจากผ่านการพัฒนามาสามปี โรงเรียนได้ขยายจากเดิมห้าร้อยคนเป็นหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน
วันที่สิบสามเดือนหก โรงเรียนจัดพิธีสำเร็จการศึกษา บรรยากาศอลังการยิ่งใหญ่นัก มีขุนนางในราชสำนักมาเข้าร่วมไม่น้อย แม้แต่องค์รัชทายาทก็มาสนับสนุนภรรยาตัวเอง
นักเรียนรุ่นแรกสำเร็จการศึกษา ก็ถึงเวลาทดสอบสิ่งที่เรียนมาสามปี โชคดีที่พวกเขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง เพิ่งจบได้ไม่ทันไรก็มีงานทำเลี้ยงชีพได้แล้ว
พวกนักเรียนหญิงที่เรียนการเย็บปักถักร้อย การทอผ้า หรือการตัดเย็บ ยังไม่ทันจบก็ถูกอาจารย์หญิงที่เปิดร้านขายผ้า โรงงานเย็บปัก และร้านขายเสื้อผ้าในโรงเรียนรับเข้าทำงานแล้ว
ยังมีนักเรียนจำนวนมากเข้าร่วมงานในกิจการของเฉียวเยี่ยน สามปีมานี้พวกเขาเรียนทักษะมา เมื่อเข้าไปทำงานก็เข้าทำตำแหน่งที่เรียน ได้เงินเดือนสูง งานก็ค่อนข้างง่าย ทำให้พวกคนทำงานหนักที่ไม่มีทักษะได้แค่ออกแรงเหล่านั้นอิจฉาตาร้อน
นักเรียนบางคนที่เข้าเรียนตั้งแต่อายุสิบห้าปี เมื่อเรียนจบก็มีอายุสิบแปดปี ครอบครัวจึงจัดการแต่งงานให้
เนื่องจากพวกเขาเคยเข้าเรียน จึงเป็นคนที่รู้หนังสือ ทั้งยังได้เรียนรู้ทักษะทางด้านงานฝีมือ ทำให้บ้านของหญิงสาวเหล่านั้นต่างหัวกระไดไม่แห้ง กลายเป็นที่ชื่นชอบที่สุดในหมู่บ้าน
ส่วนเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายนั้นยิ่งพูดถึงเรื่องแต่งงานก็ยิ่งง่าย และส่วนใหญ่เป็นสาวๆ ที่อยากแต่งงานกับพวกเขา
และโรงเรียนของเฉียวเยี่ยนยังมีส่วนช่วยให้มีคู่แต่งงานที่รักกันไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว
ในวันพิธีสำเร็จการศึกษา เฉียวเยี่ยนยืนอยู่บนแท่นสูงกล่าวคำสุนทรพจน์กับอาจารย์และนักเรียนหลายคน มู่ฉินเจินนั่งอยู่ข้างล่างเวที เงยหน้ามองสตรีที่เจิดจรัสอยู่บนเวทีนั้น
นั่นคือเจ้าท่อนไม้ของเขา อยู่ที่ไหนก็ส่องแสงเจิดจรัส ทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาออกมาได้
ในขณะที่เฉียวเยี่ยนกำลังพูดอยู่นั้น ก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงกำลังแผดเผานาง
นางเคลื่อนสายตาไปมอง สบเข้ากับสายตาองค์รัชทายาทของนาง จึงยิ้มหวาน และขยิบตาให้เขา
การกระทำนี้ของผู้อำนวยการเฉียวตกอยู่ในสายตาของหลายคน พวกเขามองไปทั่วทุกที่ และสายตาก็ตกอยู่ที่องค์รัชทายาท
สองสามีภรรยาจ้องมองกันและกันท่ามกลางการจ้องมองของทุกคน และคนรอบข้างที่มองต่างรู้สึกเปรี้ยวกว่าน้ำส้มสายชูหมักแห่งซานซีเสียอีก
คนทั่วอาณาจักรรู้แล้วว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ทว่าในที่สาธารณะเช่นนี้ควรยับยั้งชั่งใจเก็บอาการหน่อยสิเฮ้ย!
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ต้องโทษที่ตัวเองตาต่ำไม่ส่งลูกเข้าเรียนเอง จะมาบอกว่าเฉียวเยี่ยนไม่ให้โอกาสไม่ได้นะ
โดนแจกอาหารหมากันถ้วนหน้า ไม่มีคู่ไหนหวานได้เท่าคู่องค์รัชทายาทอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)