ตอนที่ 392 (ตอนพิเศษ) เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ 4
ตอนที่ 392 (ตอนพิเศษ) เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ 4
ข้าพักอยู่ในตำบลเล็กๆ กับแม่นางน้อยเป็นเวลาสี่เดือน จากนั้นก็พานางไปท่องเที่ยวทั่วอาณาจักรต่อ
ก่อนจากไป พวกเราขายร้านอาหารที่เป็นพยานรักของพวกเรา แม่นางอาลัยอาวรณืมาก จนข้ารับปากกับนางว่าเมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้วจะเปิดภัตตาคารใหญ่ให้นาง
ทว่าแม่นางน้อยกล่าวว่านางไม่อยากได้ภัตตาคารใหญ่ อยากได้เพียงร้านค้าเล็กๆ ภัตตาคารใหญ่มากเกินไป นางคนเดียวดูแลไม่ทั่วถึง
แม่นางน้อยชอบทำกิจการมาก ทุกคราที่เอ่ยถึงตัวเองเปิดร้านต้วยตัวเปล่าอย่างไรนั้น ก็จะมีท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ข้ารู้สึกว่านางเหมือนมารดามาก มารดาต้องชอบเจียวเจียวของข้าแน่
การเดินทางท่องเที่ยวทั่วอาณาจักรในช่วงแรกมีเพียงข้าคนเดียว การเดินทางครึ่งหลังกลับมีเจียวเจียวไปเป็นเพื่อนข้า
พวกเราไขคดีด้วยกัน ลงโทษคนกระทำไม่ดีด้วยกัน ชมทิวทัศน์ระหว่างทางด้วยกัน ความรู้สึกก็ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
ใช้เวลาหนึ่งปี ในที่สุดข้าก็บรรลุเป้าหมายในการท่องเที่ยวทั่วอาณาจักร และพาเจียวเจียวกลับเมืองหลวง
ครั้งแรกที่เจอบิดามารดา เจียวเจียวกังวลมาก ย่างก้าวเงอะงะ ถึงขั้นต้องให้ข้าสอนมารยาทต่างๆ ในวังให้นาง
หาใช่ข้าไม่สอน แต่หลังจากบิดากุมอำนาจ ในวังก็มีแค่ครอบครัวพวกเรา มีอิสระเสรี ไม่มีเอ่ยถึงพิธีรีตองอะไรจริงๆ แต่เจียวเจียวก็ไม่เชื่อ
วันที่กลับไปเมืองหลวงวันนั้น เจียวเจียวน้อยประหม่าจนฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ แม้ข้าจะปลอบโยนแล้ว แต่นางก็ยังสงบลงไม่ได้ จวบจนได้เจอบิดามารดาและพวกพี่ๆ น้องๆ นางถึงได้เชื่อคำพูดข้า
ท่านพ่อท่านแม่กับพวกพี่ๆ น้องๆ รู้เรื่องของข้ากับเจียวเจียวแล้ว และเพื่อต้อนรับเจียวเจียว พวกเขาก็เตรียมมากมายหลายอย่าง
ท่านแม่เข้าครัวทำอาหารอร่อยโต๊ะใหญ่ ท่านพ่อมอบของขวัญให้เจียวเจียว พวกพี่น้องเองก็เตรียมของขวัญไว้ให้เจียวเจียวเช่นกัน
เจียวเจียวถูกความกระตือรือร้นของพวกเขาโหมซัด ไม่นานก็กลายเป็นพวกเดียวกัน
แม้นางจะเป็นพี่สะใภ้ ทว่าอายุกลับน้อยกว่าพวกพี่น้องของข้ามาก และกลายเป็นที่รักที่เอ็นดูของครอบครัวข้า
บิดาเย็นชามาแต่ไหนแต่ไร ทว่าสำหรับคนที่ข้ายอมรับแล้ว ท่านก็พยายามรักษาความใจดีเอาไว้
ความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับเจียวเจียวเป็นดั่งที่ข้าคาดเอาไว้ พวกนางถูกคอกันมาก ภายใต้การแนะนำของมารดา เจียวเจียวมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นเจ้าของกิจการคนต่อไป และรับช่วงต่อกิจการภัตตาคารในมือมารดา
ข้ารอคอยนับวันนับคืน ในที่สุดก็ถึงอายุยี่สิบปี และสามารถมอบสินสอดทองหมั้นให้เจียวเจียว และต้อนรับแม่นางในใจของข้าเข้าบ้านได้แล้ว
ทว่าจิ้งจองเฒ่าในท้องพระโรงออกมาต่อต้านอีกครั้ง คิดว่าฐานะของเจียวเจียวต่ำต้อยเกินไป
เพื่อปิดปากจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้น บิดาจึงให้อัครมหาเสนาบดีผู้มียศสูงสุดในราชสำนักยอมรับเจียวเจียวเป็นลูกบุญธรรม และออกเรือนจากจวนอัครมหาเสนาบดีมาอย่างยิ่งใหญ่
สามสื่อหกพิธี แต่งงานอย่างเปิดเผย หลังจากเสร็จสิ้นพีธีแล้ว ในที่สุดข้าก็แต่งเจียวเจียวเข้าบ้านได้
พิธีแต่งงานยุ่งยากมาก ยุ่งยากจนข้าอยากจะอุ้มแม่นางเข้าห้องหอไปเลย
หนึ่งร้อนรนอยากเข้าห้องหอ สองอยากเห็นเจียวเจียวภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงมาก วันนี้แม่นางต้องดูดีมากเป็นแน่
หลังจากรับมือกับแขกแล้ว ในที่สุดข้าก็หลุดพ้นเข้าห้องหอได้ เมื่อเห็นเจียวเอ๋อร์น้อยนั่งอยู่บนเตียงแต่งงาน ข้ารู้สึกพึงพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเปิดผ้าคลุมออก เจียวเจียวน้อยภายใต้ผ้าคลุมนั้นงามกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก เจียวเจียวมองมาที่ข้าอย่างขลาดเขิน ข้าแค่อยากกอดนางแน่นๆ และเป็นเจ้าของนาง
ชั่วครู่แห่งค่ำคืนวสันต์ล้ำค่าดั่งพันตำลึงทอง* ในที่สุดก็ได้รู้ซึ้งถึงความสนุกของมุกสัปดนที่พวกชายหยาบกระด้างในค่ายทหารเหล่านั้นเล่าแล้ว
(*春宵一刻值千金ชั่วครู่แห่งค่ำคืนวสันต์ล้ำค่าดั่งพันตำลึงทอง เปรียบเสมือน คืนแรกของคู่บ่าวสาวมีค่ายิ่ง ไม่อาจจะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า)
หลังจากแต่งงาน ชีวิตข้ากับเจียวเจียวก็หวานชื่นอบอุ่นเหมือนกับท่านพ่อท่านแม่ในตอนนั้น
เราย้ายออกไปจากวัง เข้าพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ของเราเอง ทุกวันที่ข้าเลิกว่าราชกิจกลับมา เจียวเจียวได้เตรียมอาหารรอข้าที่บ้าน เหมือนท่านพ่อในตอนนั้น
เจียวเจียวกับมารดารวมถึงพวกพี่ๆ น้องๆ ติดต่อคบหากันมานานแล้ว นิสัยจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่เหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยที่อ่อนแอรังแกได้ง่ายอีกต่อไป และบางครั้งจะแสดงอุ้งเล็บกระต่ายน้อยให้ข้าดูเป็นครั้งคราว
เวลาโดนข้ารังแกก็จะหยิกข้า หรือไม่ก็ลงโทษข้าให้คุกเข่าบนกระดานซักผ้า ข้าก็ค่อยๆ เหมือนบิดาในตอนนั้น กลายเป็นผู้ชายกลัวเมีย
ทว่าข้าภูมิใจมาก ข้ามีเจียวเจียวภรรยาตัวน้อยคอยดูแล คนอื่นอยากมีก็ไม่แม้แต่จะมี!
ตอนที่ข้าอายุได้ยี่สิบสาม และเจียวเจียวอายุยี่สิบ เราก็มีลูกคนแรก
ข้าหวังอยากได้ลูกสาวคนหนึ่ง เป็นลูกสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเจียวเจียว ทว่าเด็กคลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย แต่ถึงเป็นลูกชายข้าก็ชอบเช่นกัน เพียงแต่ใส่กระโปรงตัวเล็กที่เตรียมไว้ให้ลูกสาวไม่ได้แล้ว
เมื่อข้าอายุยี่สิบเจ็ดปี เจียวเจียวอายุยี่สิบสี่ปี ในที่สุดข้าก็สมความปรารถนามีลูกสาวตัวน้อย และเหมือนกับที่ข้าคิดไว้ ลูกสาวมีหน้าตาเหมือนเจียวเจียวมาก ยิ้มครั้งใดก็ละลายใจผู้คนได้
ทั้งชีวิตนี้ของข้ามีลูกสี่คน เมื่ออายุได้สามสิบสองปี เจียวเจียวก็ตั้งท้องอีกครั้ง หนนี้เป็นลูกแฝด หลังจากเดือนสิบ ทารกที่ออกมาก็เป็นลูกชายสองคน
ลูกชายสองคนดื้อซนมาก ชอบรำดาบยิงปืนตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ต่างจากอวี๋เอ๋อร์น้องสาวข้าในตอนนั้น
อวี๋เอ๋อร์อาหญิงตัวน้อยพาหลานชายทั้งสองวิ่งเพ่นไปทั่ว ดื้นซนอย่างมาก ทำให้ข้ากับเจียวเจียวปวดหัวไม่น้อย
เมื่อข้าอายุสามสิบเก้าปี พ่อข้าก็อายุหกสิบปีแล้ว หลังจากครบรอบหกสิบปี ท่านพ่อก็สละบัลลังก์ให้ข้า แล้วพามารดาไปใช้ชีวิตบั้นปลาย
ข้าไม่รู้ว่าราชวงศ์อื่นๆ มองบัลลังก์อย่างไร ทว่าในครอบครัวเรา ทุกคนต่างเกลียดมันมาก
ทว่าเกลียดก็ส่วนเกลียด นี่คือหน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเรา มิอาจหลีกเลี่ยงได้
ด้วยความมุ่งมานะของบิดามารดา ใต้หล้าสงบสุข ข้าที่เป็นฮ่องเต้ก็พลอยสบาย สานงานต่อจากบิดา ส่งเสริมการศึกษา
เจียวเจียวอยู่ข้างมารดามาหลายปี ได้เรียนรู้เคล็ดลับมากมายจากมารดา และช่วยข้าได้มาก
วันเวลาของการเป็นฮ่องเต้ช่างน่าเบื่อ เมื่อเห็นชีวิตยามชราอันสุขสบายของบิดามารดา ข้าก็อยากจะทิ้งความยุ่งเหยิงนี้ไว้กับลูกชายคนโตของข้า
ลูกชายคนโตฉลาดมาก เหมือนเดียวกับข้าในตอนนั้น มีความสามารถในการปกครองประเทศ แต่น่าเสียดายที่เขายังเด็กเกินไป
แม้การเป็นฮ่องเต้จะน่าเบื่อมาก ทว่าโชคดีที่มีเจียวเจียวอยู่ด้วย เราวางแผนกันไว้แล้ว เมื่อข้าอายุครบหกสิบปี ข้าจะมอบบัลลังก์ให้กับลูกชาย จากนั้นพานางไปใช้ชีวิตบั้นปลาย เหมือนกับท่านพ่อท่านแม่
ข้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาก ตอนข้าเป็นเด็กถูกพ่อแม่รักเอ็นดู พอเติบโตขึ้นก็เจอคนที่อยากใช้เวลาทั้งชีวิตด้วย มีลูกที่ฉลาดน่ารัก แม้ตอนนี้ตะเกียงจะยังไม่พร่องน้ำมัน* แต่ข้าคิดว่าเมื่อถึง ณ จุดนั้น ข้าก็ไม่มีเสียใจเลย
(*油尽灯枯 ตะเกียงพร่องน้ำมัน หมายถึง คนที่ใกล้ตาย เหมือนตะเกียงน้ำมันแห้งและไฟมอดดับ)
จบพาร์ทเสี่ยวฉวนเอ๋อร์!
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ฉวนเอ๋อร์คือพี่มู่สองชัด ๆ ชะตากรรมเหมือนพ่อไม่มีผิดเลย ๕๕๕
ต่อไปเป็นเรื่องของใครน้า
ไหหม่า(海馬)