ตอนที่ 8 สงสัย
ฟางจื่ออี๋มองกู้ซีจิ่นด้วยแววตาเอ็นดูพลางคีบลูกชิ้นไข่มุกให้เธอพลางเอ็ดเธอไปหนึ่งคำทำให้กู้ซีจิ่นต้องส่งสายตาประท้วง
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลมเกลียวเป็นหนึ่ง มีเพียงกู้ซีเฉียวที่นั่งทานอาหารของตัวเองเพียงลำพัง เธอมิได้ยินดีหรือแสดงอารมณ์ใดๆ
ทุกคนบนโต๊ะทราบมารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นอย่างดี ไม่มีใครนั่งพิงพนักเก้าอี้ ลำตัวตั้งตรง ตักอาหารคำเล็ก เคี้ยวและกลืนอย่างไม่รีบร้อน มีเพียงคนเดียวในมุมที่ไม่เข้ากับบรรยากาศบนโต๊ะ เธอนั่งอย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งเท้าคาง มืออีกข้างถือตะเกียบ ไม่มีมาดเลยแม้แต่น้อยแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเดิมทีเธอก็ควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ดูแล้วสบายอกสบายใจ
ซย่าจื่อจวิ้นชำเลืองมองเล็กน้อย
เขาคือหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองเอ็น กู้ซีเฉียวจำได้ว่าบนบอร์ดหน้าโรงเรียนมีโปสเตอร์ของเขาติดอยู่ด้วย เขาเป็นที่หนึ่งของรุ่นสิบสี่ที่สอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ในเมืองเอ็น ประกอบกับภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา เขาจึงกลายเป็นตำนานของเมือง
นักเรียนมากมายชื่นชอบในตัวเขา
“พี่จื่อจวิ้น เรียนมหาฯลัยสนุกไหมคะ” กู้ซีจิ่นชวนซย่าจื่อจวิ้นคุย แม้พวกคนรวยจะถือปฏิบัติมารยาทมากมาย เช่นการไม่สนทนาระหว่างทานอาหาร แต่เมื่อเป็นกู้ซีจิ่น เรื่องนี้กลับกลายเป็นข้อยกเว้น เด็กสาวไร้เดียงสาผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่ว่าเธอจะทำตัวย่างไร คนในครอบครัวต่างก็ยอมอ่อนข้อให้
“มหา’ลัยดีกว่ามัธยมอยู่แล้ว อาจิ่นต้องตั้งใจเรียนรู้ไหม” ซย่าจื่อจวิ้นตอบรับพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ฉันจะตั้งใจเรียน จะสอบเข้าที่เดียวกับพี่จื่อจวิ้นให้ได้” กู้ซีจิ่นแววตาเป็นประกายก่อนจะหันไปอีกทาง “น้องก็จะไปสอบที่เดียวกันใช่ไหม”
บรรยากาศกลมเกลียวบนโต๊ะเปลี่ยนไปโดยพลัน เพราะดันมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวอยู่ด้วย แววตาที่ซูหว่านเอ๋อร์มองไปที่กู้ซีเฉียวคล้ำหม่นกว่าเก่า
กู้ซีเฉียวสัมผัสได้ถึงสายตาเชือดเฉือนนับไม่ถ้วน ท่าทางของเธอยังคงสงบนิ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เมื่อวันก่อนฉันเห็นรูปนึงบนเวยปั๋ว ไม่รู้ว่า…”
“น้อง!” กู้ซีจิ่นแผดเสียงดังลั่น เมื่อสัมผัสได้ว่าทุกสายตากำลังมองมาที่เธอ เธอจึงส่งยิ้มหวานกลบเกลื่อน “น้องกินซี่โครงเยอะๆ นะ อย่ามัวแต่เล่นเวยปั๋ว ต้องตั้งใจเรียน แล้วก็ต้องอ่านหนังสือทุกวัน ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามพี่ได้ตลอด พวกเราจะได้สอบเข้ามหาฯลัยบีด้วยกัน”
ใครอยากจะเข้าที่เดียวกับเธอ แล้วไอคิวระดับเธอจะสอบติดรึ
กู้ซีเฉียวก้มหน้าซ่อนสายตาเสียดเย้ย หญิงสาวไม่ตอบโต้
เมื่อชาติก่อน กู้ซีจิ่นสอบติดวิทยาลัยบี ทั้งที่คะแนนของเธอไม่พอที่จะเข้ามหาวิทยาลัยบี แต่เนื่องด้วยหนึ่งในนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยบีชื่นชอบผลงานภาพวาดของเธอ สุดท้ายเธอจึงได้เรียนที่นั่น แต่คราวนี้จะไม่มีความช่วยเหลือจากเธออีกแล้ว เธอจะดูซิว่ากู้ซีจิ่นจะสอบติดมหา’ลัยท่าไหน!
การที่กู้ซีเฉียวไม่ยอมตอบทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นลงทันใด
ซย่าจื่อจวิ้นเป็นแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว
“อาจิ่น กินน่องไก่สิ” เขาส่งยิ้มพลางคีบน้องไก่ให้กู้ซีจิ่นแล้วจึงหันไปกล่าวกับกู้จู่ฮุ่ย “คุณปู่บอกกับผมว่าข้างบนมีโครงการจะสร้างฐานของประเทศไว้ที่เมืองเอ็น ไม่ทราบว่าคุณลุงกู้พอจะได้ยินมาบ้างหรือเปล่าครับ”
เรื่องการสร้างฐานของประเทศเป็นเรื่องที่รอบข้างให้ความสนใจ แต่ขณะเดียวกันก็ถือว่าเป็นความลับ ฉะนั้นกู้จู่ฮุ่ยจึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เขาตื่นเต้นและเริ่มชวนซย่าจื่อจวิ้นสนทนาต่อทันที หัวข้อบทสนทนาเปลี่ยนประเด็นไปทันที
เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาคู่อื่นละไปจากตัวเองแล้ว กู้ซีเฉียวก็ค่อยๆ ช้อนตาขึ้นพลางชำเลืองไปที่ซย่าจื่อจวิ้น
เธอเคยรู้ประวัติของซย่าจื่อจวิ้นมาบ้าง แม้จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจทว่าเธอกลับไม่ได้รู้สึกหลงใหลในตัวรุ่นพี่ที่โตกว่าเธอหนึ่งปีปานนั้น ซย่าจื่อจวิ้นสมบูรณ์แบบเกินไป เขาเป็นชายในอุดมคติของใครหลายคน เพียงแต่ในอดีตกู้ซีเฉียวรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนละโลกกับคนอย่างเขาถึงได้พยายามตีตัวออกห่าง หนำซ้ำเธอในตอนนี้ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขายิ่งขึ้นไปอีก
กู้ซีจิ่นจับตาดูปฏิกิริยาของกู้ซีเฉียวอยู่ตลอดเวลา กู้ซีเฉียวที่นั่งกินข้าวในจานเงียบๆ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกคับข้องใจ
กู้ซีจิ่นเป็นเด็กสาวอายุราวๆ สิบเจ็บถึงสิบแปดปี แม้เธอจะเกิดและเติบโตในครอบครัวคนรวย แต่เมื่อเห็นกู้ซีเฉียวที่ด้อยกว่าตนเองก็ยังอดแสดงท่าทีเหนือกว่าไม่ได้ ซย่าจื่อจวิ้นเป็นดาวเด่นในโรงเรียน กู้ซีจิ่นพยายามชวนชายหนุ่มสนทนาเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเธอแตกต่างจากน้องสาว
แต่ท่าทีเฉยเมยของกู้ซีเฉียวทำให้กู้ซีจิ่นรู้สึกว่าความพยายามของตัวเองช่างไร้ค่า
เธอรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างยิ่งยวด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนงานเลี้ยง เหตุการณ์ชุดขาดรุ่งริ่งทำให้เธอรู้สึกขายหน้าเกินพอแล้ว แต่การได้เห็นสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของกู้ซีเฉียวในยามนี้ยิ่งทำให้เธอหดหู่ใจมากขึ้นไปอีก เธอสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะเยาะเธอ คนอย่างกู้ซีเฉียวกล้าดีอย่างไรมาหัวเราะเยาะเธอ กู้ซีจิ่นกำตะเกียบแน่น
คนบนโต๊ะต่างรู้ดีว่า มีเพียงกู้ซีเฉียวเท่านั้นที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างสบายใจ
ซูหว่านเอ๋อร์เห็นเธอแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา กู้ซีเฉียวเองก็เช่นกัน ในเมื่อทั้งสองไม่ชอบหน้ากันและกัน สู้เธอกลับขึ้นไปทำโจทย์เลขบนห้องต่อจะดีกว่า เมื่อกินเสร็จกู้ซีเฉียวก็ลุกจากโต๊ะเตรียมจะเดินกลับขึ้นไป แต่ขณะที่เธอกลับหลังหันก็มีเสียงอ่อนโยนดังลอยมา “ขาของเธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
กู้ซีเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าไม่ได้ใส่ใจ
“เอ๋ เดี๋ยวก่อน” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเตรียมจะเดินจากไป ซย่าจื่อจวิ้นจึงเดินเข้าไปคว้าแขนเธอไว้ เนื้อนุ่มๆ ทำให้มือของชายหนุ่มร้อนวาบ “จากที่ฉันเห็นแผลที่เข่าของเธอดูใหญ่เอาเรื่อง ฉันว่าเดี๋ยวฉันไปหยิบยาที่ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้ดีไหม”
ใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อเล็กน้อย พวกเด็กผู้หญิงใส่ใจเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะพวกเด็กที่หน้าตาดี
แผลของเธอเริ่มตกสะเก็ดแล้ว เพียงแต่รอยช้ำยังคงแจ่มชัด สีแดงอมเขียมทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว
ซย่าจื่อจวิ้นเป็นคนแรกที่รู้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บ กู้ซีเฉียวชะงักไปเล็กน้อย อันที่จริงเมื่อชาติก่อนซย่าจื่อจวิ้นปฏิบัติต่อเธออย่างดี แต่อยู่ในสถานะ ‘น้องสาวของกู้ซีจิ่น’ เท่านั้น
“ขอบคุณ ฉันทายามาแล้ว” กู้ซีเฉียวไม่ได้หันหลังกลับไป ยามที่เด็กสาวในวัยนี้สนทนากับเพศตรงข้ามมักมีอาการขัดเขินอย่างที่กู้ซีจิ่นเป็น แต่ท่าทางของเธอกลับดูเย็นชาจนน่าแปลก แววตาสุกใสสงบนิ่งเกินจะกล่าว
เธอแกะมือซย่าจื่อจวิ้นออก เดินกลับขึ้นไป ฝีเท้ามั่นคงไร้ซึ่งความลังเล
“พี่จื่อจวิ้น!” กู้ซีจิ่นเดินออกมาจากห้องโถง คล้องมือเข้าที่แขนของซย่าจื่อจวิ้นโดยหันให้ร่างของตัวเองบังเงาของกู้ซีเฉียว “เมื่อกี้พี่คุยอะไรกับน้องเหรอ”
“เปล่าหรอก เธอคือน้องสาวที่เธอเคยพูดถึงงั้นหรือ” ซย่าจื่อจวิ้นส่ายศีรษะ
กู้ซีจิ่นหลุบตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งมองซย่าจื่อจวิ้น ใบหน้าแฉล้มฉายแววผิดหวัง “ใช่ แต่ดูเหมือนน้องจะไม่มีความสุขเลย ของขวัญชิ้นแรกที่พี่ให้ฉันเป็นตุ๊กตาหมี ฉันชอบมันที่สุด แต่ฉันก็ให้น้องไป แต่ก่อนความเป็นอยู่ของน้องไม่ค่อยดีนักฉันเลยได้แต่หวังว่าน้องจะมีความสุขมากกว่านี้ พี่จื่อจวิ้น พี่ว่าฉันยังทำดีไม่พอใช่หรือเปล่า”
ซย่าจื่อจวิ้นเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะลูบศีรษะหญิงสาวพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะ”
ซูหว่านเอ๋อร์ออกมาเรียกทั้งสองคน กู้ซีจิ่นจึงจูงซย่าจื่อจวิ้นกลับเข้าไป
ซย่าจื่อจวิ้นโตมาจนป่านนี้ไม่เคยโดนใครแสดงท่าทีรังเกียจใส่ขนาดนี้ ขนาดประโยคสั้นๆ เธอยังไม่อยากพูดด้วย เขาเดินไปและหันกลับไปมองเงาร่างบางอย่างอดไม่ได้
สุนัขขนปุยวิ่งเข้ามาอ้อนเธอ หญิงสาวก็ใช้เท้าเขี่ยเจ้าสุนัขออกไปให้พ้นทาง แต่มันไม่สน ยังคงอ้อนอยู่อย่างนั้น ทั้งคนและสุนัขดูคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ซย่าจื่อจวิ้นจำเจ้าสุนัขตัวนั้นได้ มันคือสุนัขจรจัดที่กู้ซีจิ่นเก็บมาเลี้ยง แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไร มันกลับดูติดกู้ซีเฉียวมากกว่า เขามองพลางคิด
กู้ซีเฉียวที่ถูกเจ้าสุนัขอ้อนยื่นมือไปลูบหัวเพื่อตัดความรำคาญ
ภาพตรงหน้าทำให้ซย่าจื่อจวิ้นคลี่ยิ้มตามและรู้สึกสงสัยในคราวเดียวกัน